โครงการตะพาบที่ 114 "หนังกลางแปลง"
คืนนี้มีหนังกลางแปลงมาฉายที่สนามโรงเรียนน้ำตาล ฉันได้ยินพี่สาวกระซิบกระซาบกันสองคนกับพี่คนรองว่าจะแอบไปดูหนังกัน เพราะขอแม่แล้วแม่คงไม่ให้ไปเพราะบ้านเราอยู่ไกลจากโรงเรียนมากต้องเดินไปกันเกือบ 3-4 กิโล และกลางคืนจะมืดมาก แม่มักจะไม่ค่อยให้ไปไหนกลางคืน แต่พวกเราก็อยากไป ฉันเป็นน้องคนสุดท้องตอนนั้น ยังเล็กอยู่เลยน่าจะอยู่ชั้น ประถม ป.2หรือ ป. 3 เนี่ยแหละ ฉันก็จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ฉันจำคืนที่พี่แอบไปดูหนังกลางแปลงได้ดีจนบัดนี้เพราะเหตุมันมีเรื่องฝังใจ เวลาเราโตขึ้นมาเจอกันทีไร เราจะเล่าเรื่องแอบไปดูหนังกลางแปลงแล้วมาหัวเราะกันทุกครั้ง
คืนนั้นฉันจำได้ดีว่า พวกพี่ๆจะพากันแกล้งหลับแล้วพากันกล่อมให้ฉันหลับบอกให้ฉันหลับตอนนั้นพ่อและแม่มีลูก 4 คน พี่คนโตเป็นผู้ชายแต่ไปอยู่กรุงเทพฯกะลุง เหลือพี่สองคนเป็นผู้หญิง ทั้งสองคนคงจะอายุประมาณวัยรุ่นน่าจะ สิบสาม สิบสี่แม่ให้เรานอนด้วยกันสามคนในห้องเดียวกัน เวลาไปไหนก็จะรู้กันหมดแต่ฉันส่วนมากจะหลับไม่รู้เรื่องเพราะเล็กกว่าเค้า แต่วันนี้ฉันรู้แล้วฉันไม่ยอมหลับหรอก ฉันก็อยากไปดูหนังเหมือนกันนี่ ฉันก็แกล้งทำหลับตาเหมือนหลับ พี่ก็เอามือมาพัดๆตรงตาฉันถ้าตากะพริบแสดงว่าไม่หลับ แต่ฉันหลับตาแน่น พี่ๆคงคิดว่าฉันหลับแล้วก็ลุกจากที่นอนไปแต่งตัวกัน พ่อและแม่คงจะหลับแล้ว เพราะไฟมืดหมด ฉันแอบหรี่ตามองดู โห..ตื่นเต้นมากเลย พี่สองคนแอบปีนหน้าต่างห้องนอนลงไปข้างล่างซึ่งจะมีระเบียงหลังบ้านอยู่ไม่ออกทางประตูเพราะกลัวแม่จะได้ยิน ฉันนอนตัวแข็งทื่อ พอพี่คนรองปีนลงไปแล้วฉันก็ผลุดลุกขึ้นแอบเปิดประตูออกไปหน้าห้องแล้วเปืดประตูหลังบ้านออกไปอีกทีเห็นหลังพี่สาวไวๆฉันรีบวิ่งตื๋อตามหลังไปทันทีไม่พูดไม่จาเดินตามไปเงียบๆ พี่สาวมัวแต่คุยกันเบาๆและหัวเราะที่แอบปีนลงมาได้ จึงไม่รู้ว่าฉันเดินตามหลังอยู่
คืนนี้เดือนมืดมาก แต่ก็พอมีแสงไฟสว่างข้างทางส่องให้เห็นบ้าง พอเดินผ่านบ้านไปสักสองสามหลังพี่สาวก็ร้องเรียกเพื่อนๆที่นัดกันไว้ออกมา เพื่อนพี่ก็จะเดินออกมารวมกลุ่มกัน 7 - 8 คนมีทั้งหญิงและชาย ฉันจำชื่อไม่ค่อยได้หรอก ฉันจำได้พี่จิ๋ว พี่เพ็ญ และพี่เสริฐแค่นั้นนอกนั้นจำขื่อไม่ได้เพราะไม่ค่อยคุ้น เสียงเพื่อนๆพี่ทักทายกันโขมงโฉงเฉง จนพี่จิ๋วเห็นฉัน
"อ้าวตัวเล็ก ไม่นอนเหรอจะไปดูหนังด้วย แล้วหลับใครจะอุ้มเนี่ย"
พี่สองคนหันขวับ
"เฮ้ย มาได้ไงเนี่ย นึกว่าหลับแล้ว ตามได้ไงฮึ"
พี่ร้องถาม ฉันไม่ตอบพี่ก็บอกว่า
"ไม่เอาไม่ไป ไปนอนดีกว่านะ นะ"
ฉันสั่นหน้าลูกเดียว พี่จิ๋วก็บอกว่า
"พาไปเถอะ น้องเค้าอยากดูหนังแหละ เดี๋ยวหลับค่อยปลุกให้ตื่นก็ได้ "
พี่สาวสองคนมองหน้ากันและตกลงให้ฉันตามไปด้วยแต่คาดโทษว่าห้ามงอแงซื้อขนมและปลุกต้องตื่นห้ามงอแงเด็ดขาดฉันก็รับคำ
เป็นอันว่าคืนนั้นฉันได้ดูหนังกลางแปลงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไม่เคยลืมเลย และก็เป็นครั้งสุดท้ายด้วย เพราะหลังจากนั้นฉันก็ไม่เห็นมีรถมาประกาศฉายหนังกลางแปลงอีกเลย
พวกเราพากันเดินไปเรื่อยๆ อากาศเย็นๆเพราะใกล้จะหน้าหนาวแล้ว ท้องฟ้าดาวเต็มฟ้าแต่ไม่มีแสงเดือนเลย พี่สาวจูงมือฉันเดินไปเรื่อยๆ ถามว่าเมื่อยมั๊ย ให้อุ้มมั๊ย แต่ฉันสั่นหน้า อยากเดินเอง เพราะกลัวคราวหน้าจะไม่ได้ไปอีก
พวกพี่ๆเดินกันไปคุยกันไปหยอกล้อกันไปบางทีก็หลอกกันว่าผีหลอกก็พากันวิ่งฉันวิ่งตามสุดชีวิตเท่าที่จะวิ่งได้พวกพี่ด่าทอหัวเราะเล่นกันจนถึงสนามโรงเรียนฉันไม่เหนื่อยเลยสนุกมากกว่าอีก เดินไปเล่นไปก็ไม่เหนื่อยเลย มีกลุ่มเพื่อนบ้านตั้งหลายคนเค้าก็เดินมากันเป็นกลุ่มๆ ฉันว่าสนุกดีซะอีกตาฉันสว่างโร่ไม่ง่วงเลยสักนิดพี่ๆมาว่าฉันจะง่วงได้ไง
พอไปถึงพวกพี่ๆก็พากันเดินไปหาที่นั่งพยายามนั่งข้างหน้ากันจะได้ไม่มีใครบังแล้วก็เอาผ้าใบผืนใหญ่พับใส่ถุงมาปูนั่งกันได้หลายคน สนามหญ้านุ่มๆผ้าใบผืนใหญ่ปูแล้วนั่งมันนุ่มน่านอนจริงๆ
พอนั่งเสร็จแล้วพวกพี่ก็เปลี่ยนเวรกันไปซื้อขนม เอามาให้ฉันกินด้วย ฉันกินซะเพลินเลยสนุกดีออก อย่างนี้เองพี่ๆเค้าถึงแอบแม่มาก็มันสนุกเพลิดเพลินอากาศก็ดีเพราะสนามโรงเรียนกว้างมาก
ฉันเห็นเค้าขายอ้อยควั่น ถั่วลิสงคั่ว ปลาหมึกย่างแล้วบดจิ้มน้ำจิ้มอร่อยสุดๆ ฉันชอบมาก นอกจากนี้ยังมีหมากฝรั่ง ลูกอม ขนมหวาน น้ำแข็งใสเยอะแยะไปหมด น่ากินทั้งน้าน พี่รีบบอก เมื่อเห็นฉันตาละห้อยมองร้านขนม
"อย่าร้องกินขนมมากนะตังค์ไม่ค่อยมีนะ"
เพราะแอบแม่มาก็ไม่ค่อยจะมีตังค์ซื้ขนมกินกันฉันได้กินจากเพื่อนๆของพี่ซื้อมาให้บ้างกินซะเปรมเลย
ช่วงที่ไปซื้อขนมกันหนังยังไม่ฉายแต่คนพากย์หนังก็จะโฆษณาขายของขายยากันไปเรื่อย เท่าทีจำได้รู้สึกจะเป็นถ่านไฟฉายตราแมวรอดบ่วงหรืออะไรเนี่ยแหละจำไม่ค่อยได้แล้ว อิอิ
กว่าหนังจะฉายฉันก็ชักจะง่วงซะแล้วเพราะกินขนมไปเยอะ พอหนังฉายฉันก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก รู้แต่ว่าเป็นหนังไทยเรื่อง "นกน้อย " มิตร เพชรานำแสดง เป็นหนังที่ใช้เพลงพระราชนิพนธ์มาเป็นชื่อเรื่อง จำได้แต่ดอกดินตัวดำๆ ตลกดี ดูไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่องแล้วเพราะหลับซะเป็นส่วนใหญ่มารู้สึกตัวอีกทีตอนพี่ๆปลุก เขย่าๆตัวฉัน
จากนั้นพวกเราก็พากันเดินกลับ พี่ๆถามฉันว่าหนังสยนุกมั๊ย ฉันก็ว่าสนุก พี่ๆพากันหัวเราะกันครืน พี่จิ๋วบอก "หลับเอาๆจะรู้เรื่องได้ไง ฝันไปมั๊ง "
จากนั้นทุกคนก็เดินจ้ำเอาๆเพื่อให้ถึงบ้านเร็วๆ มีกลุ่มเพื่อนบ้านพากันเดินเป็นกลุ่มใหญ่ผ่านเราไปก็ทักทายกันตามประสาชาวบ้านพอถึงบ้านใครคนนั้นก็เข้าบ้านไป จนเหลือเราสามคนพี่น้องเพราะบ้านอยู่ท้ายหมู่บ้านไกลกว่าเพื่อน เราพากันเดินเงียบๆพี่ๆต่างพากันบอกฉันว่า
"ห้ามไปบอกแม่นะว่าไปดูหนังกันมา ไม่ต้องพูดถึงเลยให้ทำไม่รู้ไม่ชี้ซะเข้าใจมั๊ย "
ฉันก็พยักหน้าแล้วบอกว่า
"ไม่พูดหรอกว่าพี่แอบปีนหน้าต่างไปดูหนัง "
พี่บอก "นั่นแหละดีแล้วห้ามพูดเด็ดขาด ถ้าแม่จับได้นะคราวหน้าอดดูหนังไม่ให้ไปด้วยเลย"
ถึงบ้านแล้ว บ้านยังคงสงบเงียบเช่นเคยเจ้าด่างครางฮั่มๆพี่สาวรีบจุ๊ปากบอกให้มันเงียบมันจึงครางงิ๊ดง๊าดกระดิกหางให้แทน
พี่ๆรีบพาฉันขึ้นบันไดหลังบ้านไปที่เก่า เพื่อที่จะปีนหน้าต่างเข้าไปตามเดิม
พอเราสามคนขึ้นไปพ้นบันไดแล้วกำลังจะเดินไปปีนหน้าต่างที่งับเอาไว้ทันใดนั้น
"ควั่บๆๆๆๆ โอ๊ย..แม่ ..ฮือๆๆๆๆ" เสียงพี่สาวคนโตร้องลั่น ตามด้วยพี่สาวคนรอง "แม่บอกแล้วใช่มั๊ยไม่ให้ไปดูหนังทางมันไกล มืดก็มืด นี่ยังริแอบปีนหน้าต่างไปอีก มิหนำซ้ำยังพาน้องตัวเล็กไม่รู้เรื่องรู้ราวไปอีก นี่แน่ะๆๆควั่บๆๆๆ"
แม่ด่าไปพร้อมกับขยับไม่เรียวตีหลังพี่ไปด้วยพี่ได้แต่ยืนกอดอกให้แม่ตีอย่างนั้นหนีไม่ได้เพราะถ้าวิ่งหนีจะโดนหนักกว่าเดิม
ฉันยืนหน้าซีดร้องไห้จ้าเลย พ่อลุกออกมาบอกแม่ให้พอๆตีพอหลาบจำก็พอแล้ว
แม่บอกว่า "ที่แม่ตีเนี่ยรู้มั๊ยแม่เป็นห่วงนะ แม่ลุกออกมาข้างนอกจะมาเอาน้ำไปให้พ่อกินยา เอ้าประตูเปิดโล่อยู่ ยังนึกว่าทำไมไม่ปิดประตูพอจะเข้าไปเรียกประตูห้องนอนก็เปิดอ้าซ่าอยู่ก็รู้เลยไม่อยู่แน่ รู้มั๊ยแม่ตามไปถึงบ้านยายมีไปถามดูว่าไอ้เพ็ญมันไปด้วยมั๊ย ดีนะ ยายมีบอกว่ามีเพื่อนไปหลายคน แม่ถึงไม่ตามไปที่เค้าฉายหนัง "
แม่บอกอย่างโมโห "ต่อไปนี้จะไปไหนก็ให้บอกแม่มีเหตุผลพอมีเพื่อนไปหลายคนแม่ก็ไม่ห้ามหรอก นี่อะไรกันพากันแอบหนีไปอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน "
คืนนั้นกว่าจะได้นอนแม่นั่งอบรมยาวๆๆๆๆๆๆแต่ฉันหลับไปตอนไหนไม่รู้เรื่องเลย แหะ แหะ โชคดีที่เราตัวเล็ก ก็รอดจากไม้เรียวไป
นับแต่นั้นเป็นต้นมาพี่ๆก็ไม่ไปดูหนังกลางแปลงอีกเลยเพราะที่ตลาดมีโรงหนังแล้วค่าดูก็ไม่แพงเพราะโรงหนังทำอย่างง่ายๆล้อมรั้วด้วยไม้ไผ่แล้วเอาผ้าใบล้อมอีกที ชื่อโรงหนังอะไรก็จำไม่ได้แล้วเดี๋ยวนี้เลิกไปแล้ว พี่ๆก็จะนัดเพื่อนๆไปดูหนังกันบางทีแม่ก็พาไปบ้าง
ส่วนฉันยังอยากดูหนังกลางแปลงอีกฉันว่ามันสนุกกว่าไปนั่งดูในโรงซะอีก เพราะอากาศเย็นสบายลมพัดเบาๆ ไม่อึดอัดเหมือนในโรง แต่วันแล้ววันเล่าฉันก็ไม่เห็นมีใครมาประกาศฉายหนังกลางแปลงอีกเลย ฉันจึงได้ดูเรื่องแรกและเรื่องสุดท้าย คือ"นกน้อย" ของมิตรและเพชรา เสียดายที่ดูไม่รู้เรื่องตอนนั้นจนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร เฮ้อ...เสียดายจัง หนังกลางแปลง หมดยุคซะแล้ว
*************************************************
ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่เข้ามาชมและให้กำลังใจค่ะ ขอขอบคุณโค๊ดบีจีสวยๆจากน้องญามี่และภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ขอขอบคุณโค๊ดเพลงจากคุณYAOVARIT เพื่อนบล็อกและเพลงประกอบจากยูทูบเพลง บรรเลงพระราชนิพนธ์ ชะตาชีวิต ขอขอบคุณคุณ "Multiple "เพื่อนบล็อกที่ช่วยแนะนำแก้ไขชื่อเรื่องของหนังกลางแปลงจากเรื่อง "ชะตาชีวิต" เป็นเรื่อง"นกน้อย" ค่ะเพราะจขบ.แต่งมาจากจินตนาการและความทรงจำบางส่วนอาจจะจำผิดพลาดค่ะแหะแหะ
ไว้พบกันใหม่ในโครงการตะพาบคราวหน้าค่ะ
Create Date : 23 กันยายน 2557 |
Last Update : 5 ตุลาคม 2557 8:41:57 น. |
|
82 comments
|
Counter : 2519 Pageviews. |
|
|
โชคดีนะคะที่เป็นน้องเล็กเลยรอดพ้นไม้เรียวไปได้ 555