Group Blog
บท 1/2...พรหมภพ
ขอปรับแก้และเพิ่มเติมบท 1/1 เล็กน้อยนะคะ ก่อนจะเข้าสู่บท 1/2 อันเนื่องจาก... ยอมรับว่าแนวพีเรียดเขียนยากตรงที่ต้องเช็กข้อมูลหลายรอบมากค่ะ อาทิ เช่น การแปลงร.ศ.ไปเป็นพ.ศ. และพ.ศ. ไปเป็นร.ศ. ควรจะลบด้วย -หรือ+ ด้วย 2324 หรือ 2325 ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นของรัตนโกสินทร์ดี ซึ่งที่สุดตัดสินใจยึดตามเอกสารราชกิจจานุเบกษา ฯลฯ และยังมีข้อมูลอีกมากมาย ที่ต้องดับเบิลเช็กลักษณะนี้ พอเจอก็ต้องตามไปแก้ของเก่า เลยเป็นเหตุให้ต้องปรับแก้เล็กๆ น้อยๆ ตามมาเป็นระยะๆค่ะ

**********************


บทที่ 1


“คุณเป็นยังไงบ้าง ขอบคุณพระเจ้าที่คุณปลอดภัย”

ถามเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ ในจังหวะไล่ๆ กับที่รำเพยพรวดตัวขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ โดยมีลำแขนแข็งแกร่งล็อกคอทางด้านหลังแน่นหนา เธอไอแค่กๆ เพราะสำลักน้ำไปหลายอึก ยามนั้นยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทำไมถึงตกลงมาในน้ำได้ อย่างเดียวที่นึกออกคือ เธอกำลังยืนดูรูปถ่ายในกล้องถ่ายรูป เนื่องจากเห็นเงาลางๆ ปรากฏอยู่หน้าห้องนอนของท่านอุ่นเรือน พยายามเขม่นตามองว่าคือเงาอะไร จังหวะนั้นจู่ๆ ก็มีใครบางคนซึ่งเธอไม่ทันสังเกต กระแทกเข้าที่กลางหลังจนเซถลา นอกจากคว้าอะไรไม่ทันแล้ว เธอยังสะดุดเชือก มีผลให้ร่วงตกลงไปในน้ำอย่างไม่เป็นท่า

“ไม่...ปล่อยดิฉันนะ” เธอแหวเสียงสั่น พยายามสะบัดตัวหนีจากวงแขนหนาในทันทีที่ได้สติกลับคืน

กล้องถ่ายรูปกระเด็นหลุดจากมือในจังหวะที่เธอถูกชนตกลงไปในน้ำ รำเพยนึกด้วยความรู้สึกเสียดาย เข้าใจว่าตอนนี้มันคงดิ่งลงไปสู่ก้นบึ้งของแม่น้ำเจ้าพระยาและอาจกำลังนอนสงบแน่นิ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งในเบื้องล่างนั่น จำได้ว่าตอนที่เธอตกลงไปชนิดที่เรียกว่าทิ้งตัวอย่างหมดท่านั้น เธอพยายามตะเกียกตะกายและตั้งสติเพื่อลอยตัวขึ้นไปอยู่เหนือน้ำ แต่ราวกับมีอะไรบางอย่างรัดรึงเธอไว้ ค่อยๆ ลากเธอลงสู่เบื้องล่าง และในจังหวะที่คิดว่ากำลังจะขาดใจตายเพราะขาดอากาศหายใจนั่นเอง จู่ๆ ก็มีวงแขนแข็งแกร่งลากเธอขึ้นมา

“อยู่นิ่งๆ สิ ถ้าไม่อยากจมอีก ผมจะพาคุณไปที่ท่าตีน” เสียงเข้มดุเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ อีก

“ดิฉันว่ายน้ำเป็น ปล่อยสิ” เธอพยายามดิ้นรนผลักไส พลางตะโกนแข่งกับเสียงไอแค่กๆ ถึงตอนนี้ไม่มีแรงสะบัดตัวหนี จึงทำได้แต่ตีแขนขาเพื่อพยุงตัวให้ลอยเหนือน้ำ ชะรอยอีกฝ่ายคงเห็นว่าเธอช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว จึงยอมปล่อยเป็นอิสระ

“เบาๆ หน่อย เสียงดังไป เดี๋ยวหลวงพิภพฯ ก็ได้ยินดอก”

รำเพยชะงักเมื่อสมองเริ่มซึมซับถึงคำพูดแปร่งๆ มีนัยแปลกๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ายนั้นพุ่งตัวมาลอยตัวเหนือน้ำอยู่ตรงหน้า ขมวดคิ้วมุ่นอีกคราเมื่อคลับคล้ายว่าเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน แล้วฉับพลันก็ถึงบางอ้อ เขาเป็นฝรั่งที่เธอเคยเจอที่งานวัดที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดจำลองขึ้นเมื่อเดือนก่อน ตอนนั้นเธอเดินออกมาจากกระโจมหมอดูออกมาไกลมากแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนว่าไฟไหม้ เธอกับพิมพาเหลียวหลังไปมอง แล้วต้องชะงักเมื่อพบว่าเป็นแค่โจ๊กตลกๆ ของฝรั่งขี้นก เขาดูมีสติสตังดี แต่กลับกุเรื่องได้อย่างน่ารังเกียจ

“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร หลวงพิภพฯ อะไรของคุณ?” กระชากเสียงถามด้วยสีหน้าตำหนิ

“ก็หลวงพิภพฯ ท่านเป็นคนสั่งให้แป้นผลักคุณตกน้ำ”

รำเพยทำหน้างงงวย “ใครคือหลวงพิภพฯ ใครคือแป้น แล้วจะทำแบบนั้นไปทำไม?”

ฝ่ายนั้นจ้องเธอกลับมาราวกับเห็นเขางอกออกจากหัว “คุณตกน้ำจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ หลวงพิภพฯ คือคุณพ่อของคุณไง ส่วนแป้นคือบ่าวคนสนิทของคุณอุ่นเรือน”

ยิ่งฝรั่งตาโตสีบลูโทพาส(1) ขยายความ ก็ยิ่งพาให้เธอมึนงงหนักขึ้น “คุณกำลังพูดเรื่องอะไร ดิฉันงงไปหมดแล้ว”

“คุณจะบอกว่าตกน้ำไป สติเลยฟั่นเฟือนอย่างนั้นรึ?”

“สติฟั่นเฟือนอะไร ดิฉันปกติดี”

“ปกติดีอะไร คุณจำไม่ได้ว่าตัวเองชื่อกาน”

“กาน? คุณหมายถึงใคร?”

“นั่นไงคุณจำไม่ได้จริงๆ คุณชื่อกานพลู เป็นลูกสาวของหลวงพิภพฯ กับแม่อบเชย ผมเพิ่งสังเกตว่าคุณแต่งตัว ทำผมแปลกๆ ไป คุณเอาชุดแปลกๆ พวกนี้มานุ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเอามาจากไหน?”

รำเพยเบิกตาโต พินิจพิเคราะห์เขาอย่างละเอียดลออขึ้น แล้วเธอก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาสวมเสื้อกระบอกคอกลม แขนยาวเกือบจดข้อศอก เสื้อชุ่มน้ำ แนบไปกับแผงอกกว้างจนเห็นกล้ามอกเป็นมัดๆ ใต้น้ำใส ผมเปียกน้ำลู่ไปกับศีรษะทุย เห็นวงหน้าหล่อเหลาเด่นชัดโดยเฉพาะนัยน์ตาสีฟ้า จมูกโด่งตรงและริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับ มีรอยหยักบนกลีบปากล่าง ยิ่งทำให้เรียวปากคู่นั้นดูนุ่มและ... รำเพยชะงักความคิดแค่นั้น หน้าแดงระเรื่อเมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ด้วยเหตุที่เอาแต่สำรวจเขาไม่วางตา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งจึงพบว่าเขาหรี่ตามองมาอยู่แล้ว

รำเพยดึงสติกลับมา “คุณต่างหากที่ดูแปลกๆ แล้วดิฉันก็ไม่ใช่กานพลูด้วย”

“คุณกำลังพูดตลกอะไร ก็เห็นอยู่ว่าคุณคือกานพลู”

“คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่คุยด้วยแล้ว ดิฉันหนาวแล้วก็เพลียด้วย ขอตัวค่ะ ขอบคุณที่ช่วยชีวิต”

รำเพยลาแล้วเตรียมพลิกตัวจะว่ายเข้าหาโป๊ะ แล้วจังหวะนั้นเธอก็ชะงัก ตัวแข็งทื่อ ลืมตีแขนขาพยุงตัวไปเสี้ยววินาทีเมื่อพบว่าโป๊ะและเรือยนต์หายไป กลายเป็นตีนท่าและมีเรือเก๋งอยู่ลำหนึ่งเข้ามาแทนที่ ไร้ซึ่งประตูเล็กๆ ที่นำไปสู่พิพิธภัณฑ์ เธอตีแขนขาพยุงตัว เหลียวมองรอบตัวแล้วพบว่าตนเองกำลังเคว้งคว้างอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา รอบตัวปราศจากสิ่งที่คุ้นเคย และเหนือจากตีนท่าเป็นอาคารชิโน-โปรตุกีสที่เห็นอยู่ไม่ไกลนัก หลังไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับหลังที่เธอเพิ่งเดินจากมาเมื่อครู่

รำเพยเริ่มเอะใจแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น สภาพรอบข้างที่เธอเห็น ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เรือเก๋งยกเลิกใช้ไปนานแล้วไม่ใช่หรือ เธอสะบัดศีรษะเพราะอาจกำลังฝัน แต่สภาพรอบข้างก็ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

“คุณโอเคมั้ย?” ฝ่ายนั้นถามกลับมาด้วยสีหน้าห่วงใย

รำเพยครางเสียงเบาหวิวแทนคำตอบ ตวัดสายตากลับมามองเขาด้วยนัยน์ตาที่เบิกโตเท่าไข่ห่าน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากกระซิบ สีหน้าซีดเผือด นัยน์ตาเบิกโต

“ดิฉันไม่อยากเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ”

“คุณหมายความว่ากระไร?”

รำเพยไม่ตอบ แต่ถามไปอีกเรื่อง “นี่ปีพ.ศ.อะไรคะ?”

“พ.ศ.?” ทวนพลางทำหน้ามึนงง

“ดิฉันหมายถึงปีพุทธศักราช” เมื่อเห็นเขายังทำหน้างงๆ เธอก็กล่าวแก้ใหม่ว่า “ดิฉันหมายถึงการนับปีศักราช อย่างประเทศคุณ ใช้ค.ศ.ไรเงี่ย” ประโยคหลังเธอเปลี่ยนมาสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ

“คุณพูดภาษาอังกฤษได้เก่งมาก โดยทั่วไปผมแทบหาชาวบ้านที่พูดภาษาผมไม่ได้เลย” กล่าวด้วยสีหน้าทึ่งจัด

“ขอบคุณค่ะ”

“คุณไปเรียนมาจากไหน”

“มหาวิทยาลัยค่ะ ว่าแต่คุณยังไม่ตอบคำถามดิฉันว่าตอนนี้ปีอะไร”

เจ้าตัวพยักหน้า “คุณหมายถึงร.ศ.(2) ใช่ไหมครับ?”

รำเพยพยักหน้า ถึงบางอ้อว่าคนไทยในยุคนั้นยังคงใช้ร.ศ. นึกได้ว่ามีการเปลี่ยนจากร.ศ. มาเป็น พ.ศ.ในรัชกาลที่ ๖

“ตอนนี้ร.ศ.๑๐๙ ครับ คุณถามทำไม?”

ร.ศ. ๑๐๙ หรืออีกนัยหนึ่ง พ.ศ.๒๔๓๔ รำเพยบวกลบตัวเลขอยู่ในใจแล้วครางอึ้งอึง คุณพระช่วย...เธอย้อนเวลากลับมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ไม่อยากเชื่อตัวเองว่าผลจากการตกน้ำ ทำให้ย้อนเวลากลับมาในอดีต คิดแค่ว่ามีในนวนิยาย ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

“ทำไมคุณทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกแบบนั้น?” ฝ่ายนั้นถามกลับมาอย่างประหลาดใจ

แต่รำเพยเหมือนไม่ได้ยิน เธอหลับตาพริ้มด้วยว่าเป็นลมหมดสติไปแล้ว...



อองเดรวางร่างบอบบางบนเรือเก๋งสี่แจว(3) ที่จอดแอบอยู่ข้างตีนท่าน้ำ แล้วผละถอยห่างออกมาเล็กน้อยอย่างทำอะไรไม่ถูก เพิ่งตระหนักว่าหญิงสาวที่กำลังนอนเป็นลมหมดสติอยู่เบื้องหน้าไม่ใช่กานพลู ก็เมื่อเห็นเครื่องแต่งกายและทรงผมชัดๆ ซึ่งแปลกตาไปจากหญิงสาวทุกคนในบางกอก ถึงหน้าตาจะเหมือนกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกันก็ตาม ด้วยว่าสาวบางกอกทั่วๆ ไปจะนุ่งโจงกระเบนและห่มผ้าแถบ(4) แต่หญิงสาวรายนี้แต่งกายเหมือนผู้คนในโลกตะวันตกที่เขาจากมา เป็นเสื้อมีปก ผ่าหน้า ติดกระดุมตลอดแนวอย่างที่เรียกว่าเสื้อเชิ้ต และกางเกงเนื้อหนาแบบยีนส์ อวดรูปร่างของเจ้าตัวที่มีหุ่นเพรียวลมและกลมกลึงสมส่วน เช่นเดียวกับทรงผม หญิงสาวรายอื่นๆ จะตัดผมสั้นเป็นทรงดอกกระทุ่ม(5) หวีแสกหรือเสย แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับไว้ผมยาว อองเดรนึกแล้วสำรวจใบหน้าเรียวรูปไข่ที่บัดนี้ผมยาวสลวยแนบไปกับศีรษะ เห็นเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มเด่นชัด ไล่ตั้งแต่หน้าผากมน จมูกโด่งปลายรั้น ริมฝีปากบางแต่อิ่มได้รูปกระจับ เธอสวยยิ่งกว่าสาวงามคนใดที่เขาเคยเจอ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้าน ดูประหนึ่งฝาแฝดของกานพลูก็ไม่ปาน

อองเดรเป็นกัปตันเรือชาวเดนมาร์ก เชื้อสายฝรั่งเศส สืบเชื้อสายมาจากพระคาร์ดินัล(6) ซึ่งเป็นอัครเสนาบดีและที่ปรึกษาของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๓ แห่งฝรั่งเศส ต้นตระกูลอพยพมาอยู่ในเดนมาร์กซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรสงครามของฝรั่งเศส เนื่องจากทางการฝรั่งเศสต้องการให้ทหารและชาวบ้านมาครอบครองที่ดินของเดนมาร์ก เมื่อเขาโต ได้สมัครเป็นนายเรือกับเรือสินค้า มีโอกาสเดินทางล่องเรือมาเห็นสยามเมืองเอกราชท่ามกลางอาณานิคมของชาติตะวันตกครั้งหนึ่ง จึงเกิดความรู้สึกแรงกล้าอยากมาอยู่บางกอก ประกอบกับช่วงนั้นสงครามระหว่างเดนมาร์กกับรัสเซียยืดเยื้อมานานและจบลงด้วยการที่เดนมาร์กแพ้สงคราม เสียดินแดนให้กับสมาพันธรัฐเยอรมัน ปัญหาการเมืองภายในวุ่นวาย ความขัดแย้งไม่รู้จบ ทหารส่วนหนึ่งเปลี่ยนอาชีพ และบางคนเลือกที่จะอพยพไปแสวงหาอนาคตใหม่ๆ ดั่งเช่นเขา ฉะนั้นเมื่อกลับสู่มาตุภูมิแล้วสอบได้ประกาศนียบัตรนายเรือ ยศนายทหารกองหนุนของกองทัพเรือเดนมาร์กในระดับนายเรือโท เขาจึงเข้าหาผู้ใหญ่หลายครั้งจนมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ ที่พระราชวังกรุงโคเปนเฮเกน เพื่อขอพระราชทานหนังสือแนะนำตัวมาถวายพระเจ้าแผ่นดินของสยาม หลังจากนั้นเขาก็ล่องเรือมายังสยาม ผ่านลอนดอน สิงคโปร์เข้าสู่บางกอก และกงสุลเดนมาร์กเป็นผู้นำเขาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อกงสุลใหญ่เดนมาร์กประจำสยามมาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินของสยาม โดยอัญเชิญพระราชสาส์นของพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ มาถวายด้วย โดยฝากฝังเขาพร้อมด้วยเอกสารรับรองการเป็นนายทหารและกัปตันเรือของเดนมาร์ก มายืนยันความรู้ความสามารถ ทำให้พระเจ้าแผ่นดินของสยามทรงยินดีที่จะรับเขาไว้ โดยทรงมอบให้เขาเป็นผู้บังคับกองเรือ พิทยัมรณยุทธ (Regent) ที่ภูเก็ต

งานหลักของเขาคือทำแผนที่ชายฝั่งทะเลสยามด้านตะวันตกซึ่งสยามมีเขตแดนติดต่อกับเมืองขึ้นของอังกฤษ ครั้งหนึ่งขณะกำลังสำรวจเพื่อทำแผนที่ในอาณาบริเวณปริมณฑลของภูเก็ต ได้เจอหินโสโครกในทะเลระนองซึ่งเป็นกองหินปริ่มน้ำ เมื่อน้ำขึ้นจะมองไม่เห็น จะโผล่ยอดเมื่อน้ำลง ส่งผลให้เรือชนอับปางมานักต่อนักแล้วเนื่องจากมองไม่เห็น เขากำหนดจุดลงบนแผนที่เพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุและตั้งชื่อกองหินตามชื่อของเขา ภารกิจของเขายังเข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง โดยระหว่างที่เรือรบลอยกลางทะเลนั้น ข้าหลวงเมืองภูเก็ตซึ่งมีหน้าที่ไปรับเงินภาษีที่เก็บจากหัวเมืองมาส่งที่บางกอก เผชิญเหตุการณ์จีนกุลีทำเหมืองจะตีกัน เขาและทหารเรือขึ้นฝั่งมาช่วยปราบ ทำให้คนจีนเหล่านั้นอยู่ในความสงบได้ ทางข้าหลวงเมืองภูเก็ตทำบันทึกรายงานพระเจ้าแผ่นดิน ทำให้เขาได้รับความดีความชอบมากมาย



ช่วงที่อองเดรยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำให้เธอฟื้นอย่างไร เพราะเธอไม่ได้หมดสติจากการจมน้ำ เขาถึงจะได้ช่วยผายปอด แต่เธอเป็นลมจากความตกใจ จังหวะที่กำลังหันรีหันขวางอย่างชั่งใจอยู่นั่นเอง สาวสวยตรงหน้าก็ลืมตาขึ้น เธอผุดลุกนั่ง ผงะถอยหลัง

“คุณเป็นใคร แล้วที่นี่ที่ไหน” รำเพยถามเป็นประโยคแรก ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เหลียวมองรอบตัวด้วยสีหน้าวิตกกังวล

“เรือเก๋งของหลวงพิภพฯ ขอโทษที่พามาที่นี่ แต่ถ้าผมพาคุณไปที่เรือนด้วยสภาพนี้ ผู้คนแตกตื่นแน่”

เดาว่าคงเป็นเรือเก๋งสี่แจวลำที่เธอเห็นจอดอยู่ที่ตีนท่า รำเพยถามต่อว่า “แล้วคุณเป็นใคร”

“ผมต่างหากควรต้องถามว่าคุณเป็นใคร แล้วมาที่นี่ได้ยังไง คุณหน้าตาเหมือนกานพลู แต่แต่งตัว ทำผมและภาษาพูดไม่ใช่”

“คุณตอบคำถามของดิฉันมาก่อน แล้วดิฉันค่อยตอบคำถามของคุณ”

อองเดรนิ่วหน้ากับลูกอีช่างต่อรองของอีกฝ่าย แต่ก็ยอมตอบตามจริง “ผมชื่ออองเดร เป็นกัปตันเรือ คราวนี้ถึงตาคุณที่ต้องตอบคำถามผมบ้างแล้ว” เมื่อเห็นหญิงสาวไม่ตอบ เอาแต่จดจ้อง อองเดรก็ถามต่อว่า “ทำไมถึงจ้องผมแบบนั้น?”

“คุณหน้าตาเหมือนใครบางคนที่ดิฉันเคยเจอ”

“ใครรึ?”

“ดิฉันไม่รู้จัก เคยเห็นหน้าแค่ครั้งเดียว” ภาพหนุ่มต่างชาติที่เจอที่งานวัดจำลองปรากฏขึ้นในความทรงจำอีกครา

“เขาหล่อได้ครึ่งของผมไหม?”

รำเพยชะงัก ทำหน้าปั้นยาก จะยิ้มก็ไม่ใช่ จะบึ้งก็ไม่เชิง

อองเดรยิ้มเมื่อไม่ได้คำตอบ เขาเปลี่ยนเรื่อง “คุณยังไม่บอกว่าเป็นใคร มาจากไหน”

“ดิฉันชื่อรำเพย มาจาก...” ชะงักเสี้ยววินาที ก่อนกล่าวต่อว่า “ปีพ.ศ.๒๕๕๘”

“อะไรนะ?”

รำเพยรีบแก้ใหม่ นึกได้ว่าเขาอาจไม่คุ้นกับปีพ.ศ. “ดิฉันบอกว่า ดิฉันมาจากร.ศ.๒๓๓” เธอแปลงเป็นรัตนโกสินทร์ศกให้เขาเรียบร้อย

อองเดรอึ้ง ยังไม่ปักใจเชื่อสักทีเดียวว่าเธอมาจากโลกในอนาคตอีก ๑๐๐ กว่าปีข้างหน้า “คุณหน้าตาเหมือนกานพลูมาก คุณเป็นอะไรกับเธอ?”

“ดิฉันไม่รู้จักผู้หญิงที่คุณพูดถึง”

“เอาล่ะ...ผมยอมรับว่ากิริยา คำพูดคำจาระหว่างคุณกับกานพลูแตกต่างกัน คนหนึ่ง...กิริยาเนิบช้า พูดนุ่มนวล น่าฟัง แต่อีกคนปราดเปรียวคล่องแคล่ว พูดแปร่งๆ ยังกับไม่ใช่คนบางกอก แต่กระนั้นคุณทั้งคู่ก็เหมือนกันราวกับถอดมาจากพิมพ์เดียวกันอยู่ดี ทั้งรูปร่าง ผิวพรรณ หน้าตาเหมือนกันยิ่งนัก”

รำเพยแยกเขี้ยว ถ้ามีหนวด หนวดคงกระตุกไปแล้ว “ดิฉันว่าคนที่พูดแปร่งๆ คือฝรั่งตาน้ำข้าวอย่างคุณต่างหากล่ะ”

“ตาน้ำข้าว? หมายความว่ากระไร?”

“ก็หมายความว่าตาเหมือนน้ำซาวข้าวไง สีขาวขุ่นน่ะ”

“แต่ตาของผมเป็นสีบลูโทพาส” อองเดรแย้ง เขาหมายถึงสีฟ้าของอัญมณีบลูโทพาส

คนฟังแยกเขี้ยว “มันเป็นสำนวน พวกฝรั่งแถบยุโรป อเมริกา ออสเตรเลียหรือชาวตะวันตกที่มีผิวขาว ฯลฯ เราเรียกเหมารวมว่าฝรั่งตาน้ำข้าวทั้งนั้น”

“อ๋อ...อ แล้วฝรั่งแปลว่ากระไร?”

รำเพยกลอกตา “อยู่เมืองไทยจนฟังภาษาไทยออก ยังไม่รู้อีกหรือว่าฝรั่งแปลว่าอะไร?”

“พอเดาได้ แค่อยากรู้ว่าจะใช่อย่างที่คิดไหม”

คนถูกถามตีหน้ายักษ์ ไม่จริงจังนัก “เคยอ่านหนังสืออภิธานศัพท์ คำไทยที่มีต้นเค้าจากภาษาต่างประเทศ ของกรมศิลปากร บอกว่า คำว่าฝรั่งมีรากศัพท์มาจากภาษาอาหรับว่า "ฟารานจิ" (Faranji) แต่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ว่าชาวยุโรปที่เข้ามาอยู่ในประเทศสยามแรกๆ มีแต่พวกโปรตุเกสชาติเดียวตลอดเวลาเกือบร้อยปี แต่ไทยเรียกว่าฝรั่งตามอย่างพวกชาวอินเดีย ซึ่งเรียกชาวยุโรปไม่ว่าชาติใดๆ ว่า “ฟรังคีส” ไทยจึงเรียกทั้งยุโรปและอเมริกาว่าฝรั่ง ว่าแต่คุณเป็นฝรั่งชาติไหน?”

“เดนมาร์ก แต่เชื้อชาติฝรั่งเศส”

“อ้อ...แล้วทำไมคุณถึงเลือกที่จะมาอยู่เมืองไทย”

“คุณหมายถึงสยามหรือ?”

“ใช่...”

“ทำไมคุณถึงเรียกสยามว่าเมืองไทย(7) ล่ะ”

“ดิฉันไม่อยากมาถกวิชาประวัติศาสตร์กับคุณหรอกนะ ว่าสยามเปลี่ยนชื่อมาเป็นประเทศไทยเมื่อไหร่ ฉะนั้นช่วยเข้าเรื่องหน่อยเถอะ”

อองเดรคลี่ยิ้มกับความใจร้อนของอีกฝ่าย เธอหน้าตาเยาว์วัย ให้อย่างไรก็น่าจะอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับกานพลูซึ่งนั่นแปลว่าอ่อนกว่าเขากว่ารอบ

“ผมเบื่อการเมืองภายในประเทศที่วุ่นวายไม่รู้สิ้นสุด แล้วก็เบื่อสงครามระหว่างเดนมาร์กกับรุสเซียด้วย ก็เลยมาแสวงหาอนาคตใหม่ที่สยาม” อองเดรหมายถึงรัสเซีย เขาติดปากเรียกว่ารุสเซียตามคนไทย “โชคดีญาติๆ พอจะรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ผมเลยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ เพื่อขอพระราชทานหนังสือแนะนำตัวมาถวายพระเจ้าแผ่นดินของสยาม พระองค์ทรงอ่านพระราชสาส์น และทรงยินดีที่จะรับผมเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ ทรงแต่งตั้งให้ผมเป็นผู้บังคับกองเรือพิทยัมรณยุทธที่ภูเก็ต ทำหน้าที่สำรวจเส้นทางเดินเรือเพื่อทำแผนที่ชายฝั่งทะเลสยามด้านตะวันตก”

รำเพยชะงัก เพราะจำได้ว่าเรือพิทยัมรณยุทธ เป็นเรือรบเก่าสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ถูกปลดประจำการไปนานแล้ว

“แล้วทำไมคุณไม่อยู่ที่ภูเก็ต มาอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำไม?” เมื่อเห็นสีหน้ามึนงงของเขา เธอก็รีบแก้ว่า “ดิฉันหมายถึงบางกอก”

อองเดรพยักหน้า ตอบว่า “ผมได้รับคำสั่งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ขึ้นมาเตรียมการเพื่อต้อนรับซาเรวิตช์(8) จากรุสเซียซึ่งจะเดินทางมาเยือนบางกอกในอีก ๓ เดือนข้างหน้า พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผมเป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งสุริยมณฑลเพื่อไปรับเสด็จที่ปากน้ำ สมุทรปราการ เพื่อนำขบวนเรือพระที่นั่งมายังบางกอก”

“เดี๋ยวนะคุณพูดถึงซาเรวิตช์ คุณหมายถึงจักรพรรดินิโคลัสที่ ๒ แห่งรัสเซียน่ะหรือ?”

อองเดรนิ่วหน้า “ใช่...แต่พระองค์ คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มกุฎราชกุมาร ยังไม่ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นจักรพรรดิแห่งรุสเซีย”

“นั่นแหละ อีกไม่กี่ปีต่อมาพระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ หรือจักรพรรดิแห่งรัสเซีย”

ข่าวคราวการมาเยือนกรุงสยามของมกุฎราชกุมารนิโคลาสหรือซาเรวิตช์จากรัสเซียในสมัยนั้น เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วกรุงสยามและถูกหยิบยกมาพูดถึงไปอีกนานตลอดปีนั้น เนื่องจากทางการจัดพิธีต้อนรับใหญ่โต หรูหราสมพระเกียรติ จนเกิดเป็นสำนวนเปรียบเทียบเวลาที่พูดถึงการตระเตรียมใหญ่โตหรูหราของผู้คนในสมัยนั้นว่า “ราวกับรับซาเรวิตช์”

กล่าวกันว่าเบื้องหลังการเดินทางเยือนเอเชียตะวันออกของมกุฎราชนิโคลาส ก็เพื่อเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์จุดต้นทางเพื่อเริ่มก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ณ เมืองวลาดีวอสต๊อค ในรัสเซียตะวันออก ตลอดจนเพื่อศึกษาดูงานระบอบการปกครองในประเทศต่างๆ อันเป็นการสั่งสมบารมีและเสริมอิทธิพลทางการเมืองของอ้อมให้กับรัสเซีย รวมไปถึงพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ ๒ พระบรมราชชนกต้องการให้มกุฎราชนิโคลาสแยกกันอยู่กับแฟนสาวนักเต้นบัลเล่ต์ผู้ที่พระบรมราชชนกคอยกีดกันไม่ให้ทั้งสองคบหากัน โดยเส้นทางของขบวนเสด็จเริ่มออกเดินทางขบวนรถไฟหลวงจากนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ล่องใต้สู่กรุงเวียนนาจนถึงเมืองตรีเอสเต(Trieste) จากนั้นเดินทางต่อโดยเรือพระที่นั่งปัมยัตอาโซวา ผ่านกรีก อียิปต์ ตัดเข้าเอเชียทางคลองสุเอซ บ่ายหน้าสู่อินเดีย ศรีลังกา สิงคโปร์ สยาม เวียดนาม จีนและญี่ปุ่น โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จออกไปรับเสด็จซาเรวิตช์ถึงในสิงคโปร์ โดยเรือมกุฎราชกุมาร และเขาได้รับมอบหมายให้ไปรับเสด็จซาเรวิตช์พร้อมด้วยคณะ ที่ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการเพื่อนำเสด็จเดินทางต่อมายังบางกอก

ถึงตอนนี้รำเพยก็ตัวแข็งทื่อ เมื่อพบว่าตนเองพบกับบุคคลในประวัติศาสตร์เข้าให้แล้ว “อย่าบอกนะว่าคุณคือกัปตันโกล ดิฉันหมายถึงพลเรือโท พระยาชลยุทธการบดินทร์”

อองเดรทำหน้าประหลาดใจหนักขึ้น “คุณเข้าใจผิดแล้วมิสรำเพย ผมคือกัปตันอองเดร เดอ โกล ก็จริง แต่ผมเป็นแค่ พลเรือจัตวา พระชลยุทธการบดินทร์ ยังไม่ได้เลื่อนยศเป็น พลเรือโท พระยาฯ ดั่งที่คุณว่า”

“ในปลายรัชกาลที่ ๕ คุณจะได้เลื่อนยศเป็น พลเรือโท พระยาชลยุทธการบดินทร์” รำเพยยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

กัปตันอองเดร เดอ โกล หรือ พระชลยุทธการบดินทร์ รับราชการในสังกัดกระทรวงทหารเรือ ตำแหน่งสูงสุดคือผู้บัญชาการทหารเรือของกองทัพเรือ เป็นรองผู้บัญชาการการรบของไทยในวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒(9) และเป็นผู้ออกแบบป้อมพระจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปราการ สร้างเสร็จและทำการทดลองยิงครั้งแรกก่อนเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ เพียงเดือนเศษ

ในช่วงวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ กัปตันอองเดล เป็นผู้นำทหารเรือชาวเดนมาร์กเข้าร่วมรบต่อสู้กับกองเรือฝรั่งเศสที่ปากน้ำ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นกงสุลเดนมาร์กห้ามไม่ให้ชาวเดนมาร์กเข้าไปยุ่งเกี่ยว โดยช่วงที่เกิดเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ กัปตันอองเดร มียศเป็นพลเรือจัตวา ตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารเรือ ภายหลังการรบ ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น พลเรือตรี พระยาชลยุทธการบดินทร์ และต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ดำรงยศ พลเรือโท พระยาชลยุทธการบดินทร์

อองเดรมองสาวสวยตรงหน้าด้วยสีหน้าขำขัน “คุณเป็นหมอดูรึ”

รำเพยยิ้ม ทำท่าอมภูมิ “ดิฉันรู้มากกว่านั้นอีก รู้ว่าคุณกำลังร่วมหุ้นกับพระเทศาชลธาร เปิดบริษัทเดินรถราง” พระเทศาชลธารที่เธอพูดถึง เธอหมายถึงกัปตันจอห์น ผู้เป็นเพื่อนสนิทของเขา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๐ เขาลงทุนร่วมกับเพื่อนเปิดบริษัททำการเดินรถราง เส้นทางจากตำบลบางคอแหลม ผ่านถนนเจริญกรุง ไปถึงศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร เป็นรถรางสายแรกในเอเชีย และในอีก ๗ ปีต่อมา ได้พัฒนาเป็นรถรางเดินด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้ยังก่อตั้งบริษัทไฟฟ้าสยามเพื่อผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า และก่อตั้งบริษัทรถไฟปากน้ำซึ่งเปิดดำเนินการรถไฟสายกรุงเทพ-สมุทรปราการ ขนส่งผู้โดยสารและสินค้า ระยะทาง ๒๑ กิโลเมตร เป็นสายแรกในปีพ.ศ.๒๔๓๖ ด้วย

อองเดรยิ้มมากขึ้น “เรื่องนั้นทุกคนในบางกอกรู้อยู่แล้ว ไม่น่าประหลาดใจเลย ทายอย่างอื่นที่จะทำให้ผมประหลาดใจสิ”

“ก็ดิฉันไม่ใช่หมอดูจะให้ทายอะไรล่ะ บอกสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต คุณก็เหน็บว่าเป็นหมอดู พอเล่าเหตุการณ์ในปัจจุบัน คุณก็ว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว สรุปเปลี่ยนเรื่องพูดเถอะ”

คนถูกต่อว่า กะพริบตาปริบๆ “อะไรขี้น้อยใจเสียจริง แลช่างต่อว่าต่อขานด้วย เล่าหน่อยเถอะว่าในรัชสมัยที่คุณอยู่ ใครเป็นพระเจ้าแผ่นดิน”

“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม พระองค์ คือหลานปู่ของรัชกาลที่ ๕”

อองเดรอึ้ง ถึงตอนนี้ก็มั่นใจมากขึ้นว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่กานพลูสาวที่ตนหลงรัก ด้วยว่าถึงจะมีใบหน้า ผิวพรรณและรูปร่างที่เหมือนกันราวกับแกะ แต่มีนิสัย กิริยาท่าทางและคำพูดคำจาต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เธอขี้เล่น ช่างต่อว่าต่อขาน แต่ก็ดูคล่องแคล่วปราดเปรียว และที่สำคัญพูดภาษาอังกฤษได้ดี ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดล้วนไม่ปรากฏอยู่ในตัวกานพลู กระนั้นรำเพยก็พูดเรื่องแปลกๆ ที่เขาฟังไม่เข้าใจ ทั้งที่ดูสติสมบูรณ์ครบถ้วน ไม่ได้ฟั่นเฟือน ถ้าเป็นกานพลู คงไม่พูดอะไรแบบนี้แน่ เธอเป็นกุลสตรีประเภทที่ไม่ช่างพูด พูดเนิบช้า มีจังหวะจะโคนน่าฟัง ราวกับเสียงดนตรี นึกมาถึงตรงนี้ อองเดรก็ชะงัก เมื่อรู้สึกตัวว่าเขายังตามหากานพลูไม่เจอ

“ผมต้องไปแล้ว” พูดพลางขยับลุก ย่อตัวออกมาจากเรือเก๋ง โดยมีรำเพยขยับตามอย่างรวดเร็ว เธอนึกดีใจที่เสื้อเชิ้ตแห้งเร็ว ไม่ได้แนบตัวอีก คงมีเพียงกางเกงยีนส์ที่สร้างความรำคาญเพราะเปียกชื้น

“คุณจะไปไหน” เธอร้องถามเมื่อออกมานั่งที่กราบเรือเก๋ง เขาเหมือนญาติคนเดียวในภพนี้ เธอไม่รู้จักใครเลย ถ้าเขาไป ก็คงเหมือนหมดที่พึ่ง

“ผมต้องตามหากานพลู เธอถูกบ่าวผลักตกน้ำ” อองเดรพูดด้วยสีหน้าร้อนใจ

“แต่เราไม่เห็นเธอโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเลย เธอว่ายน้ำเป็นใช่มั้ย?” รำเพยถามต่อ เหลียวมองรอบตัวเพื่อหาสิ่งมีชีวิต แต่เธอก็ไม่พบสัญญาณใดๆ

“ว่ายเป็น แต่ไม่แข็ง” อองเดรตอบแล้วเหลียวมองรอบกาย จริงอย่างที่แม่สาวคนนี้พูด แม่น้ำเจ้าพระยานิ่งสงบ ผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับล้อแสงแดด มีเกลียวคลื่นเล็กๆ ม้วนตัวเข้าหาฝั่งยามเรือวิ่งผ่าน ซึ่งก็นานๆ ครั้งจะผ่านมาสักลำ น้ำจึงค่อนข้างนิ่ง

ไร้วี่แววสาวที่เขาแอบรัก เธอไม่โผล่หรือชูมือขึ้นมาขอความช่วยเหลือ... อองเดรนึกด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เขาภาวนาขอให้เธอรอดปลอดภัย อย่าได้จมลงสู่ก้นบึ้งของแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งลึกราวกับหาจุดสิ้นสุดไม่ได้นั่น อองเดรนึกพลางพุ่งตัวลงไปในแม่น้ำอย่างไม่ลังเลทั้งที่เขายังหาตำแหน่งที่เธอตกน้ำไม่ได้ แต่แค่ได้ลงไปงมหา ก็อุ่นใจแล้ว อองเดรคิดว่าถ้าหญิงสาวตกน้ำจริง ก็ควรอยู่แถวๆ ตีนท่า

ก่อนหน้านี้เขายืนเก็บดอกจำปาอยู่ใต้ต้น เพื่อหวังเอาไปให้กานพลูทำน้ำอบ จังหวะที่เดินไปหาเธอที่ตีนท่า ซึ่งฝ่ายนั้นกำลังช่วยแป้นตักน้ำจากแม่น้ำไปใส่โอ่ง ก็ได้ยินเสียงคนตกน้ำในจังหวะไล่ๆ กับที่แป้นลุกลี้ลุกลนเดินขึ้นมาจากตีนท่า สีหน้าตื่นๆ ส่อพิรุธ เขาไม่มีโอกาสซักถาม เพราะต้องช่วยชีวิตของกานพลูไว้ก่อน เขากระโดดลงไปช่วย ควานหาอยู่นาน แต่เมื่อเจอตัว กลับกลายเป็นรำเพย ไม่ใช่กานพลู เขาสับสนค่อนข้างมาก เธอโผล่มาได้อย่างไร แล้วกานพลูหายไปไหน? และถ้าหญิงสาวคนนั้นพูดความจริงซึ่งตรองแล้วก็น่าจะพูดจริง ก็แสดงว่าเธอมาจาก ๑๐๐ ปีข้างหน้า

จะเป็นจริงไปได้อย่างไร? อองเดรนึกถามตัวเองด้วยความสับสน...


**********************************

(1) บลูโทพาส (Blue topaz) : อัญมณีสีฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของความมีอำนาจและเฉลียวฉลาด

(2) ร.ศ. : รัตนโกสินทร์ศก เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นปีแรก

(3) เรือเก๋งสี่แจว : เรือที่มีเครื่องบังแดดบังฝน มีฝา หลังคาแบนทำด้วยไม้ มี ๔ คนแจว

(4) ผ้าแถบ : ผ้าผืนยาว ๆ แคบ ๆ ใช้ห่มคาดหน้าอกต่างเสื้อ

(5) ทรงดอกทุ่ม : ผมที่ตัดสั้นทั้งศีรษะในระดับที่ชี้ขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายดอกกระทุ่ม เมื่อยาวในระดับพอดี ก็หวีเสยหรือหวีแสกกลาง

(6) คาร์ดินัล : สมณศักดิ์ชั้นสูง รองจากพระสันตะปาปา ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพระสันตะปาปา ในการปกครองคริสตจักรโรมันคาทอลิก

(7) ไทย : มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เป็น "ไทย" อย่างเป็นทางการในวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘ โดยในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ปลุกแนวคิดชาตินิยมและการเชื่อฟังผู้นำ ทำให้เกิดความต้องการรวบรวมชนเผ่าไทยจากต่างแดนเข้ามาสู่ประเทศ "ไทย" เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ในที่สุดจึงเปลี่ยนชื่อ “ประเทศ ประชาชน และสัญชาติ” เป็น "ไทย" ตามประกาศรัฐนิยมฉบับที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๒ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘

(8) ซาเรวิตช์ (Tzarevitch) : มกุฎราชกุมารนิโคลาส ตามภาษารัสเซียเรียกว่าซาเรวิตช์

(9) วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ : เหตุการณ์ร้ายแรงจากการที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบที่ปากน้ำเจ้าพระยา ในปีพ. ศ. ๒๔๓๖ ซึ่งทำให้ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเสียค่าปรับ ๓ ล้านฟรังก์ หรือ ๑,๖๐๕,๐๐๐ บาท






Create Date : 24 กันยายน 2558
Last Update : 24 กันยายน 2558 10:55:40 น.
Counter : 764 Pageviews.

6 comments
  
เรื่องชักเริ่มจะสนุกแระ ลุ้น ต่อไป
โดย: Tudtu Sujaree IP: 223.206.146.139 วันที่: 24 กันยายน 2558 เวลา:8:35:45 น.
  
ได้ท่องไปในอดีตจริงๆด้วย
5 5 5 ขำรำเพย sheแอบหื่นนิดๆเวลามองหน้าอองเดร
โดย: ศิริวรรณ IP: 58.11.76.139 วันที่: 24 กันยายน 2558 เวลา:8:56:48 น.
  
สงสัยมาตลอดทำไมคนไทยถึงเรียกว่าชาวต่างชาติว่าฝรั่ง แต่ก็ไม่เคยคิดหาคำตอบที่ถูก คิดว่าน่าจะมาจาก France แต่จริงๆ แล้วเอ๋เข้าใจผิดมาตลอดเลย ขอบคุณคุณอุ๋ยมากๆ เลยค่ะ นิยายเรื่องนี้นอกจากจะน่าติดตามแล้ว ยังให้ความรู้อีกด้วย

สงสัยมาตั้งแต่ตอนที่แล้วว่ากานพลูหายไปไหน คงต้องรอติดตามต่อไป คุณอุ๋ยคงไม่ยอมเฉลยง่ายๆ แน่ๆ เลย อิอิ
โดย: pantan IP: 171.96.176.237 วันที่: 24 กันยายน 2558 เวลา:10:23:27 น.
  
ที่ไม่ได้มาโพสคือไม่มีเวลาอ่านเลย ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วไม่ให้กำลังใจกันนะคะ โชคดีที่ได้กลับมาอ่านช่วงเปิดตัวเรื่องใหม่พอดี หายไปไม่ใช่ไม่รักนะ อิอิ ^_______^
โดย: sakeena IP: 125.24.250.158 วันที่: 25 กันยายน 2558 เวลา:8:10:00 น.
  
แล้วกานพูลไปโผล่ที่ยุคของรำเพยหรือเปล่าคะ
โดย: alanta IP: 110.49.207.42 วันที่: 29 กันยายน 2558 เวลา:8:27:08 น.
  
ดีจ้า มาทักทายนะจ้ะ sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ
โดย: สมาชิกหมายเลข 4061181 วันที่: 25 สิงหาคม 2560 เวลา:17:04:27 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments