เรื่องกิน เรื่องเที่ยว คือเรื่องเดียวกัน และเป็นเรื่องราวของเราสองคน :)

ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [?]




ปลาหมึกน้อย กับ นายโอเลี้ยง รายงานตัวครับ
เนื่องด้วยเราสองคนเป็นคนชอบเที่ยว ชอบกิน ดังนั้นก็เลยจัดการหาที่เก็บสถานที่หรือร้านอาหารที่เคยแวะเยี่ยมมาแล้ว

และเสมือนเป็น ไดอารี่ส่วนตัว ที่ทุกคนเข้าดูได้ อาจจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่ผ่านเข้ามาแล้วต้องการหาข้อมูลสำหรับสถานที่นั้นๆ

ขอให้สนุกกับ Blog นี้นะ

ตอนนี้ Eat and Travel Diary by ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง มี fan page เพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อครับ ถ้าใคร "ถูกใจ" blog นี้ ฝากช่วยกด "Like" กันนะครับ จะได้ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ^_^

Click ข้างล่างได้เลยจ้า

click เพื่อเข้าสู่ facebook Eat and Travel Diary
New Comments
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
11 ธันวาคม 2557
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง's blog to your web]
Links
 

 
Singapore So Sweet 2014 - Day 1



Singapore ประเทศเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรา ใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินเพียง 2 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นประเทศที่ได้ยินชื่อบ่อยมากๆ แต่ผมยังไม่เคยได้ลองไปสัมผัสความเจริญของสิงคโปร์เลยซักครั้ง และในครั้งนี้ผมได้รับเชิญจากการท่องเที่ยวสิงคโปร์ หรือ Singapore Tourism Board (STB) ซึ่งก็ตัดสินใจตอบรับคำเชิญไม่ยากครับ เพราะสิงคโปร์ ซึ่งเหมาะสำหรับการเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ 3 วัน 2 คืน

ซึ่งก่อนหน้านี้ภาพในสิงคโปร์ของผมนั้นก็มักจะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ ที่มี Merlion และ Singapore Flyer เป็นแลนด์มาร์กของประเทศ แต่พอระยะหลังทางสิงคโปร์มีการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Marina Bay Sand, Garden by the bay หรือว่าจะเป็น Universal Studio ทำให้ความน่าสนใจของที่นี่กลับมาอีกครั้ง ดังนั้นจึงตัดสินใจรับคำเชิญเพื่อเดินทางมาสัมผัสความเจริญของสิงคโปร์ดูว่า มีความน่าสนใจอย่างที่คิดมากน้อยเพียงใด



ก่อนที่จะเดินทางมาเตรียมความพร้อมกันก่อนดีกว่า

สำหรับการเตรียมตัวก่อนการเดินทางมาสิงคโปร์ก็ไม่ยุ่งยากมากนัก เพราะเป็นประเทศที่คนที่ไปท่องเที่ยวไม่เกิน 30 วันไม่ต้องขอวีซ่า ดังนั้นสำรวจว่าพาสปอร์ตไม่หมดอายุเป็นใช้ได้

จากนั้นสิ่งที่ต้องตรวจสอบคือสภาพอากาศก่อนเดินทางดูแล้วน่าจะฝนตกทุกวัน เพราะประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่อยู่ในโซนร้อนชื้นคล้ายภาคใต้บ้านเรา ดังนั้นเรื่องฝนเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่ไม่ควรพลาดคือ ร่มพับคันเล็กๆ ที่พกพาสะดวกหรือเสื้อกันฝนที่มีน้ำหนักเบา (แต่โชคดีวันที่ไปเจอฝนเล็กน้อยเท่านั้น) อีกอย่างคือเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่สิงคโปร์ใช้ไฟฟ้า 220-240 ซึ่งเต้าเสียจะเป็นแบบ 3 ขาแบน ดังนั้นควรพกปลั๊กแปลงไปด้วยนะครับ แต่ที่โรงแรมส่วนใหญ่ก็มีให้ยืมครับ แนะนำให้พกไปอันเดียวแล้วพาปลั๊กรางบ้านเราไปด้วย ทีนี้ชาร์จแบตมือถือ กล้องถ่ายรูปได้สบายเลยครับ

แน่นอนว่าอีกเรื่องที่ต้องเตรียม คือเตรียมเงินไปใช้จ่ายและช็อปปิ้ง สำหรับเงินตราที่บ้านเค้าใช้สกุลเงิน สิงคโปร์ดอลล่าร์ หรือ SGD ซึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ประมาณ 25-26 THB/SGD ส่วนเรื่องภาษาส่วนใหญ่จะใช้ภาษาอังกฤษได้ทุกคนครับ นอกจากภาษาอังกฤษแล้วก็จีนกลางนี่แหละ และสุดท้ายที่ไม่ควรลืมคือโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต เดี๋ยวนี้ราคาไม่แพงจะเปิด Roaming จากที่ไทย หรือมาเช่าซิมใช้ที่สิงคโปร์ก็ได้ครับ แล้วแต่สะดวก

อ้ออีกอย่างที่ลืมบอก เวลาที่สิงคโปร์เร็วกว่าที่ไทย 1 ชั่วโมงนะครับ ดังนั้นหากไปกันหลายคน จะนัดหมายเวลาก็นัดกันให้ดีว่าเวลาไทย หรือสิงคโปร์ แต่หากใครใช้สมาร์ทโฟนก็ไม่เป็นปัญหา เพราะถ้าเปิดเน็ตมา เวลาก็จะปรับอัตโนมัติจ้า











สำหรับทริปนี้พวกเราเดินทางกันด้วยสายการบิน Singapore Airline ซึ่งถือว่าเป็นสายการบินที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสูงทั่วโลก ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 10 นาที ก็จะถึง Changi Airport ระหว่างการเดินทางมีอาหารให้บริการด้วย 1 มื้อนะจ๊ะ และบนเครื่องก็มีหน้าจอส่วนตัวสำหรับคนที่ไม่อยากนอน ก็สามารถดูหนังหรือเล่นเกมส์ได้เพลินเชียว ถือว่าสะดวกสบายดีครับ ที่นั่งก็ถือว่าสบายๆ ไม่อึดอัดเกินไป

และแล้วก็มาถึงสนามบินนานาชาติของสิงคโปร์ ขอบอกว่าสนามบินที่นี่สวยมาก ที่สำคัญมีถึง 3 Terminal ดังนั้นไม่แปลกใจเลยว่าใช้เวลาเดินออกจากเครื่องบิน ผ่าน ตม. และไปรับกระเป๋า สั้นมาก เหมือนกับบินภายในประเทศของบ้านเราเลย (ไม่อยากจะเม้าท์ว่าที่สุวรรณภูมิบ้านเราใช้เวลานานมาก หุหุ)

หลังจากรับกระเป๋าแล้วใครจะเช่าซิมก็ติดต่อที่เคาเตอร์ในสนามบินได้เลยจ้า หรือจะซื้อตั๋วรถ MRT เพื่อเดินทางเข้าเมืองก็ซื้อที่นี่ได้เลย แต่สำหรับเรานั้นใช้บริการรถ Taxi เพื่อเดินทางจากสนามบินไปยังที่พัก บอกนิดนึงว่า Taxi ที่นี่และที่เมืองนอกส่วนใหญ่ผู้โดยสารขึ้นได้สูงสุดเพียง 4 คนนะจ๊ะ เกินกว่านั้นเค้าไม่รับ ไม่เหมือนบ้านเรา และบอกไว้ก่อนว่าค่ารถ Taxi ของที่นี่ถือว่าสูงพอตัวเลยจ้า ตลอดทางสิ่งที่สังเกตเห็นถึงความแตกต่างจากบ้านเราได้อย่างชัดเจนเลย นั่นคือความสะอาด และความร่มรื่น ซึ่งเราจะไม่เห็นความวุ่นวายริมสองข้างทาง เดี๋ยวจะเห็นได้จากภาพตลอดการรีวิวว่าไม่ได้พูดเกินความจริงเลย และที่สำคัญการจราจรที่ไม่หนาแน่น เดี๋ยวจะทยอยๆ บอกว่าทำไมที่นี่รถถึงไม่ค่อยติดนะครับ ก่อนอื่นขอเข้าไปเช็คอินที่พักกันก่อนครับ







และที่พักสำหรับสองคืนนี้เราพักกันที่ย่าน China Street โดยพักที่ AMOY Hotel by Far East Hospitality ซึ่งถือว่าเป็น Heritage Hotel เพราะที่นี่เป็นย่านที่เป็นตึกเก่า และที่สำคัญ AMOY เคยเป็นวัดมาก่อนดังนั้นบรรยากาศจึงดูเก่าแก่ แต่ไม่โทรมนะครับ เพราะมีการปรับปรุงจนน่าพักเชียว ที่นี่ถือว่าเป็นโรงแรมขนาดเล็ก มีเพียง 37 ห้องเท่านั้น ซึ่งขนาดห้องก็ไม่ถือว่าใหญ่มาก แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะส่วนใหญ่เราใช้เวลาอยู่นอกโรงแรมทั้งนั้น แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ขอเช็คอินก่อนนะครับ















และแล้วเครื่องดื่มเย็นๆ ก็เสิร์ฟให้บริการก่อนเลย จากนั้นก็เช็คอิน พร้อมทั้งพนักงานแนะนำการบริการต่างๆ ของโรงแรม บรรยากาศภาย Lobby นั้นถือว่ากว้างสบายๆ ซึ่งอยู่ชั้นล่าง เสียดายที่ประตูทางเข้าที่เป็นประตูวัดเดิมปิดปรับปรุง เลยไม่ได้ชื่นชมไฮไล้ท์ของที่นี่เลย แต่ที่น่าสนใจคือตัวอักษรจีน โดยมีภาษาอังกฤษแปลด้านล่างที่อยู่รอบๆ บ่อน้ำพุ จากการสอบถามนั่นคือสกุลของชาวจีนที่อยู่ทั่วโลกครับ









จากนั้นก็ขึ้นไปดูห้องพักกันครับ ห้องพักเราอยู่ชั้นสอง มีลิฟท์ให้บริการครับ ซึ่งทางเดินภายในโรงแรมมี Step ให้คอยระวังเป็นบางช่วง ซึ่งผมคิดว่าไม่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ข้อเข่าไม่ดีเลยครับ สำหรับบรรยากาศภายในห้องพักมีขนาดไม่กว้างนัก ภายในเน้นสีดำ และน้ำตาลเข้ม ตัดกับสีขาว ผนังประดับด้วยอิฐเปลือยดูเท่ห์ดีครับ ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันครับ ส่วนห้องน้ำไม่ใหญ่มากนักไม่มีอ่างอาบน้ำแต่มี Rain Shower ที่น้ำไหลแรงสะใจดีครับ ส่วนของตกแต่งภายในห้องก็ออกแนวย้อนยุคเล็กน้อยดูเข้ากับบรรยากาศโดยรวมของโรงแรมดูดีมากเลยครับ











เมื่อเข้ามาเก็บของที่ห้องพักแล้ว ก็พักผ่อนภายในห้องเล็กน้อยให้พอผ่อนคลายจากการเดินทาง ซึ่งเรามาถึงที่พักก็ประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ แล้ว ดังนั้นวันนี้จึงมีเวลาไปเดินเที่ยวเพียงครึ่งวันบ่ายเท่านั้น

พอหายเหนื่อยเราก็มาเดินเล่นรอบๆ โรงแรม ซึ่งบรรยากาศรอบๆ เป็นอาคารแบบโบราณ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหาร นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นรูปปั้นและภาพวาดติดผนังที่แสดงถึงชีวิตบรรพบุรุษชาวจีนที่อาศัยอยู่แถวนั้น ซึ่งดูแล้วก็เห็นได้ว่าคนจีนสมัยก่อนมีความขยันและอดทนมากๆ กว่าที่จะเจริญรุ่งเรืองจนถึงทุกวันนี้





แต่ก่อนที่จะออกไปเที่ยวต่อ เราแวะเติมพลังกันก่อนกับร้านดังของที่นี่ ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรมนี้เลยครับ ร้านที่ว่าก็คือ “Ya Kun Kaya Toast” สำหรับร้าน Ya Kun มีอยู่หลายสาขาในสิงคโปร์ รวมทั้งมีไปเปิดที่ไทยแล้วนะครับ อยู่แถวจุฬาฯ นั่นเอง เมนูเด่นของร้านก็ที่เห็นละครับ







อย่างที่บอกไว้ตอนแรกว่า สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อมาเที่ยวสิงคโปร์นั่นก็คือความสะอาด และที่ผมชอบอีกอย่างก็คือความร่มรื่น แม้ว่าสิงคโปร์จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ที่นี่ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชากร ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการปลูกต้นไม้ไว้ทุกพื้นที่แม้กระทั่งบนตึกเราก็จะมองเห็นพื้นที่สีเขียวสบายตา ดูแล้วร่มรื่นมากๆ และโชคดีอีกอย่างของผมคือ ไปถึงแล้วฝนไม่ตกครับ ถือว่าเที่ยวได้สบายๆ (แต่ก็ขอพกร่มไปเผื่อ เพราะที่นี่ฝนตกได้ทุกเวลา อิอิ)

สำหรับการเดินทางของที่นี่ส่วนใหญ่เดินทางได้ 3 รูปแบบ อย่างแรกคือ MRT ซึ่งโรงแรมที่เราพักอยู่ใกล้กับสถานี Telok Ayer ซึ่งเป็นสถานีใหม่ครับ นอกจากนี้ยังเดินทางด้วยรถประจำทาง และสุดท้ายคือ Taxi







อย่างที่บอกไว้ว่าวันนี้เรามีเวลาเพียงช่วงบ่ายและเย็นเท่านั้น ดังนั้นเราจึงขอไปเที่ยวกันที่ Garden by the Bay แทน ซึ่งน่าจะใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายกับที่นี่ได้เต็มที่ครับ สำหรับการเดินทางนั้นเราเดินทางกันด้วย Taxi เป็นหลัก แต่หากใครที่จะใช้บริการ MRT เพื่อไปเที่ยวที่นี่ก็ให้นั่งไปลงที่ Bay Front แล้วเดินข้ามไปยัง Marina Bay Sands จากนั้นก็เดินข้ามสะพานลอยเข้าไปที่สวนได้เลยครับ







สำหรับที่นี่มีที่ให้เราเดินเที่ยวหลายจุดเลยครับ ซึ่งหากเดินเที่ยวเล่นบริเวณโดยรอบจะไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากจะเข้าไปชมสวนสวยๆ ในโดมกระจกไม่ว่าจะเป็น Flower Dome กับ Cloud Forest จะต้องซื้อบัตรเข้าชม ซึ่งผู้ใหญ่ราคา $28 ส่วนเด็ก (3-12 ปี) จะเสียเพียง $15 สำหรับใครที่ยังไม่เคยไปเที่ยวสิงคโปร์ หรือเคยไปแล้วแต่ยังไม่ได้เข้าชม ผมขอแนะนำว่าให้ลองเข้าไปสัมผัสความสวยงามด้านในซักครั้ง แล้วจะรู้ว่าคุ้มค่าครับ









ซึ่งในส่วนของ Flower Dome นั้นก็จะแสดงพรรณไม้จากหลากหลายพื้นที่ทั่วโลกส่วนใหญ่จะเป็นโดยจะเป็นโซนเป็น สวนเมดิเตอร์เรเนียน สวนแคลิฟอร์เนีย สวนออสเตรเลีย สวนแอฟริกาใต้ สวนเบาบับ สวนพืชอวบน้ำ สวนอเมริกาใต้ และสวนโอลีฟ ใครที่ชื่นชอบต้นไม้ และไม้ดอก น่าจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศในโดมนี้ได้ไม่ยาก และภายในโดมยังติดแอร์เพื่อรักษาอุณหภูมิ ทำให้เดินเล่นในสวนได้สบายๆ



และที่เป็น Signature ของสวนนี้นั่นก็คือ ต้นมะกอก (Olive) ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี มาจากเมดิเตอร์เรเนียน ดูแล้วทึ่งว่าเค้าขนย้ายกันมาอย่างไรไม่ให้ต้นไม้อายุเก่าแก่ขนาดนี้ตายได้







นอกจากนี้ในโซนตรงกลางจะเปลี่ยนไปตามเทศกาลต่างๆ ซึ่งตอนนี้ก็จัดสวนเป็นธีมคริสมาสนั่นเองครับ สวยงาม ได้เซลฟี่กันเพลินแน่ครับ







ส่วน Cloud Forest ภายในโดมจะแสดงในส่วนของป่าดิบชื้น ซึ่งเข้าไปก็จะเจอกับน้ำตกจำลองที่ดูสูงใหญ่อลังการงานสร้างมากๆ ซึ่งในส่วนนี้ผมได้แต่เดินดูรอบๆ เพราะเข้ามาชมตอนใกล้เวลาปิดแล้วครับ แต่ขอบอกว่าบรรยากาศข้างในเหมือนอยู่ในป่าธรรมชาติจริงๆ







และที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาที่ Garden by the Bay นั่นก็คือการไปชมการแสดง แสง สี เสียง ของ Supertree Grove หรือต้นไม้ยักษ์เริงระบำ ซึ่งเค้าจะมีการแสดงในรอบ 17.30 และ 21.30 น. จะแสดงรอบละประมาณ 15 นาที โดยเพลงที่ใช้แสดงก็จะแตกต่างกันไปตามเทศกาล และวันนั้นก็เป็นการแสดงในรูปแบบของวันคริสมาสจ้า

ขอบอกว่าสวยงาม เพลิดเพลิน ตื่นตาตื่นใจมากๆ เลยครับ ยิ่งได้ดูพร้อมกับคนที่เรารักแล้วละก็ เป็นการแสดงที่หวานสุดๆ เลยล่ะ แอบเห็นคู่บ่าวสาวมาดูโชว์ด้วยนะ ใส่ชุดแต่งงานกันเต็มรูปแบบเลยจ้า

อ้อ ลืมบอกว่าโชว์นี้เปิดให้ดูฟรีนะครับ ดังนั้นไม่ควรพลาดเด็ดขาด











เมื่อการแสดงจบแล้ว จะสังเหตเห็นว่าด้านบนของ Supertree Grove จะมีสะพานให้ขึ้นไปชมความสวยงามรอบๆ Garden by the Bay ได้ซึ่งเรียกสะพานนี้ว่า OCBC Skyway แต่ต้องเสียค่าขึ้นนะครับ คนละ $5 ด้านบนเป็นสะพานไม้ แต่ไม่ใช่สะพานปูนเรียบๆ นะ เพราะด้านบนขึงด้วยสลิงเป็นส่วนใหญ่ ทำให้บนสะพานเวลาเดินอาจจะมีแกว่งเล็กน้อย แต่ไม่มากนัก ดังนั้นใครที่กลัวความสูง ไม่แนะนำนะครับ







เราใช้เวลาอยู่ใน Garden by the Bay กันนานเลยครับ ดูเวลาอีกทีก็ดึกแล้วสิ ท้องก็เริ่มร้องขึ้นมาแล้ว ดังนั้นเราจึงไปหม่ำความอร่อยของสุกี้หม้อไฟ ซึ่งคนที่นี่บอกว่าอร่อยมาก แถมรอคิวนานมากๆๆๆไม่ต่ำกว่าชั่วโมงครึ่งกันทีเดียว กับร้าน Hai di Lao Hotpot แต่ระหว่างรอก็มีขนม ผลไม้ เครื่องดื่มไว้รองท้องด้วยนะ แถมใครอยากทำเล็บก็มีให้ทำ และมีที่เล่นสำหรับเด็กๆ ด้วยเลิศที่สุด ไว้จะมารีวิวให้ดูอีกทีว่าที่นี่อร่อยคุ้มค่าการรอคอยแค่ได้

ส่วนใครที่อยากลองด้วยตัวเองก็ไปลองได้ที่ ตึก 313 Somerset นะครับ






หลังจากที่อิ่มอร่อยกับหม้อไฟร้อนๆ แล้ว เราก็ออกมาเดินดูไฟที่ทางสิงคโปร์เค้าประดับเพื่อเฉลิมฉลองช่วงคริสมาสและปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึง ซึ่งสามารถเดินชมได้ตลอดถนน Orchard เลยจ้า

จากนั้นก็ได้เวลากลับห้อง พักผ่อนกัน และแล้วก็หมดไป 1 วันสำหรับการมาเที่ยวที่สิงคโปร์ครั้งนี้ ขอบอกว่าเริ่มต้นวันแรกก็ทำให้เราประทับใจหลายๆ อย่างที่พบเจอที่สิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด ความเจริญ ความร่มรื่น รวมทั้งการบริการต่างๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้รับการบริการที่ดีในหลายๆ ที่ สำหรับวันที่สอง จะพาไปเที่ยวไหนบ้างรอดูอีกรีวิวนะครับ


ฝากติดตาม Eat and Travel Diary by ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง ใน Facebook fan page เพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อครับ ถ้าใคร "ถูกใจ" blog นี้ ฝากช่วยกด "Like" กันนะครับ จะได้ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ^_^
Click ข้างล่างได้เลยจ้า

ส่วนใครที่เล่น Instagram ก็ เข้าไป Follow ได้ที่ @eatandtraveldiary จ้า


click เพื่อเข้าสู่ facebook Eat and Travel Diary



Create Date : 11 ธันวาคม 2557
Last Update : 11 ธันวาคม 2557 14:58:05 น. 0 comments
Counter : 1851 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.