keigolin
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ blog ของ keigo นะคะ ^^

blog นี้เป็น blog เก่าค่ะ ได้ย้ายบ้านไป thisiskeigo.wordpress.com แล้ว ไปติดตามกันได้ที่นั่นค่ะ ^^
หรือติดตามเพจกันได้ที่ http://www.facebook.com/thisiskeigo
ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ ^^
New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2558
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
19 พฤษภาคม 2558
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add keigolin's blog to your web]
Links
 

 
Still in love, in Japan #4

สวัสดียามดึกอีกแล้วค่ะ (รู้เลย มาอัพดึก ๆ นี่ตัวจริงแน่นอน >.<" ) บางทีก็คิดนะทำไมชอบนอนดึก .. O.o?


ความเดิมตอนที่แล้ว :-


เอาล่ะ สามตอนผ่านไป ยังไม่ได้ถึงครึ่งซะที ^^" ก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่ารูปเยอะ หรือกินเยอะ หรืออะไร ... (ส่วนตัวคิดว่า กินเยอะ ฮ่าาาาา Smiley Smiley)

จุดมุ่งหมายแรกที่จะไปตะลุยเมืองโอซาก้ากันก็คือ ปราสาทโอซาก้าค่ะ หากใช้บัตร 1-day pass แบบเคโกะนี่ก็จะไปที่สถานี Tanimachi 4-chrome ค่ะ แต่สถานี JR ที่ใกล้ที่สุดคือ Osakajokoen ค่ะ

ออกมาจากสถานี Tanimachi 4-chrome แล้วก็จะเจอกับพิพิธภัณฑ์อะไรสักสิ่ง ช่างมันไว้ก่อนค่ะ เดี๋ยวเราค่อยกลับมาดู เพราะยังไงก็ต้องมาขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีนี้อยู่แล้ว เดินผ่านพิพิธภัณฑ์นี้ไปค่ะ ก็จะเจอสี่แยก ตรงด้านหน้าทางขวามือไกล ๆ นั่นก็คือบริเวณปราสาทโอซาก้าที่จะไปกันค่ะ

ในรูปนี่คือตรงหน้าพอดีล่ะนะ (ถ่ายแบบเอียง ๆ ค่ะ)



เดินตัดสวนมาอย่างเชื่องช้า เพราะรักเด็กค่ะ (ใช่เรอะ ..? Smiley) เลยเหล่ดูเด็ก ๆ ประถมที่มาวิ่งเล่นกันอยู่ในสวนซะนาน แล้วก็จะเห็นกำแพงสูงชัน มีคูน้ำล้อมรอบแบบนี้ ไม่ผิดแน่นอนค่ะ กำแพงปราสาทโอซาก้า สร้างตามแบบโบราณเลยนะคะ มีคูน้ำล้อมรอบก่อน แล้วเป็นกำแพงสูงชันที่หามุมปีนไม่ได้ (สร้างได้แนบเนียนจริง ๆ - -" ) แล้วด้านในก็จะเป็นคูน้ำอีกชั้น ก่อนที่จะเป็นพื้นที่ปราสาทค่ะ -- เครดิตข้อมูลจากคุณสามี ผู้หลงใหลหนังซามูไรย้อนยุค (ฮ่า ๆ -- เผากันออกสื่อเลย อิอิ)



เดินไปตามทางผู้คนที่เดินเยอะ ๆ ล่ะค่ะ ไม่หลงแน่นอน เดินไปซักสองท้อใจแล้วเราก็จะถึงในที่สุด ตัวปราสาทจะตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่ามาก ๆ



จากในรูปข้างบน หากต้องการเข้าชมภายในปราสาท (ซึ่งงดถ่ายรูปนะคะ) ก็จะต้องจ่ายค่าเข้าชมสถานที่ด้วย ราคา 600Y แต่ว่าสำหรับบัตร Osaka Amazing 1-day pass ตัวนี้นั้นนนนนนน... เข้าฟรีค่ะ ยื่นบัตรให้พนง.สแกนตั๋วแป๊บนึงที่ห้องจำหน่ายตั๋วก็ผ่านโลดได้เลย

มาดูปราสาทโอซาก้าอีกมุมนึงกันค่ะ



หลังจากอิ่มเอมใจกับความงามของปราสาทแล้ว อากาศก็หนาว ๆ กำลังดี ก็อย่ากระนั้นเลย หม่ำไอศกรีมกันดีกว่า 5555



จากนั้นก็เดินออกมาทางเดิมค่ะ ไปยังพิพิธภัณฑ์ตรงสถานีรถไฟที่เราต๊ะไว้ก่อนนั่นแหละ ซึ่งที่นี่ก็คือ Osaka Museum of History ค่ะ ค่าเข้าชม 600Y แต่เรามีบัตรผ่านตลอดแล้ว ก็เพียงยื่นให้พนง.สแกนเหมือนเดิมค่ะ แล้วก็ผ่านเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ด้านในได้เลย

ภายในพิพิธภัณฑ์มีสมุดสแตมป์ด้วยนะคะ ไม่ทราบเหมือนกันว่าสะสมแล้วได้อะไร เพราะต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนอ่ะค่ะถึงจะสแตมป์ได้ (มีพนง.คุมอยู่บริเวณจุดสแตมป์ -- ซึ่งถ้าตอบคำถามไม่ได้ พนง.ก็ช่วยใบ้ให้นะ) แต่สำหรับเราสองคนแล้ว ภาษาญี่ปุ่นนี่แทบไม่กระดิก แถมไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์อีก ก็ขอบายเลยค่ะ

ทางพิพิธภัณฑ์จะมีเส้นทางการเดินชมให้นะคะ ก็เดินตามรูทเค้าไปนั่นล่ะค่ะ ..

ตรงนี้เป็นบริเวณแรก ๆ ของการชมพิพิธภัณฑ์เลย น่าจะเป็นจุดกำเนิดอ่ะนะ (มั่วได้อีก - -" )



แล้วก็ตัดฉับไปที่โมเดลจำลองความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นโบราณ



เริ่มจะทันสมัยขึ้นมาละ



ที่นี่จะพูดถึง Naniwa บ่อยมากกกกกกกกกกกกก ทำเอาสงสัยอยู่นะว่า Naniwa คืออะไร ถึงกับต้องไลน์ไปถามพี่ชายเลยค่ะ แต่เจ้าตัวก็ไม่ทราบเช่นกัน แป่วววว .. (ใครทราบข้อมูลได้โปรดชี้แจงเคโกะน้อยทีค่ะ สงสัยสุด ๆ ละค่ะ)

เนื่องจากไม่ค่อยรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเท่าไหร่ ก็เลยจะรู้สึกไม่ค่อยอินอ่ะนะคะ ถ้าใครจะมาแต่ไม่ชอบแนว ๆ นี้ก็เดินข้ามไปเถอะค่ะ ฮาาา ..

เดินกลับออกมาลงสถานีรถไฟสถานีเดิม เห็นตู้กดน้ำมี Qoo น่ารักก็รีบปรี่เข้าไปกดทันใด (บอกอายุเลย ^^" )



จากนั้นก็นั่งรถไฟต่อไปยังสถานี Osakako ค่ะ เดินเท้าต่อไปยัง Tempozan Market Place

ระหว่างทางเดินนะคะ เดินไปเรื่อย ๆ เค้าว่าประมาณ 5 นาทีอ่ะ น่าจะเป็น 5 นาทีเดินสปีดของคนญี่ปุ่นแน่ ๆ



พอไปถึงก็ได้เวลาข้าวพอดี (ห้ะ กินอีกแล้ว ?!) เราก็เลยฝากท้องไว้ที่ฟู้ดคอร์ทแห่งนี้ค่ะ หาไม่ยากเลย ก็อารมณ์เหมือนฟู้ดคอร์ทไทยนะคะ แต่ว่าที่นี่ไม่ต้องแลกคูปองค่ะ จ่ายเงินสดได้เลย แล้วเราสองคนก็แยกย้ายกันไปหาอะไรที่อยากหม่ำมาหม่ำกัน

จานนี้เป็นข้าวหน้าไรซักสิ่งของคุณสามี



ส่วนตัวเคโกะขอเป็นทงคัตสึคะเร ... เอิ่ม .. พูดให้ดูมีความรู้ไปงั้นแหละ .. ก็คือ ข้าวแกงกะหรี่ + หมูทอดค่ะ



คุณพนง.ขายได้ยินเคโกะสั่งเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่น ก็เลยถามต่อด้วยภาษาญี่ปุ่นว่าเอาน้ำเปล่ามั้ยจ๊ะหนู .. แต่หนูตัวนี้เป็นญี่ปุ่นเก๊ค่ะ เลยทำหน้าเอ๋อใส่ จนพนง.หันมาใช้ภาษามือแทน 5555 .. น่ารักค่ะ

ฟู้ดคอร์ทที่นี่มีชื่อด้วยนะคะ ชื่อว่า Naniwa Kuishimbo Yokocho .. ดูเก่งอ่ะ แต่ไปก๊อปเค้ามาค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ อย่างที่บอกเนอะ ความรู้ภาษาญี่ปุ่นแทบเข้าใกล้ 0 ค่ะ

และก็มี "Naniwa" ตามมาหลอกหลอนอยู่ดีนะคะ สงสัยจริง ๆ นะ ว่าคืออะไร ..




พออิ่มแล้วเราก็กระโจนไปที่ Giant Ferris Wheel เลยค่ะ พาสใบนี้ก็สามารถใช้บริการได้ไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใดเช่นเดิม (ถ้าไม่มีพาสตัวนี้ ก็ราคา 700Y ค่ะ)

วิวบนชิงช้าสวรรค์ค่ะ



จากนั้น จริง ๆ เราจะต้องไปนั่งเรือ Santa Maria (Osaka Bay Cruise) ต่อ แต่เรามาผิดจังหวะค่ะ เป็นวันที่เรืองดให้บริการพอดี T.T (ตัวนี้คุ้มมากกก ราคา 1600Y ค่ะ)

อกหักจากเรือ Santa Maria แล้ว เราก็กางแผนที่ กางสมุดไกด์ที่มากับพาสนี้ เปลี่ยนแผนกันอุตลุต สุดท้ายก็นั่งรถไฟฟ้าไปสถานี Umeda ค่ะ ไปนั่งกระเช้าลอยฟ้าอีกตัวนึงคือ HEP FIVE Ferris Wheel ซึ่งอยู่ชั้นบนสุดภายในศูนย์การค้าเลยนะคะ ก็ใช้พาสตัวนี้ได้เหมือนเดิมค่ะ (ถ้าไม่มีพาส ตัวนี้ราคา 500Y)

วิวจากกระเช้าตัวนี้ที่เคโกะรู้สึกตื่นตาตื่นใจก็คือชุมทางรถไฟอุเมดะนี่แหละค่ะ มันน่าทึ่งมากเลยยยยย



ลงจากกระเช้ามา ตั้งใจจะไป Umeda Sky Building อีกที่หนึ่ง แต่ลายแทงบอกว่า เดินไปอีก 8 นาที ก็เลยลังเลว่าจะไปดีมั้ย อีกทั้งไม่มีใน Exit map ของสถานีรถไฟด้วยว่าให้ไปทางไหนอะไรยังไง เลยเปลี่ยนมาเดินช้อปปิ้งในห้างแทน 555

จากนั้นก็ไปล่องเรืออีกที่นึง แทนการนั่งเรือ Santa Maria ที่ผิดหวังไป

นั่งรถไฟฟ้าต่อไปที่สถานี Numba ค่ะ ตรงนี้เคโกะทิ้งแผนที่ที่จดไว้แล้วอะว่าต้องออก Exit ไหนนะคะ เอาเป็นว่า ถ้าออกถูก exit ก็เดินย้อนกลับมาค่ะ เดินไปจนถึง 4แยก แล้วเลี้ยวขวาไป ก็จะเป็นดงถนนช้อปปิ้งที่เคโกะมาในคืนวันแรกแล้วค่ะ ง่ายมาก ๆ ง่ายกว่าที่มาในคืนวันแรกอีกอ่ะ >.<"

จุดขึ้นเรือ Tombori River Cruise นั้นจะอยู่ใต้สะพานตรงป้ายกูลิโกะแมนค่ะ เดินเลียบคลองไปเล็กน้อยก็จะเจอนะคะ บูธจำหน่ายตั๋วก็จะหน้าตาแบบนี้ (ค่าบริการ 700Y แต่ถือพาสนี้ก็ไม่ต้องจ่ายอะไรอีกค่ะ)



บูธนี้ค่อนข้างเล็ก และดูกลืนไปกับร้านรวงรอบ ๆ เลยถ่ายรูปร้านข้าง ๆ มาให้ดูประกอบด้วยนะคะ



เรือลำนี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีได้ค่ะ และตรงนี้เองที่เราค้นพบว่าทัวร์เกาหลีก็เสียงดัง โวยวายไม่ใช่เล่น โหวกเหวกพอ ๆ กับทัวร์จีนค่ะ >.<"

เส้นทางก็จะล่องเรือไปตามคลอง (รึแม่น้ำ ?) แล้วก็วนกลับมา ระหว่างทางก็จะมีไกด์ประจำเรือคอยอธิบาย .. แน่นอนว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ภาษาอังกฤษน้อยมาก ๆ



พอผ่านป้ายกูลิโกะแมน เรือก็จะชะลอลงหน่อย ให้ถ่ายรูปกันในระยะใกล้ชิดแบบเต็มที่




จากนั้นเราก็เดินเล่นกันอีกรอบนึง ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปกินราเม็งในย่านนั้นแหละ เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษเลยยยยยย ใช้ความรู้อันน้อยนิดสั่งไป 1 ชาม ปรากฎว่าพนง.เข้าใจผิด คิดว่าเอาราเม็งเปล่า ๆ เลยทำมาให้เป็นราเม็งเปล่า ๆ #ร้องไห้หนักมาก เคโกะเลยฮึดใช้ความพยายามอีกรอบเพราะสงสารคุณสามีมานั่งกินราเม็งเปล่า ๆ ได้อย่างไร คราวนี้เลยเขียนเลยค้าาาา เขียนแล้วชี้ให้ดูเลยว่าจะเอาราเม็งไอ้นี่นะ ถึงได้รู้ว่าดิชั้นโง่เอง จำคำอ่านคันจิคำว่า "เนื้อวัว" ผิด .. แป่วววว - -"

หน้าตาราเม็งหน้าเนื้อที่พยายามสั่งจนได้ค่ะ หน้าตาดูธรรมดา ๆ สมราคานะ



เมื่อท้องอิ่มแล้ว ก็ได้เวลากลับโรงแรม ไปหาอะไรหม่ำต่อ (ห้ะ .. ไหนว่าอิ่มแล้ว ?!) อีกค่ะ


แล้วเคโกะก็ขอตัดฉับลงตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ ขอยกยอดไปต่อตอนที่ 5 ... ยังไม่ถึงฟุกุโอกะซะทีนะนี่ - -"

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเยี่ยมชมให้กำลังใจกันค่ะ คอมเม้นท์กันได้นะคะ ^^ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^^




Create Date : 19 พฤษภาคม 2558
Last Update : 18 มิถุนายน 2558 15:28:54 น. 2 comments
Counter : 1394 Pageviews.

 
มาเที่ยวต่อๆ

คิดถึงโอซาก้า แต่ไม่ได้ไปง่ะ กำลังจะไปโตเกียวแทน เหอๆ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 20 พฤษภาคม 2558 เวลา:9:05:32 น.  

 
อัพวันเดียวกัน ชอบเที่ยวเหมือนกันค่ะ
เชียงใหม่ฝนตกอากาศเย็นสบายค่ะ ดีละจะได้ไม่ร้อน
ไว้จะตามเที่ยวด้วยอีกนะคะ


โดย: mariabamboo วันที่: 20 พฤษภาคม 2558 เวลา:17:30:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.