การเลี้ยงลูกให้ฉลาดและมีพัฒนาการสมวัย

การเลี้ยงลูกสำหรับดิฉันถือว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนยิ่งคุณแม่คนไหนที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกตามลำพังอย่างดิฉันด้วยแล้วก็ยิ่งมีความวิตกกังวลอยู่ไม่น้อยว่าลูกน้อยของเราจะมีความแข็งแรงสมบูรณ์ เก่งและฉลาดหรือไม่ ทุกครั้งที่ดิฉันมีความกังวลใจและมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกดิฉันจะขอคำแนะนำดีๆจากคนที่ดิฉันรักและไว้ใจก็คือคุณแม่ของดิฉันที่ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้มาช่วยดิฉันเลี้ยงก็ตามมีอยู่คำพูดคำหนึ่งท่านพูดเอาไว้เมื่อวันที่ดิฉันคลอดลูกวันแรกคือ “การเลี้ยงลูกก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ต้นไม้นั้นต้องการการดูแลเอาใจใส่ด้วยการรดน้ำพรวนดินเช่นเดียวกับการเลี้ยงลูกที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่เช่นกัน” ช่วงแรกเกิดที่ดิฉันเลี้ยงลูกดิฉันสังเกตว่าลูกจ้องมองหน้าแม่ขณะทานนมแม่จากอกคุณแม่บอกว่าให้จ้องตาลูกและพูดคุยกับลูกไม่ว่าลูกจะรู้หรือไม่ก็ตามและไม่ต้องใส่ถุงมือและถุงเท้าไว้ตลอดเวลา เก็บไว้ใส่ช่วงอากาศเย็นค่ะเพราะการใส่ถุงมือให้ลูกไว้ตลอดนั้นจะทำให้ลูกไม่รู้จักการสัมผัสไขว่คว้าสิ่งรอบตัว การใช้มือ นิ้วมือ เท้า จะไม่มีพัฒนาการเท่าที่ควรเป็นและจะเกิดการอับชื้นเป็นแผลได้อีกด้วยค่ะ ดิฉันสังเกตว่าลูกจะมีอาการสะอึกอยู่บ่อยๆดิฉันจึงลองให้ลูกทานนมแม่ซ้ำ วิธีนี้ได้ผลค่ะเค้าเค้าหายสะอึกได้จริงๆ และดิฉันเห็นว่าลูกมีอาการแหวะนมออกมาทุกครั้งที่อิ่มคุณแม่บอกว่าทุกครั้งที่ลูกทานนมอิ่มแล้วให้ดิฉันอุ้มลูกให้อยู่ในท่าตรงเพื่อให้ลูกเรอค่ะอย่าให้ลูกทานนมมากเกินไปจะทำให้ล้นและอึบ่อย ช่วงแรกเกิดนี้ลูกจะร้องเก่ง ดิฉันกังวลมากเพราะอดนอน คุณแม่บอกว่าให้หาสาเหตุที่ทำให้ลูกร้องให้เจอค่ะอาจเกิดจากเสื้อผ้ารัดแน่นเกิน นอนทับกระดุม หรือปมเชือกของเสื้อผ้า อึ ฉี่ก้นลูกแดงแสบ ปวดท้อง หนาวหรือร้อน หิว เป็นไปได้หมดค่ะ ก่อนนอนให้ปิดไฟ ปิดทีวีสร้างบรรยากาศเช่นเปิดเพลงเบาๆเพลิน ได้ผลจริงๆค่ะเด็กจะเลี้ยงง่ายรู้ช่วงเวลากลางวันกลางคืน ไม่เคยร้องไห้งอแงอีกเลย

เมื่อลูกได้ 3 ถึง 5 เดือนจะเริ่มมีความแข็งแรง คือชันคอได้แล้วดิฉันจึงหาของเล่นที่มีสีสันแล้วจับให้ลูกนอนคว่ำ ให้ลูกมองของเล่นที่เหนือศีรษะกระตุ้นให้ลูกหัดพลิกคว่ำพลิกหงายลูกจะส่งเสียงคุยอ้อแอ้ยิ้มให้คุณแม่คุณแม่ควรพาลูกไปข้างนอกเพื่อพบปะผู้คนชักชวนและทักทายกับลูกบอกกับลูกทุกครั้งกับสิ่งที่คุณแม่ทำให้ ดิฉันจะสังเกตว่าลูกไม่แหวะนมแล้วเป็นเพราะลูกเริ่มมีความแข็งแรงทางด้านร่างกายแล้วค่ะ

เมื่อลูกได้ 6 ถึง 8 เดือน ระยะนี้ ลูกมีพัฒนาการเกิดขึ้นมากทั้งทางด้านร่างกายและอารมณ์มีคืบและคลานได้แล้ว ความที่ดิฉันเลี้ยงลูกคนเดียว และต้องทำงานบ้านควบคู่ไปด้วยดิฉันจึงไม่ได้เลี้ยงลูกในเปลค่ะลูกดิฉันนอนกับดิฉันและหลับยาวกลางคืนไม่เคยตื่นค่ะดิฉันเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ก็ไม่ตื่นค่ะ หลับคาอกแม่ สิ่งที่ดิฉันระมัดระวังลูกในวัยนี้คือการตกเตียงการนอนทับลูก เพราะเด็กในวัยนี้พลิกคว่ำพลิกหงายได้แล้วนอนไม่ห่มผ้าจะดิ้นถีบผ้าห่มทุกคืนค่ะ ดิฉันต้องหาปิกนิกนุ่มๆและตุ๊กตามากั้นเอาไว้ไม่ให้ตกปิกนิกเพื่อความปลอดภัยค่ะเรื่องอาหารดิฉันเริ่มป้อนโจ๊กกับกล้วยน้ำว้าแล้วค่ะและสังเกตว่าลูกเริ่มมีฟันขึ้นแล้วค่ะลูกจะชอบอมมือค่ะดิฉันจึงหายางกัด จุกนมหลอก มาให้ลูกดูดเล่นแทนค่ะส่วนเรื่องการขับถ่ายในช่วงนี้คุณแม่ไม่ต้องตกใจค่ะลูกจะถ่ายเหมือนตอนที่คุณแม่ท้องเสียดิฉันพาไปหาคุณหมอคุณหมอจะจัดเกลือแร่สำหรับเด็กมาให้ลูกกินและยืนยันว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กในวัยคลานหรือช่วงยืดตัวค่ะ

เมื่อลูกได้ 9 ถึง 12 เดือน ลูกจะเริ่มเหนี่ยวตัว หรือลุกขึ้นยืนได้ในชั่วครู่และเดินได้เองเมื่อครบ 1 ขวบค่ะตอนแรกดิฉันก็กังวลค่ะว่าเมื่อไรลูกยืนหรือเดินได้สักที ดิฉันจึงหัดกระตุ้นให้เค้ายืนเกาะเดินตามโซฟาทุกวันค่ะแล้วเค้าก็ทำได้จริงๆค่ะ เดินได้ตอน 11 เดือนค่ะ เก่งมากๆ ดิฉันชื่นชมลูกทุกครั้งที่เขาทำได้ค่ะและดิฉันได้หัดปรบมือ ไหว้ โบกมือลา หอมแก้ม โยกตัวตามจังหวะเมื่อเปิดเพลง โดยที่ดิฉันทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่างทุกวันแล้วลูกก็ทำตามและชอบเลียนแบบท่าทางคุณพ่อคุณแม่ด้วยค่ะ

เมื่อลูก 1 ขวบขึ้นไปดิฉันไม่เคยตีลูกแต่จะพูดคุยและบอกกับลูกในสิ่งที่ดีและตักเตือนลูกเมื่อลูกทำผิดและพยายามเปิดเพลง ก.ไก่ เพลง เอบีซีหรือท่องให้ลูกฟังทุกวันในช่วงเช้า และดิฉันมีแผ่นโปสเตอร์รูปสัตว์น่ารักก.ไก่ เอบีซี ไว้ตามผนังห้อง ดิฉันจะอ่านให้ลูกฟังทีละแผ่นแล้วถามลูกเช่นกอเอ๋ยกอไก่อยู่ตรงไหน ลูกก็จะเดินไปที่โปสเตอร์ที่ติดไว้ผนังห้องได้ถูกต้องค่ะ

แล้วต้นไม้ต้นนี้ก็พร้อมที่จะเติบโต แข็งแรงสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจและเป็นเด็กจิตใจดีอารมณ์แจ่มใสดีด้วยค่ะ

หมอนหลุม , พัดลมมือถือ , หมอนผ้าห่ม , หมอนหัวทุย  , เก้าอี้หัดนั่ง