...ความสิ้นหวัง ผลักดันให้เราเป็นมนุษย์เท่าๆกัน...
Dunkirk อาจไม่ใช่หนังที่โนแลนจะสามารถใส่ไอเดียบรรเจิดเข้าไปได้ อย่างที่ทำกับผลงานก่อน ๆ เช่น Inception หรือ Interstellar อาจไม่มีอะไรล้ำลึกต้องคิดค้นขบคิด ถ้าใครคาดหวังขนาดนั้นอาจจะต้องผิดหวังนะฮะ บอกไว้เลย ในทางกลับกันก็เป็นเรื่องที่ดูง่ายที่สุดของเขาแล้วล่ะ สำหรับใครที่กำลังกลัวว่าดูหนังของผกก.คนนี้แล้วจะปวดหัว 555+
เพราะ Dunkirk คือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อทหารอังกฤษและฝรั่งเศสกว่า 400,000 นาย ถูกกดดันจนต้องถอยหล่นไปติดอยู่ที่หาดDuknkirk เรือใหญ่ไม่สามารถเทียบท่ามารับพวกเขาได้ เพราะน้ำตื้นเกินไป แล้วยังถูกเครื่องบินฝ่ายนาซีทิ้งระเบิดโจมตีตลอดเวลา สิ่งที่โนแลนต้องการคือทำอย่างไรที่จะพาเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น ความรู้สึกนั้น ความสิ้นหวังหวาดกลัวนั้นมากกว่า
หนังไม่ได้เชิดชูวีรกรรมของทหาร กลับกันเขาทำให้ทหารกลายเป็นมนุษย์เหมือนกันกับเรา เราจะได้เห็นทหารที่สอดส่ายสายตามองหาการ 'เอาชีวิตรอด' เมื่ออยู่ในสถานที่ที่เกือบปิดตาย คล้ายอยู่บนขอบเหวที่ไปต่อไม่ได้ แม้มองเห็นบ้านที่อยู่อีกฝากฝั่งก็ตาม
ชอบการเล่าด้วยมุมกล้องแคบๆให้เห็นเฉพาะสีหน้าคน และการเล่าเรื่อง 3 มุม (บนฟ้า ท้องน้ำ และหาดทราย) ผ่านลูปเวลาที่ยาวนานต่างกันแล้วเอามาบรรจบกันในตอนท้าย
แต่ดนตรีประกอบคิดว่าบีบบิ๊วมากไป จนเหมือนยัดเยียดอารมณ์กดดันกัน จะชอบเสียงนาฬิกาดัง ติ๊กๆๆ คลอเบาๆเหมือนจะนับถอยหลังอะไรสักอย่าง อย่างนี้สิดี น้อยๆแต่ลึกและลุ้นดี