Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2556
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
28 ธันวาคม 2556
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน Suomalainen

สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน ด้วยความยินดีที่ได้มาพบกันอีกสัปดาห์ครับกับเรื่องเล่าฆ่าเวลาเล็กๆ น้อยๆ ฮาบ้าง ไม่ฮาบ้าง แป้กบ้าง ขัดหูขัดตาบ้าง จากคนเขียนบล็อกเล็กๆบล็อกหนึ่งที่เขียนมาร่วม 3-4 ปีเข้าไปแล้ว นับจำนวนก็คงจะประมาณสัก 100 ตอนได้ ... ล่าสุดคนที่รู้จักกันได้แว่บเข้ามาอ่านฆ่าเวลานิดๆหน่อยๆ บอกว่าเป็นตอนๆเหมือนซิทคอมในทีวี ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของ "เป็นต่อ" ขึ้นมาทันใด นอกเหนือไปจาก "บางรักซอย 9" ที่เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยดู หรือถ้าย้อนกลับไปไม่หน่อยก็ต้อง 3 พี่น้อง กบ-แท่ง-มอส ใน "3 หนุ่ม 3 มุม" ... จำได้ว่าคนเขียนเคยลองไล่ดูแต่ละตอนๆของ "เป็นต่อ" ในยูทูปตั้งแต่ตอนแรก ก็ยังไม่ครบ น่าจะได้ประมาณสัก 100 กว่าตอนก็หยุดไป เพราะทั้งหมดร่วม 10 ปี - ปีละ 52 สัปดาห์ ขาดเหลืออีกนิดหน่อยก็คงใกล้ๆ 500 ตอน เดี๋ยวเอาไว้ว่างๆจะหาเวลาไปดูต่อ (อ้อ ... เป็นต่อ นี่เห็นว่ายังไปได้อีก แต่เปลี่ยนแพลตฟอร์มจากฟรีทีวีไปยังเคเบิ้ล) ... ซิทคอมทั้ง 3 เรื่องนั้นถึงแม้ว่าจะมีแฟนๆติดตามกันเป็นล่ำเป็นสัน แตกต่างกันคนละรสชาติ แต่สุดท้ายก็จบลงหลังจากอิ่มตัวแล้ว ซักวันหนึ่งเรื่องเล่าจากร้านหนังสือก็คงจะจบเหมือนกัน ถึงวันนั้นเมื่อไหร่คงได้เรียนรู้อีกความรู้สึกหนึ่งของการลาจาก ... ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรู้สึกยังไงนะครับ อาจเฉยๆ / โล่งอก หรือเศร้า ...

แต่ที่แน่ๆ การจากไปของ "พอล วอล์คเกอร์" พระเอกหนุ่มแห่ง F&F ทำให้คนเขียนรู้สึกเศร้าไปด้วยเหมือนกัน เพราะคนเขียนเองก็เป็นแฟนหนังรถแข่งเรื่องนี้มาตั้งแต่ภาคแรก และก่อนหน้านี้กับหนังเรื่องอื่นๆที่พอลเล่นเป็นพระเอกบ้าง พระรองบ้าง ด้วยชอบหน้าตา บุคลิก ผมหยักศก ยิ้มสวยและท่ายืนล้วงกระเป๋าเท่ห์ๆ ... ความรู้สึกคล้ายกับสมัยเกือบ 20 ปีก่อน ตอนที่นางเอกวัยรุ่น "บุญพิทักษ์ จิตกระจ่าง" ประสพอุบัติเหตุเสียชีวิต หลังจากที่คนเขียนเพิ่งจะได้ดูหนัง "รักแท้บทที่ 1" ไม่เท่าไหร่ ... หรืออีกทีก็ตอนที่ "ฮีท เลดเจอร์" ดาราเจ้าบทบาทที่ตายเมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งภาพจำที่มีนั้นมาจากบทอัศวินหนุ่มตัวปลอมจากบ้านนอกที่ดิ้นรนจนสุดท้ายได้เป็นอัศวินตัวจริงที่แต่งตั้งโดยคิงจากเรื่อง "A Knight's Tale" ... ได้แต่เสียดายฝีมือและขออวยพรให้ดวงวิญญาณของ พอล เดินทางไปสู่สุคติ

หลายสัปดาห์ก่อน ผมเคยพูดถึงเรื่องเลนจักรยานที่ถนนพระอาทิตย์ไปแล้ว ค้างไว้ว่าจะทำยังไงเพื่อเซ็ทเทิลปัญหาให้จบ ก็ปรากฏว่าจนถึงตอนนี้ก็คงจบไปแล้วครับ โดยมี 2 แอคชันที่ดำเนินการไป คือ

1) ทำเสาเรืองแสงยึดติดกับพื้นเพิ่มความถี่ให้มากขึ้น โดยเอาเทปสีที่พันห่างๆระหว่างเสาออกไป เว้นไว้เฉพาะตรงทางรถที่แยกเข้าหน้าประตูหรือซอยเล็กที่แยกออกไป ... ก็ดูดีขึ้นครับ ดูเป็นทางการดี เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ตามรูปด้านล่างที่เอามาให้ดู


2) ทางตำรวจกับ กทม. ได้ทำป้ายอธิบายการใช้เส้นทางเลนนั้น โดยมีข้อความ "จอดรถได้ ตามเวลาที่กำหนด" เพิ่มเติมขึ้นมาสำหรับเลนข้าง ก็เป็นอันจบไปสำหรับเรื่องส่วนรวมของคนที่ใช้ถนนพระอาทิตย์ครับ ที่เหลือก็กลายเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วที่ใครจะยังคงใช้อยู่หรือไม่ ใครจะย้ายไปใช้เส้นทางอื่น สำหรับคนเขียนเอง เวลาเช้าก็เลิกใช้ไปเลย หลังจากที่เคยลองอยู่ 2 วัน ระยะสั้นๆจากใต้สะพานพระปิ่นเกล้าเดินรถเลนเดียวไปตามถนนพระอาทิตย์ผ่าน สวนสันติฯ ไปโผล่สี่แยกบางลำพูใช้เวลา 40 นาที ... ก็เลยเปลี่ยนเส้นทางไปเลย ... เดี๋ยวเอาไว้ปิดเทอมว่างๆ ค่อยหาเวลาพิสูจน์ใหม่อีกที


ครับ ... ท่ามกลางข่าวการเมืองร้อนๆที่ท่วมสื่อทั้งหลายเต็มไปหมด มีอยู่หนึ่งข่าวที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้อย่างอารมณ์ดี มันคือข่าวรถเช่าที่สนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากผู้เช่าไปจอดรถที่นั่นแล้วเกิดเสียชีวิตขึ้นมา เลยไม่ได้เอารถไปคืน บริษัทผู้ให้เช่านั้นหาไม่เจออยู่แล้วว่ารถหายสาบสูญไปไหน แต่การที่รถถูกจอดไว้ตั้งแต่ 21 เมษายน 2555 จนมาเป็นข่าวก็ 1 ปี 8 เดือน ค่าจอดรถคิดเป็นเงิน 120,000 บาท พร้อมๆกับเกิดแปลงกายเป็นรถผีสิงพร้อมน้ำแดง + พวงมาลัยของไหว้ ... ผมว่าบ้านเรามันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ๆเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลลานจอดรถของสนามบินนานาชาติ / เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือคนที่เอาน้ำแดง + พวงมาลัยไปที่นั่น SmileySmileySmiley

ร้านหนังสือยังเปิดอยู่ครับ เพื่อให้บริการลูกค้านักท่องเที่ยวที่ต้องการหนังสือท่องเที่ยวภาษาอังกฤษ ทั้งลุกค้าแบ็คแพ็คเกอร์ต่างชาติหรือลุกค้าคนไทย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือใหม่มือหนึ่งหรือเก่ามือสอง ส่วนใหญ่จะเป็นโลนลีแพลนเน็ต ราฟไกด์ ดีเค อินไซด์ไกด์ เสริมด้วยภาษาของแบ็คแพ็คเกอร์นักล่าหลากหลายสัญชาติ ทั้งฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ฮีบรู ดัชท์ ดานิช นอร์สค์ โปล สวีดิช ซูโอมาไลเนน จนกระทั่ง ไชนีส แจแปนนิส แอนด์ โคเรียน ... จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่โชคเคราะห์

เดือนที่แล้ว สาวลอนดอนคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับมุขอมตะว่ากระเป๋าหายวันก่อน ต้องหาทางโทรศัพท์กลับบ้านเพื่อให้คนที่บ้านโอนเงินมาให้ ตอนนี้มีเงินเหลือติดตัวไม่เท่าไหร่ ผมมีไกด์บุ๊คไทยแลนด์เวอร์ชันล่าสุดราคาพิเศษขายให้ได้หรือไม่ ผมเลยชี้ให้ดูว่าตอนนี้เหลือแต่เล่มมือหนึ่งนะ มือสองโลนลีแพลนเน็ตหมด เล่มใหม่ได้ไหม-ใช้แล้วผมซื้อคืนครึ่งราคา สาวเจ้าดูราคาแล้วก็ส่ายหน้าบอกว่าเงินยังไม่มา มีเหลือติดตัวอยู่นิดหน่อย แต่พรุ่งนี้ต้องใช้แล้วเพราะจะออกจากกรุงเทพขึ้นเหนือ ผมเลยถามไปว่า

"Do you have any books? Can you understand any others language?" ... คุณมีหนังสืออื่นไหมล่ะ ภาษาอื่นก็ได้ ... ผมถามอย่างนักธุรกิจแลกเปลี่ยนสินค้ามือสองที่ดี

"Yes, I have. And I can read french & some others also. Why?" ... มีสิ แล้วฉันก็อ่านภาษาฝรั่งเศสได้ ภาษาอื่นก็มีอีก ... เธอตอบ หลังจากเอียงคอคิดพลางล้วงยางรัดผมขึ้นมารวบผมแล้วมัดขึ้นสูง

"If you have any books and no need anymore, you can bring to me. Let me see and estimate to discount for your guide book." ... ก็ถ้าคุณมีหนังสืออื่นที่ไม่อ่านแล้ว ลองเอามาให้ผมดูก็ได้ บางทีผมอาจจะประเมินราคาและคิดเป็นส่วนลดให้คุณไปเป็นพิเศษ ... ผมอธิบายยิ้มๆอย่างพยายามช่วยหาทางออกให้เธอ

"Really, great !!! I will take my books and come back." ... จริงเหรอ เยี่ยมเลย งั้นเดี๋ยวฉันไปเอาหนังสือมาก่อนนะ ... เธอว่าแล้วยิ้มตาลุกก่อนเดินออกจากร้านไป สันนิษฐานว่าน่าจะพักอยู่ไม่ไกลนัก

ไม่นานนัก เธอก็กลับมาพร้อมกับหนังสือในมือ 3 เล่ม ซึ่งทำเอาผมขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ แล้วถามกลับไป

"You can read this, suomalainen ?" ... คุณอ่านนี่ได้ด้วยหรือ ภาษาฟินน์ ... ใช่ มันเป็นหนังสือภาษาที่ไม่ค่อยมีมาที่ร้านบ่อยนัก ปีนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมีลูกค้าเอาเข้ามาแลก

"Yes, I can. Do you have any french guide?" ... ใช่ ฉันอ่านได้ ... เอ้อ คุณมีไกด์บุ๊คภาษาฝรั่งเศสไหม ... เธอตอบพร้อมถามกลับ

"Here, I have 3 blocks for french book. And another one for this language." ... นี่ไง 3 ล็อคนี้เป็นภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด แล้วก็ภาษาฟินน์อยู่ที่นั่นอีก 1 ล็อค

"May I take this." ... ฉันเอาเล่มนี้ได้ไหม ... เธอถาม ทำท่ามือหงิกๆ ชักกระตุกอย่างดีใจกับรุทตาร์ทไทยแลนด์ 2008 มือสองในมือ

"Yes. How long for your Thailand trip?" ... ผมพยักหน้ายิ้มๆก่อนหยิบหนังสือใส่ถุงให้เธอ ... ได้สิ ... คุณเที่ยวไทยทริปนี้นานไหมนี่

"A month, I think." ... ซักเดือนละมั้ง ฉันว่านะ ... เธอตอบพร้อมกับหยิบหนังสือออกมาจากถุง แกะซองพลาสติกออกและพลิกดูอยู่เงียบๆ

"I see you take a look for reading book also. Do you want any reading book for your trip." ... ผมเห็นคุณดูๆตรงหนังสืออ่านด้วย จะเอาไปอ่านสักเล่มไหมล่ะ ... ผมถามพลางพยักหน้าไปที่ชั้นหนังสืออ่านภาษาอังกฤษบนสุด ด้านที่ติดกำแพง

"Yes, but I have not too much money." ... ก็ดี แต่ฉันเหลือเงินอีกนิดหน่อยเอง ... เธอว่าพลางย่นหน้า ใช่สิ พรุ่งนี้เธอออกจากกรุงเทพแต่เช้า

"Never mind, you choose one for your trip for free." ... ไม่เป็นไร คุณเอาไปเล่มหนึ่งแล้วกัน ผมให้คุณอ่านฟรี ... ผมตอบพร้อมเงยหน้าไปยังกองหนังสือของ จอห์น กริชแชม ที่แยกไว้ 2 ตั้ง รวมประมาณ 20 เล่ม

เธอเลือกไปได้ 1 เล่ม กลางเก่ากลางใหม่ "I will bring back to you if I come back again to khaosan." ... วันไหนกลับมา ฉันจะเอามาคืนคุณนะ ... เธอว่ายิ้มๆ

"Or you can pass to someone as fine." ... ไม่งั้นก็ทิ้งไว้ให้คนอื่นอ่านต่อก็ได้ ... ผมตอบพร้อมสัมผัสมือแผ่วเบา อวยพรให้เธอโชคดี


สาวน้อยชาวลอนดอน ลูกค้าผู้ทำกระเป๋าหายก่อนมาเลือกหนังสือที่ร้าน ... ถ้าจริง ผมว่ามันเป็นทั้งโชคร้ายของเธอและโชคร้ายของผมด้วย ที่ลูกค้าเกรดเอจากอังกฤษต้องหาหนังสือมาแลกไกด์มือสองแทนที่จะมีเงินซื้อเล่มใหม่ไปใช้ ... ตอนนี้เดือนกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ทำธุรกิจกันอีกหรือเปล่า


หนังสือภาษาฟินน์ 3 เล่มที่ถูกแลกเข้ามาที่ร้านในปีนี้ ... เฮนนิ่ง แมนเคล กับ เดวิด บัลดัชชี เป็นชื่อที่เรียกสายตาของนักอ่านได้ระดับหนึ่ง

ถัดมาอีกไม่กี่วัน ผมได้โปสการ์ดฝากส่งไปฟินแลนด์จากลูกค้าปึกหนึ่ง ... 4 ใบในปึกเป็นภาพพระนอนวัดโพธิ์ซึงไม่แปลกอะไรนัก แต่ที่แปลกคือประมาณ 10 ใบที่เหลือเป็นภาพวิวทิวทัศน์ซ้ำๆกัน 3 แบบ ซึ่งมันเป็นภาพวิวในฟินแลนด์ ... โปสการ์ด 10 กว่าใบนั้นเป็นโปสการ์ดของฟินแลนด์ ที่มาส่งกลับไปจากเมืองไทยด้วยแสตมป์ไทย ... จะมีใครสักกี่คนที่ไปเที่ยวต่างถิ่น แล้วพกโปสการ์ดภาพบ้านเกิดไปด้วยเพื่อส่งกลับไปที่บ้านเกิดของตัวเอง ... ที่น่าประหลาดขึ้นไปอีก คือ มีโปสการ์ดอยู่ 1 ใบ ที่มีลายมือภาษาไทยติดไปด้วย 1 ประโยค ... หรือจะเป็นคนไทยที่เคยไปฟินแลนด์แล้วเอาโปสการ์ดติดตัวกลับมา ... 555 เอากลับมาทำไม ... ไม่เข้าใจ ... บ้าไปแล้ว SmileySmileySmiley


โปสการ์ดฟินแลนด์ ... ส่งกลับไปฟินแลนด์ ... จากเมืองไทย ... แปลกดี ... ไม่ค่อยเคยเห็น ... นับเป็นเคสแรกที่เคยเจอ นับตั้งแต่เปิดร้านมา (แผ่นกลางนั่นมีภาษาไทยติดไปด้วย "เดอะซิตี้ มอสส์ เวนตี้บอย !" ลายมือคนไทยแท้แน่ๆ เสียดายที่ไม่ได้เจอคนฝากส่งด้วยตัวเอง เลยอดถามที่มาที่ไปของโปสการ์ดปึกนี้เลย)




โปสการ์ด 3 แบบ ... วิวสวยชวนฝันดีเหลือขนาด กับธรรมชาติบ้านเขา ... 1 ในกลุ่มประเทศนอร์ดิก ที่เป็นขาหลังของเสือกระโดดในแผนที่โลก


ข้อความง่ายๆ ในภาษาฟินน์พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ


ภาพโดย ช่างภาพอาชีพ ... มาร์ค รอสโก กับ เทโร ไทลิเนน

เจตตจัน

02-2820358
085-8035412
087-0719858
jettajan227@yahoo.com



Create Date : 28 ธันวาคม 2556
Last Update : 28 ธันวาคม 2556 15:22:16 น. 1 comments
Counter : 1584 Pageviews.

 
คุณเขียนเรื่องเล่าได้น่าสนใจจังค่ะ

สาวชาวลอนดอนนั่น คงไม่แปลกนะคะ ที่ชาวต่างชาติเงินน้อยจะชอบเที่ยวแบบซำเหมา เพราะเขาคิดเสมอว่า ประเทศทางเอเชีย โดยเฉพาะไทย ค่าใช้จ่ายน้อย เลยประเมินได้ต่ำค่ะ

ส่วนโปสการ์ดจากประเทศบ้านเกิด มาส่งในไทย อันนี้ เพิ่งเคยเห็นค่ะ ตลกดีจัง ที่จริง ซื้อโปสการ์ดในไทย นอกจากได้โปสการ์ดใหม่ สถานที่จริง ราคายังถูกกว่าด้วยนะคะ


โดย: Sai Eeuu วันที่: 28 ธันวาคม 2556 เวลา:18:45:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.