Bloggang.com : สมาชิกหมายเลข 4149951 : อะไรคือสาเหตุทำให้สมองเสียหาย จากดีๆกลายเป็นคนพิการ

อะไรคือสาเหตุทำให้สมองเสียหาย จากดีๆกลายเป็นคนพิการ

ขอบคุณของแต่งบล็อกโดย...

ไลน์สวยๆโดย...ญามี่ / ภาพกรอบ กรอบ goffymew / โค๊ตบล็อกสำหรัมือใหม่ กุ๊กไก่ / เฮดบล็อก เรือนเรไร /ไอคอน ชมพร / สีแต่งบล็อก Zairill /ภาพไอคอนRainfall in August / แบนด์..การ์ตูน ไลน์น่ารักๆๆจาก... oranuch_sri Mini Icon goragot

เครดิตภาพบีจี เรือนเรไร

เครดิตภาพไลน์ ญามี่

อะไรคือสาเหตุทำให้สมองเสียหาย จากดีๆกลายเป็นคนพิการ
From Wikipedia, the free encyclopedia

cr:picture by internet

ความพิการทางสมองคือความไม่สามารถเข้าใจหรือกำหนดภาษาได้เนื่องจากความเสียหายต่อบริเวณสมองที่เฉพาะเจาะจง สาเหตุสำคัญเกิดจากอุบัติเหตุหลอดเลือดสมอง (โรคหลอดเลือดสมอง) หรือการบาดเจ็บที่ศีรษะ ความพิการทางสมองอาจเป็นผลมาจากเนื้องอกในสมองการติดเชื้อในสมองหรือโรคเกี่ยวกับระบบประสาท แต่อย่างหลังนี้แพร่หลายน้อยกว่ามาก

เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นความพิการทางสมองการพูดหรือภาษาของบุคคลจะต้องมีความบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญในการสื่อสารอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือมากกว่า) ในสี่ด้านหลังจากได้รับบาดเจ็บที่สมอง อีกวิธีหนึ่งในกรณีของความพิการทางสมองแบบก้าวหน้าจะต้องลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาสั้น ๆ การสื่อสารทั้งสี่ด้าน ได้แก่ ความเข้าใจในการได้ยินการแสดงออกทางวาจาการอ่านและการเขียนและการสื่อสารตามหน้าที่

ความยากลำบากของผู้ที่มีความพิการทางสมองอาจมีตั้งแต่ปัญหาในการค้นหาคำในบางครั้งไปจนถึงการสูญเสียความสามารถในการพูดอ่านหรือเขียน อย่างไรก็ตามสติปัญญาไม่ได้รับผลกระทบ ภาษาที่แสดงออกและภาษาที่เปิดกว้างสามารถได้รับผลกระทบเช่นกัน ความพิการทางสมองยังส่งผลต่อภาษาภาพเช่นภาษามือ ในทางตรงกันข้ามการใช้นิพจน์สูตรในการสื่อสารในชีวิตประจำวันมักจะถูกรักษาไว้ ตัวอย่างเช่นในขณะที่ผู้ที่มีความพิการทางสมองโดยเฉพาะอย่างยิ่งความพิการทางสมองของ Broca อาจไม่สามารถถามคนที่คุณรักเมื่อถึงวันเกิด แต่พวกเขาก็ยังสามารถร้องเพลง "สุขสันต์วันเกิด" ได้ การขาดดุลที่แพร่หลายอย่างหนึ่งในความพิการทางสมองคือความผิดปกติซึ่งเป็นความยากลำบากในการค้นหาคำที่ถูกต้อง

เมื่อมีความพิการทางสมองรูปแบบการสื่อสารในสมองอย่างน้อยหนึ่งโหมดได้รับความเสียหายจึงทำงานผิดพลาด ความพิการทางสมองไม่ได้เกิดจากความเสียหายของสมองที่ส่งผลให้มอเตอร์หรือประสาทสัมผัสขาดดุลซึ่งทำให้เกิดการพูดที่ผิดปกติ นั่นคือความพิการทางสมองไม่เกี่ยวข้องกับกลไกการพูด แต่เป็นความรู้ความเข้าใจภาษาของแต่ละบุคคล (แม้ว่าบุคคลอาจมีปัญหาทั้งสองอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาตกเลือดที่ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของสมองเสียหาย) "ภาษา" ของแต่ละบุคคลคือชุดกฎเกณฑ์ที่ใช้ร่วมกันในสังคมตลอดจนกระบวนการคิดที่อยู่เบื้องหลังการพูดด้วยวาจา ไม่ได้เป็นผลมาจากความยากลำบากในการเคลื่อนไหวของอุปกรณ์ต่อพ่วงหรือประสาทสัมผัสเช่นอัมพาตที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อการพูดหรือการได้ยินทั่วไป

เมื่อมีความพิการทางสมองรูปแบบการสื่อสารในสมองอย่างน้อยหนึ่งโหมดได้รับความเสียหายจึงทำงานผิดพลาด ความพิการทางสมองไม่ได้เกิดจากความเสียหายของสมองที่ส่งผลให้มอเตอร์หรือประสาทสัมผัสขาดดุลซึ่งทำให้เกิดการพูดที่ผิดปกติ นั่นคือความพิการทางสมองไม่เกี่ยวข้องกับกลไกการพูด แต่เป็นความรู้ความเข้าใจภาษาของแต่ละบุคคล (แม้ว่าบุคคลอาจมีปัญหาทั้งสองอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาตกเลือดที่ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของสมองเสียหาย) "ภาษา" ของแต่ละบุคคลคือชุดกฎเกณฑ์ที่ใช้ร่วมกันในสังคมตลอดจนกระบวนการคิดที่อยู่เบื้องหลังการพูดด้วยวาจา ไม่ได้เป็นผลมาจากความยากลำบากในการเคลื่อนไหวของอุปกรณ์ต่อพ่วงหรือประสาทสัมผัสเช่นอัมพาตที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อการพูดหรือการได้ยินทั่วไป

ความพิการทางสมองส่งผลกระทบต่อผู้คนประมาณ 2 ล้านคนในสหรัฐอเมริกาและ 250,000 คนในบริเตนใหญ่ เกือบ 180,000 คนได้รับความผิดปกตินี้ทุกปีในสหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียว คนทุกวัยสามารถพัฒนาความพิการทางสมองได้เนื่องจากมักเกิดจากการบาดเจ็บที่บาดแผล อย่างไรก็ตามคนที่อยู่ในวัยกลางคนและผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะมีความพิการทางสมองมากที่สุดเนื่องจากสาเหตุอื่น ๆ มักเกิดขึ้นในวัยสูงอายุ ตัวอย่างเช่นประมาณ 75% ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมดเกิดขึ้นในบุคคลที่มีอายุมากกว่า 65 ปีโรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุของความพิการทางสมองส่วนใหญ่: 25% ถึง 40% ของผู้ที่รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองจะพัฒนาความพิการทางสมองอันเป็นผลมาจากความเสียหายต่อการประมวลผลภาษา บริเวณของสมอง

วิธีการทางประสาทวิทยาทางปัญญา

แม้ว่าแนวทาง Localizationist จะให้วิธีที่มีประโยชน์ในการจำแนกรูปแบบต่างๆของความยากลำบากทางภาษาออกเป็นกลุ่มกว้าง ๆ แต่ปัญหาหนึ่งก็คือจำนวนบุคคลที่มีขนาดใหญ่ไม่พอดีกับประเภทใดประเภทหนึ่งอย่างเรียบร้อย ปัญหาอีกประการหนึ่งคือหมวดหมู่โดยเฉพาะหมวดหมู่ที่สำคัญเช่นความพิการทางสมองของ Broca และ Wernicke ยังคงค่อนข้างกว้าง ดังนั้นแม้ในกลุ่มบุคคลที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์สำหรับการจำแนกประเภทเป็นประเภทย่อยอาจมีความแปรปรวนอย่างมากในประเภทของความยากลำบาก

แทนที่จะจัดหมวดหมู่บุคคลทุกคนเป็นประเภทย่อยที่เฉพาะเจาะจงวิธีการทางจิตวิทยา เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจมุ่งเป้าไปที่การระบุทักษะภาษาหลักหรือ "โมดูล" ที่ทำงานไม่ถูกต้องในแต่ละคน บุคคลอาจมีปัญหากับโมดูลเดียวหรือหลายโมดูล แนวทางประเภทนี้ต้องใช้กรอบหรือทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะ / โมดูลที่จำเป็นในการทำงานด้านภาษาประเภทต่างๆ ตัวอย่างเช่นแบบจำลองของ Max Coltheart ระบุโมดูลที่จดจำหน่วยเสียงเมื่อมีการพูดซึ่งจำเป็นสำหรับงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจดจำคำ

ในทำนองเดียวกันมีโมดูลที่เก็บหน่วยเสียงที่บุคคลนั้นวางแผนที่จะผลิตเป็นเสียงพูดและโมดูลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคำยาว ๆ หรือการพูดแบบยาว เมื่อกำหนดกรอบทฤษฎีแล้วการทำงานของแต่ละโมดูลสามารถประเมินได้โดยใช้การทดสอบเฉพาะหรือชุดการทดสอบ ในสภาพแวดล้อมทางคลินิกการใช้แบบจำลองนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการประเมินแบตเตอรี่ซึ่งแต่ละโมดูลจะทดสอบโมดูลเหล่านี้หนึ่งหรือหลายโมดูล เมื่อได้รับการวินิจฉัยถึงทักษะ / โมดูลที่มีความบกพร่องที่สำคัญที่สุดแล้วการบำบัดสามารถดำเนินการต่อเพื่อรักษาทักษะเหล่านี้ได้

ความพิการทางสมองก้าวหน้า

ความพิการทางสมองขั้นต้น (Primary progressive aphasia: PPA) เป็นภาวะสมองเสื่อมจากการเสื่อมของระบบประสาทที่อาจเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยที่ก้าวหน้าหรือภาวะสมองเสื่อมเช่นภาวะสมองเสื่อม frontotemporal / Pick Complex Motor neuron disease, Progressive supranuclear palsy และ Alzheimer's disease ซึ่งเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปของการสูญเสียความสามารถอย่างต่อเนื่อง คิด. การสูญเสียฟังก์ชันภาษาทีละน้อยเกิดขึ้นในบริบทของหน่วยความจำการประมวลผลภาพและบุคลิกภาพที่เก็บรักษาไว้ค่อนข้างดีจนถึงขั้นสูง อาการมักเริ่มต้นด้วยปัญหาการค้นหาคำ (การตั้งชื่อ) และความก้าวหน้าของไวยากรณ์ (ไวยากรณ์) และความเข้าใจที่บกพร่อง (การประมวลผลประโยคและความหมาย) การสูญเสียภาษาก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำทำให้ PPA แตกต่างจากปกติ โรคสมองเสื่อม. ผู้ที่ทุกข์ทรมานจาก PPA อาจมีปัญหาในการเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด พวกเขาอาจมีปัญหาในการพยายามหาคำที่เหมาะสมเพื่อสร้างประโยค การจำแนกประเภทของความพิการทางสมองขั้นต้นมีสามประเภท ได้แก่ Progressive nonfluent aphasia (PNFA), Semantic Dementia (SD) และ Logopenic progressive aphasia

Progressive Jargon Aphasia เป็นความพิการทางสมองที่คล่องแคล่วหรือเปิดกว้างซึ่งคำพูดของบุคคลนั้นไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ดูเหมือนจะมีเหตุผลสำหรับพวกเขา การพูดเป็นไปอย่างคล่องแคล่วและง่ายดายด้วยรูปแบบและไวยากรณ์ที่สมบูรณ์ แต่บุคคลนั้นมีปัญหาในการเลือกคำนาม พวกเขาจะแทนที่คำที่ต้องการด้วยคำอื่นที่ออกเสียงหรือดูเหมือนคำเดิมหรือมีการเชื่อมต่อแบบอื่นหรือจะแทนที่ด้วยเสียง ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีความพิการทางสมองมักใช้ศัพท์แสงและอาจอดทนต่อไปหากพวกเขาพยายามแทนที่คำที่พวกเขาไม่สามารถหาได้ด้วยเสียง การแทนที่มักเกี่ยวข้องกับการเลือกคำอื่น (จริง) ที่ขึ้นต้นด้วยเสียงเดียวกัน (เช่นหอนาฬิกา - กระชอน) การเลือกคำอื่นที่เกี่ยวข้องกับคำแรก (เช่นตัวอักษร - เลื่อน) หรือเลือกคำที่มีการออกเสียงคล้ายกับคำที่ต้องการ (เช่นเลน - สาย)

Create Date : 25 พฤษภาคม 2564

Last Update : 25 พฤษภาคม 2564 4:28:49 น.

0 comments

Counter : 819 Pageviews.