Group Blog
บท 1/1...พรหมภพ
บทนำมีการปรับเพิ่มอีกแล้วค่ะ เลยต้องโพสต์ให้อ่านกันใหม่ ต้องขอโทษทีค่ะ ส่วนถ้าใครไม่อยากอ่าน ก็ข้ามไปอ่านตอนที่ 1 ได้เลยค่ะ

**********************


พรหมภพ
บทนำ
‘…ทุกคนล้วนเกิดมามีคู่ เพียงแต่โชคชะตาจะขีดเส้นว่าจะพบเจอคนนั้นเมื่อไหร่
ถ้าถึงเวลาเหมาะสม เราก็จะได้เจอ แต่ถ้าไม่...
ต่อให้เราเสาะแสวงหาหรือแทบเดินสวนกัน ก็ยังไม่ “พบ” คนนั้น
เปรียบไปไม่ต่างจากเราวิ่งไล่เงาตัวเอง และเพราะฉันเชื่อแบบนี้ฉันจึงเฝ้ารอคอย
ด้วยความเชื่อมั่นว่าฉันจะได้เจอสักวัน...’

*****


แปดโมงเช้า ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอกราวกับเป็นใจให้กับทริปล่องเรือรอบกรุงเก่าเพื่อทำบุญไหว้พระ ผู้ร่วมทริปเดินทางมาพร้อมเพรียงกันที่จุดนัดพบเพื่อล่องแม่น้ำเจ้าพระยาโดยเรือยนต์ ๕๐ ที่นั่ง รำเพยพร้อมด้วยกล้องคู่ใจ ก้าวลงเรือด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เสียงมัคคุเทศก์ประกาศผ่านโทรโข่ง ระวังลื่นล้ม กฎในการโดยสารทางเรือมีอยู่ ๒ ข้อ นั่นคือ ระวังลื่นล้มระหว่างก้าวขึ้น-ลงเรือ และต้องรอให้เรือจอดสนิทแล้วเท่านั้นถึงจะก้าวขึ้น-ลงเรือ

รำเพยอายุ ๒๓ ปี เพิ่งจบคณะโบราณคดี จากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งมาหมาดๆ ได้ชื่อว่าเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และชาติตระกูล ด้วยว่าเกิดในตระกูลดี สวย รูปร่างดีและร่ำรวย สมัยเรียนเธอเป็นดาวคณะและเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัย เข้าตาแมวมองและเอเจนซี่จนถูกชักชวนให้ไปเทสต์หน้ากล้อง โดยเฉพาะเอเจนซี่ที่มองหานักแสดงหน้าตาไทยๆ เข้ากับละครแนวพีเรียด จะถูกใจกับหน้าตาและรูปร่างที่อ้อนแอ้นของเธอเป็นพิเศษ แต่รำเพยปฏิเสธไปทุกราย ด้วยเหตุผลว่าไม่ชอบอาชีพที่ต้องอยู่หน้ากล้อง เธอชอบอยู่หลังกล้องมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงไม่ลังเลที่จะสมัครเป็นช่างภาพของนิตยสารการท่องเที่ยงเชิงวัฒนธรรมแห่งหนึ่งหลังเรียนจบปริญญาตรี ตั้งใจทำงานระหว่างรอมหาวิทยาลัยในต่างประเทศตอบรับเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโท วันนี้เป็นวันหยุด เธอจึงถือโอกาสมาพักผ่อนด้วยการซื้อทัวร์ล่องแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำและถือโอกาสไหว้พระทำบุญไปพร้อมกัน

เธอรักการปฏิบัติธรรม ชอบทำบุญไหว้พระ แต่กลับไม่มีโชคด้านความรักจนถูกเพื่อนๆ ล้อว่า...สวย รวยแถมใจบุญ แต่กลับไม่มีแฟน... สำหรับรำเพยมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะถ้ามี เธออยากได้ประเภทคู่แท้ ไม่ใช่คู่จรหรือคู่ผ่าน เธอเชื่อว่าถ้าเป็นเนื้อคู่กันแล้ว ย่อมมีสัญญาณอะไรบ่งบอกหรือสัมผัสได้ว่าเขาคือคนคนนั้น รำเพยเชื่อว่าตนเองมีคู่แท้ ขอแค่ใจเย็น รอให้ถึงวันเวลาที่เหมาะสม แล้วสวรรค์จะจัดสรรให้เอง ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่เคยมีแฟน และเฝ้ารอใครคนนั้นตลอดมา

แล้วเสียงของเพื่อนสนิท ก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด กลบเสียงเรือยนต์เสียมิด

‘เพย...ไปดูหมอกัน’

พิมพาผู้เป็นเพื่อนสนิทลากมือเธอเข้าไปในกระโจมหมอดูในทันทีที่เดินผ่านโซนหมอดูซึ่งประกอบไปด้วยหมอดูที่ทำนายด้วยใบไม้ ไพ่ยิปซี ลายมือ โหงวเฮ้ง เป็นต้น เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมรูปแบบหนึ่งที่กระทรวงวัฒนธรรมพยายามรื้อฟื้นวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เรียกว่า “งานวัด” ขึ้นมา โดยจำลองประเพณี ขนบธรรมเนียม ชิงช้าสวรรค์ การละเล่นสาวน้อยตกน้ำ ปาเป้า เวทีรำวง มีร้านจำหน่ายขนมและอาหารแบบไทยๆ รวมอยู่ในงานเดียวกัน พร้อมด้วยสายรุ้งคละสีพาดระโยงรยางค์เหนือเสาไฟและต้นไม้ทั่ววัด กระโจมหมอดู จึงกลายเป็นอะไรที่ผิดแผกไปจากกิจกรรมอื่นๆ ในงาน

‘ไม่ ฉันไม่อยากดู’ รำเพยปฏิเสธ พยายามฝืนแรงฉุดของเพื่อน

‘แค่เข้าไปเป็นเพื่อนฉัน’

รำเพยเลยจำใจต้องเดินตามแรงลากของเพื่อนเข้าไปในกระโจมอย่างไม่เต็มใจนัก

‘ปิดผ้าใบด้วยหนู’ กระโจมไหนที่มีลูกค้าใช้บริการอยู่ ผ้าใบจะถูกปิดลงเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ลูกค้ารายอื่นๆ ได้ทราบว่ากระโจมนั้นไม่ว่าง มีลูกค้ากำลังใช้บริการอยู่ อีกทั้งเพื่อไม่ให้รบกวนสมาธิของหมอดูภายในกระโจมนั้นด้วย

สิ้นเสียงของหมอดู รำเพยก็ทำตามอัตโนมัติราวกับหุ่นยนต์ เธอรู้สึกราวกับหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งด้วยว่าข้าวของในกระโจมไม่ต่างจากพวกยิปซีโบราณ มีโต๊ะเล็กคล้ายๆ กับโต๊ะญี่ปุ่นวางอยู่ตรงหน้าแม่หมอโดยมีผ้ากำมะหยี่สีแดงสดปูรองโต๊ะ มีลูกแก้วใสลูกใหญ่วางบนสุด แว่นกันแดดวางข้างๆ มุมซ้ายและมุมขวาของกระโจม มีโต๊ะเตี้ยๆ บูชารูปปั้นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และอีกด้านบูชาพระพุทธรูป แล้วเสี้ยววินาทีต่อมารำเพยก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ ที่พัดมาปะทะร่างกาย ให้รู้สึกหนาวแปลกๆ เธอหันขวับมองผ้าใบทางด้านหลัง แต่พบว่ามันไม่ไหวติง แถมไม่มีช่องลม

แล้วลมมาจากไหน? รำเพยถามตัวเอง แล้วเหลียวมองรอบตัวเพื่อหาแหล่งที่มาซึ่งอาจเป็นพัดลมที่แม่หมอแอบซ่อนไว้สักที่ เหมือนกับกลิ่นกำยานที่จู่ๆ เธอก็ได้กลิ่นอยู่ในขณะนี้ซึ่งแม่หมออาจจะวางซุกไว้ที่ไหนสักแห่งเพื่อหวังสร้างบรรยากาศให้ขลังก็ได้ อาจใช้วิธีเล่นกลหรือไม่ก็ตั้งเวลาให้มันทำงานตามที่ต้องการ แต่เวลานั้นเธอก็หาควันไม่เจอ ยิ่งกว่านั้นจากกลิ่นกำยาน ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นบุหรี่อย่างน่าประหลาดใจ มันส่งกลิ่นฉุนรุนแรงจนเธอต้องยกมือปิดจมูก ปกติเธอไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือเรื่องเหลวไหลพวกนี้ แต่วินาทีนั้นกลับรู้สึกขนลุกชันด้วยเหตุผลบางประการที่ตัวเองก็อธิบายไม่ได้

พิมพาทรุดนั่งฝั่งตรงข้ามหมอดู มีลูกแก้ววางอยู่ตรงกลางระหว่างเธอกับแม่หมอ โดยมีรำเพยทรุดตัวนั่งด้านหลังพิมพา

‘หนูต้องการดูเรื่องความรักค่ะ ปีนี้หนูจะได้แต่งงานกับแฟนไหมคะ’ พิมพาเกริ่นขึ้นเป็นประโยคแรก

หมอดูทำพิธีอะไรบางอย่างราวกับคนทรงเจ้า เนื้อตัวสั่นเทิ้ม โต๊ะบูชาขยับไหว ลูกแก้วหมุนเหนือแกนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่ตอนนั้นรำเพยเชื่อว่าแม่หมออาจใช้ทริคอะไรบางอย่าง

แม่หมอยังคงหลับตา สองมือประคองลูกแก้วที่กำลังหมุนด้วยตัวของมันเองอย่างช้าๆ

‘ไม่ต้องห่วงได้แต่งแน่ เพราะสิ่งที่อยู่ในท้องเจ้าผูกมัดเขาอยู่’ แม่หมอตอบ

พิมพาหน้าแดงระเรื่อ นึกทึ่งแกมศรัทธาแม่หมอ ขณะที่รำเพยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำทำนาย

‘แต่แม่เขาไม่ยอมรับ...’ พิมพาพูดต่อ

‘เชื่อข้า เมื่อแม่ผัวเห็นหน้าหลาน นางจะเปลี่ยนท่าที’ แม่หมอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ

ชัดเจนแล้ว... รำเพยสะกิดเพื่อน พลางกระซิบถาม ‘แกท้องเหรอ?’

พิมพาแสร้งทำทีไม่ได้ยิน ถามหมอดูต่อว่า ‘เขากำลังจะย้ายไปประจำที่ต่างจังหวัด แม่หมอช่วยให้หนูแต่งงานกับเขา ก่อนย้ายไปได้ไหมคะ หนูกลัวผู้หญิงคนอื่นจะจับเขา’

‘ได้สิ แต่ค่าหมอแพงนะ’ ยังคงตอบด้วยอาการหลับตาพริ้ม

‘เท่าไหร่คะ’ พิมพาถามต่อ

หมอดูบอกตัวเลข ๕ หลัก รำเพยอึ้ง เธอกระตุกแขนเพื่อน ไม่อยากให้เพื่อนถูกหลอก แต่พิมพาปัดมือออกราวกับไล่ยุง

‘ได้ค่ะ เราเริ่มพิธีได้เลยไหมคะ?’

‘ได้สิ...เจ้านอนลง’

แล้วจากนั้นพิธีก็เริ่มต้นขึ้นจวบจนเสร็จสิ้นและพิมพาจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว รำเพยก็ขยับลุก แต่เพื่อนสาวกลับพูดว่า

‘แล้วเพื่อนของหนูละคะ จะมีเนื้อคู่ไหม เธอเป็นสาวสวยแต่กลับไร้คู่ แม่หมอช่วยเธอหน่อยได้ไหมคะ’

รำเพยสะดุ้ง รีบส่งเสียงท้วงเพื่อน ‘เฮ้อ...ยายพิมพ์ฉันไม่ได้อยากดูนะ’

ขณะที่แม่หมอตอบว่า ‘ได้สิ’ พลางลืมตา จ้องดูรำเพย สภาพการณ์ราวกับอะไรบางอย่างออกจากร่างแล้ว เพราะเสียงพูดกลับไปเหมือนเดิม และเนื้อตัวไม่ได้สั่นเทิ้มอีก แม่หมอดูโหงวเฮ้งของรำเพยแล้วตอบว่า ‘โหงวเฮ้งหนูแปลกมาก’

‘แปลกยังไงคะ’ พิมพาถาม

แต่รำเพยรีบปฏิเสธเสียงรัว ‘ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่อยากดู’

‘ไม่เป็นไร ข้าจะดูให้ฟรี นานๆ ครั้งจะพบโหงวเฮ้งแปลกอย่างนี้ หนูมีทั้งโชคและเคราะห์อยู่ในคราวเดียวกัน’

‘หมายความว่าไงคะ?’ พิมพาถามต่อ

‘ยื่นมือมาให้หมอสิ’ แม่หมอกลับหันไปบอกรำเพย

พิมพาเขย่าแขนเพื่อนเมื่อเห็นฝ่ายนั้นยังนั่งเฉย มองตาปริบๆ ราวกับกำลังงุนงง พิมพาถือวิสาสะกระตุกมือเพื่อนไปให้แม่หมอ รำเพยพยายามกระตุกกลับ แต่พิมพาขืน ดึงไว้แน่น แม่หมอจับมือบอบบางขาวนวลเนียนของรำเพย พลางพริ้มตาหลับ นาทีต่อมาก็ลืมตา

‘มีอะไรบางอย่างกำลังตามหนู ถ้าหนูช่วยให้เขาหลุดพ้นบ่วงกรรมได้ หนูก็จะได้เจอเนื้อคู่’

‘แปลว่าที่เพื่อนหนูยังไม่ได้เจอเนื้อคู่ เพราะมีอะไรบางอย่างคอยขวางหรือคะ?’ พิมพาถามรัวเร็ว

‘ใช่’

‘อะไรที่ตามหนูอยู่คะ?’ รำเพยถามบ้าง

‘สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก’

‘คุณพระ...แม่หมอหมายถึงผีหรือคะ’ พิมพาโพล่งออกมา ขนลุกชัน

‘ไม่ใช่ แต่ใกล้เคียง เขาเป็นดวงจิตที่ติดอยู่ในที่ที่หนึ่งรอวันแม่หนูคนนี้ปลดปล่อย’ แม่หมอตอบ

‘ทำไมต้องรอหนูปลดปล่อย แล้วทำไมต้องเป็นหนู?’

‘เพราะหนูกับเขาทำบุญทำกรรมร่วมกันมา และหนูก็เป็นทายาทสายตรงของคนที่เป็นเจ้าหนี้กรรมเขา’

‘แม่หมอกำลังพูดอะไร หนูงงไปหมดแล้ว’

หมอดูไม่ฟังที่รำเพยพูด เธอพูดต่อว่า ‘เขากำลังรอความช่วยเหลือจากหนู มีหนูคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้’

‘แล้วหนูจะเจอเขาได้ยังไง’

‘ไม่ต้องห่วง เขาจะตามหนูเจอเอง’

‘เมื่อไหร่คะ?’

‘อีกไม่นาน...อีกไม่นาน ตอนนี้ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ถ้าอยากเจอเร็วกว่านั้น พิพิธภัณฑ์ริมน้ำคือคำตอบ’

‘อะไรนะคะ แม่หมอหมายถึงอะไร?’ รำเพยถามอย่างงุนงง

‘หมอบอกได้เท่านี้ ทั้งหมดที่หมอรู้และพูดได้ หมอพูดไปหมดแล้ว’

‘จิตดวงนั้นจะมาทำอันตรายเพยไหมคะ’ พิมพาถามบ้าง

‘เปล่า... ไม่ต้องห่วง เขามาดี เขาจะเป็นคุณกับแม่หนูด้วยซ้ำ’

‘แปลว่า...ถ้าเพยช่วยเขาได้ เพยจะได้เจอเนื้อคู่ใช่ไหมคะ’ พิมพาถามต่อ

‘ถูกต้อง’

‘เอ...หรือจิตดวงนั้นคือเนื้อคู่ของเพยเองคะแม่หมอ?’ พิมพายังคงถามต่อ แต่คราวนี้ไม่มีคำตอบจากหมอดู

ความจริงพิมพาถามไปด้วยความคึกคะนอง ไม่ได้คาดหวังกับคำตอบจริงจัง เพราะรู้แน่ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อจิตดวงนั้นยังไม่ได้มาเกิด ก็ย่อมไม่มีทางจะเป็นเนื้อคู่ของรำเพยไปได้ และถ้ารอให้มาเกิดใหม่ ก็คงไม่ทันในชาตินี้เพราะรำเพยอายุปาไป ๒๓ ปีแล้ว แล้วหลังจากนั้นไม่ว่าพิมพาหรือรำเพยจะพยายามเค้นถามอะไรที่เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับนั้น หมอดูก็พูดวกกลับไปเรื่องเดิม ไม่ต่างจากแผ่นเสียงตกร่อง จนพวกเธอต้องเปลี่ยนเรื่องไปถามเรื่องอื่นแทน

‘แล้วเนื้อคู่ของเพย จะมีลักษณะยังไงคะ’ พิมพาถามใหม่

‘ถ้าแม่หนูได้สัมผัส ก็จะรู้เอง’

‘คำตอบกว้างเกินไป งั้นเอางี้ เขามีลักษณะเด่นอะไรบ้าง ที่เพื่อนหนูเห็นแล้ว จะรู้ได้เลยว่านั่นคือเนื้อคู่?’

แม่หมอนิ่งแล้วตอบอย่างเนิบช้าว่า ‘ปานแดงเล็กๆ รูปหัวใจ เขาจะมีสัญลักษณ์นั้น’


รำเพยบอกตัวเองว่าไม่ใช่เพราะคำทำนายในคราวนั้นที่ทำให้เธอดั้นด้นท่องเที่ยวไปตามพิพิธภัณฑ์นับแต่เหนือสุดของแดนสยามจวบจนล่างสุดของด้ามขวาน เพราะคำทำนายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน ขณะที่เธอชื่นชอบกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมาตั้งแต่จำความได้ สมัยเด็กๆ พ่อแม่มักพาเธอไปเที่ยวตามวัดวาอาราม สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ตลอดจนหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ ต่างจากเด็กคนอื่นๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกันที่ชอบเที่ยวห้าง สวนสนุก ฯลฯ

แม้วันนี้ครอบครัวของเธอพร้อมด้วยน้องชายจะย้ายไปอยู่เดนมาร์ก เนื่องจากพ่อเธอย้ายไปเป็นทูตอยู่ที่นั่นและเธอก็เตรียมตัวที่จะเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่นด้วยในเร็วๆ นี้ กระนั้นเธอก็ยังคงชื่นชอบกับการท่องเที่ยวในประเทศไทยตามสถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ไม่เปลี่ยนแปลง



เริ่นต้นทริปด้วยการแวะวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นที่แรก วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร หรือ "วัดกัลยา" ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ฝั่งใต้ สร้างขึ้นโดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ในปี พ.ศ. ๒๓๖๘ ได้บริจาคที่ดินซึ่งเป็นหมู่บ้านกุฎีจีนเดิม ถวายเป็นพระอารามหลวงแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ขณะที่สร้างเจ้าพระยานิกรบดินทร์ได้เสียชีวิตเสียก่อน รัชกาลที่ ๓ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการสร้างจนแล้วเสร็จ พระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร" และทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางมารวิชัย ชื่อพระพุทธไตรรัตนนายก หมายถึง แก้ว ๓ ประการ สอดคล้องกับคำจีนว่า ซำปอกง ซึ่งเป็นชื่อที่คนจีนในย่านนี้เรียกและยังมีเทพเจ้าต่างๆ ให้กราบไหว้บูชาตามความเชื่อของชาวจีน

รำเพยถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ก็ตามคณะล่องเรือต่อไปยังพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร(วัดแจ้ง) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า "วัดมะกอก" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "วัดมะกอกนอก" เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จกรีฑาทัพมาถึงวัดมะกอกนอกในเวลารุ่งอรุณพอดี จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "วัดแจ้ง" ในช่วงที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี วัดแจ้งถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและพระบาง อย่างไรก็ตามในปี พ. ศ. ๒๓๒๗ พระแก้วมรกตได้ย้ายมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพระบางนั้น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดพระราชทานคืนนครเวียงจันทร์ ประเทศลาว ความน่าสนใจของพระปรางค์ อยู่ตรงที่แฝงความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ เรื่องเทวดาพระอินทร์และเรื่องราวไตรภูมิ โดยจำลองไว้ในสถาปัตยกรรมของพระปรางค์วัดอรุณฯ รำเพยเดินผ่านประตูรั้วขององค์ปรางค์ที่เปรียบเสมือนกำแพงของจักรวาล พื้นลานกว้างเปรียบเหมือนท้องทะเลสีทันดร และกลางทะเลมีเขาพระสุเมรุซึ่งก็คือองค์ปรางค์โดยแวดล้อมด้วยปรางค์ ๔ ทิศซึ่งแทน ๔ ทวีป ซึ่งในไตรภูมิก็คือ อุตรกุรุทวีปด้านทิศเหนือ บุรพวิเทหทวีปด้านตะวันออก อมรโคยานทวีปด้านตะวันตก และชมพูทวีปด้านทิศใต้ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์

นอกจากพระปรางค์แล้ว โบสถ์น้อยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นที่ประทับเดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จุดสำคัญอยู่ที่แผ่นศิลาจารึกของพระองค์ และแท่นบรรทมที่ไม่มีใครสามารถยกหรือเคลื่อนย้ายได้ซึ่งตั้งอยู่ที่โบสถ์น้อยแห่งนี้กว่า ๒๐๐ ปี

รำเพยดื่มด่ำกับสถาปัตยกรรมและถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ก็ตามคณะล่องเรือต่อไปยังวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร(วัดระฆัง,วัดหลวงพ่อโต) เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยาซึ่งเดิมมีชื่อว่า “วัดบางหว้าใหญ่” ระหว่างที่รำเพยเดินเที่ยวชม ไกด์บอกเล่าประวัติไว้อย่างน่าสนใจ

“ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีการขุดพบระฆังลูกหนึ่ง เล่ากันว่ามีเสียงไพเราะและรูปทรงสวยงาม จึงโปรดให้นำไปไว้ที่หอระฆังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และถึงแม้มีเสียงที่ไพเราะแต่ไม่มีใครอยากได้ยิน เพราะระฆังนี้ จะตีเฉพาะ ๒ เหตุการณ์ คือ การเปลี่ยนพระสังฆราชและการเปลี่ยนพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึงการสูญเสีย เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว พระองค์ก็ทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางหว้าใหญ่ ๕ ลูก จากนั้นได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่าวัดระฆังโฆสิตาราม”

ในบริเวณวัดยังสามารถเดินชมเรือนไทยแฝด ๓ หลังซึ่งเคยเป็นเรือนประทับของรัชกาลที่ ๑ ปัจจุบันเป็นหอพระไตรปิฎก จัดเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวของมาฆะมานพ หรือการกำเนิดของพระอินทร์ มีที่เดียวในประเทศไทยอายุกว่า ๒๐๐ ปี เขียนโดยพระอาจารย์นาค ซึ่งเป็นจิตรกรในสมัยอยุธยาตอนปลาย

รำเพยกดชัตเตอร์เก็บภาพขณะที่ไกด์สาวบรรยายว่า

“เรือน ๓ หลังแฝดที่เห็นคือ หอพระไตรปิฎก หอด้านใต้ลักษณะเป็นหอนอน หอกลางเป็นห้องโถง หอด้านเหนือเข้าใจว่าเป็นห้องรับแขก ของเดิมเป็นหลังคามุงจาก ได้เปลี่ยนเป็นมุงกระเบื้อง ชายคาเป็นรูปเทพพนม เรียงรายเป็นระยะๆ ภายในมีตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่เขียนลายรดน้ำ ๒ ตู้ ประดิษฐานไว้ในหอด้านเหนือ ๑ ตู้ หอด้านใต้ ๑ ตู้...”

รำเพยชอบฟังประวัติศาสตร์ เพราะทำให้คิดจินตนาการว่าคนในสมัยโบราณกินอยู่และใช้ชีวิตอย่างไร แอบคิดว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าหลุดไปอยู่ในยุคโบราณ แล้วเธอก็ต้องตื่นจากภวังค์เมื่อเสียงไกด์สาวประกาศผ่านโทรโข่งว่า

“เอ้า...ลงเรือได้แล้วจ้า ถึงเวลาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปแล้ว”



พิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิม ชาวจีนที่ย้ายมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ เป็นเจ้าภาษีนายอากร เจ้าของกิจการค้าข้าว โรงสี และเดินเรือสำเภาค้าขายระหว่างไทยและจีน บ้านเจ้าสัวกิมเป็นบ้านเก่าของต้นตระกูลดาราคุปต์ สร้างในสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ลักษณะที่โดดเด่นคือ เป็นกลุ่มอาคารชิโน-โปรตุกีสหลายหลังที่เชื่อมต่อถึงกัน สร้างในบริเวณเดียวกันในเนื้อที่เกือบ ๒ ไร่ หันหน้าเข้าหาลานกว้างซึ่งอยู่ตรงกลาง บ้านเจ้าสัวกิมตกเป็นมรดกของลูกหลานหลายรุ่น ทายาทหวังให้สถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ที่บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชุมชน ตลอดจนการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคนั้นในช่วง ๒๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา จึงได้อนุรักษ์ตัวอาคารและเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านไว้เป็นอย่างดี และเปิดให้ผู้สนใจได้เข้าไปชมโดยเสียค่าบัตรเข้าชมเพียงคนละ ๕๐ บาทสำหรับคนไทยและคนละ ๑๐๐ บาทสำหรับชาวต่างชาติ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาบ้านเก่าโบราณหลังนี้ ให้คงอยู่ในสภาพเดิม

รำเพยมาร่วมทริปนี้ เพื่อหวังเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของต้นตระกูลดาราคุปต์เป็นการเฉพาะซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ของภาคเอกชน เนื่องจากได้ยินมาว่าในยุคสมัยนั้นเจ้าสัวกิมรวยที่สุดในย่านนั้น เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษเมืองจีน วัสดุของบ้านส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เนื่องจากการค้าขายทางเรือในสมัยนั้นเฟื่องฟู เช่น รั้วบ้านจากฮอลแลนด์ กระเบื้องปูพื้นจากอิตาลี ฯลฯ ปัจจุบันเจ้าสัวกิมมีลูกหลานนับเนื่องมากว่า ๑๐ รุ่น แต่ถ้านับจากต้นสกุลพระราชทานดาราคุปต์ ถือว่ามีทายาทเป็นรุ่นที่ ๖

รำเพยเข้าไปในห้องแสดงภาพของต้นตระกูลซึ่งไม่ต่างจากหอเกียรติยศ ด้วยว่าแต่ละภาพที่แขวนอยู่บนผนังซึ่งมีทั้งภาพวาดขาวดำ ภาพถ่ายขาวดำและภาพถ่ายที่เป็นภาพสีนั้น มีข้อมูลรายละเอียดภาษาไทยและภาษาอังกฤษกำกับไว้ทุกภาพว่าบรรพชนแต่ละท่านสร้างคุณงามความดีไว้กับแผ่นดินไทย หรือเป็นใคร เกี่ยวข้องกับตระกูลดาราคุปต์อย่างไรบ้าง ไล่ตั้งแต่ภาพแรกที่เป็นภาพวาดขาวดำของเจ้าสัวกิม จวบจนมาถึงภาพวาดขาวดำของหลวงนาวีเดชานนท์ซึ่งแต่งงานกับสดใส บุตรีของพระยาธำรงภักดีฤทธิ์ ตามมาด้วยสุ่นและแก้ว น้องชายน้องสาวของหลวงนาวีเดชานนท์ จากนั้นมาถึงต้นตระกูลดาราคุปต์ซึ่งเป็นสกุลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ นั่นคือ ม.อ.ต.(1)เจ้าพระยาพิภพเดโช ตามมาด้วยน้องชาย ๒ คนของท่าน คือ ฮง และเชน ถัดมาคือภาพถ่ายขาวดำของอุ่นเรือน บุตรีของพระยาพิชัยอากาศ ผู้เป็นภรรยาหลวงของม.อ.ต.เจ้าพระยาพิภพเดโช ซึ่งมีบุตรด้วยกัน ๓ คน คือ รพีพร เชิงพลอย กาหลง จากนั้นเป็นภาพถ่ายขาวดำของช้องนาง อนุภรรยาของม.อ.ต.เจ้าพระยาพิภพเดโช ซึ่งมีบุตรด้วยกัน ๓ คน คือ ชินานาง ชไบนาง อังกูร แล้วเป็นภาพถ่ายขาวดำของกิ่งพิกุล อนุภรรยาคนที่ ๒ ซึ่งมีบุตรด้วยกัน ๓ คนอีกเช่นกัน คือ ส้มจีน ลำเทียนและอังกอบ

รำเพยไล่สายตาดูภาพถ่ายของบรรพชนในตระกูลดาราคุปต์เรื่อยๆ จนมาถึงภาพถ่ายซึ่งเป็นภาพสีของพันตำรวจโททวีสิน แล้ววินาทีนั้น เธอก็ได้กลิ่นบุหรี่คละเคล้ากลิ่นดอกไม้ เหลียวมองรอบตัวเพื่อหาแหล่งที่มา แต่ทว่าก็ไม่เห็นใครสูบ ทุกคนกำลังดื่มด่ำไปกับเรื่องราวที่แสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้นผ่านทางภาพวาด ภาพถ่าย ตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยที่จัดแสดงอยู่ในห้องโถงแห่งนั้น

เป็นเวลาเกือบ ๒ เดือนมาแล้วที่เธอได้กลิ่นบุหรี่โดยที่หาสาเหตุและหาแหล่งที่มาไม่ได้ จนร่ำๆ คิดว่าตนเองเพี้ยนหรือไม่ก็บ้าไปแล้วที่ได้กลิ่นอยู่คนเดียว เพราะถามใครๆ ก็ไม่ได้กลิ่น แล้วจังหวะนั้น เสียงไกด์ก็ทำลายภวังค์

“ว่ากันว่าภาพถ่ายของญาติๆ ในตระกูลดาราคุปต์หายไปหนึ่งสายค่ะ” ไกด์สาวพูดขึ้นขณะเดินมาหยุดยืนข้างๆ

“คะ? หมายความว่าไงคะ?” รำเพยเหลียวมองไกด์สาวซึ่งฝ่ายนั้นกำลังแหงนหน้ามองภาพถ่ายที่เป็นภาพสีของม.อ.ต.เจ้าพระยาพิภพเดโช

“เทียด(2)เคยเล่าให้ฟังว่าเจ้าคุณพิภพเดโชมีภรรยาทั้งหมด ๔ ท่าน คนที่ ๔ เป็นบ่าวในบ้าน ท่านรักมากจนบรรดาภรรยาคนอื่นๆ เกิดความอิจฉาริษยา”

“แล้วอย่างไรคะ? เจ้าคุณรักมากแล้วทำไมถึงไม่ปรากฏภาพวาดเหมือนกับภรรยาคนอื่นๆ ของท่านละคะ?” รำเพยถามเสียงอ่อนๆ อย่างสนใจเมื่อไกด์สาวหยุดเล่าไปเฉยๆ ในสมัยแรกๆ ของต้นตระกูลยังเป็นภาพวาดขาวดำ เนื่องจากยังไม่มีกล้องถ่ายรูปซึ่งเพิ่งจะเข้ามาในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕

ไกด์สาวเหลียวมาสบตาลูกทัวร์คนสวยแล้วว่า “รักมาก แต่ก็เกลียดและแค้นมากด้วยเช่นกัน เนื่องจากคบชู้กับญาติห่างๆ ของตัวเอง”

“อะไรนะคะ?”

ไกด์สาวพยักหน้า ก่อนเล่าต่อว่า “เป็นแผนการของภรรยาหลวงที่จงใจให้ท่านเจ้าคุณไปเห็นภาพบาดตาบาดใจนั้นแล้วเกิดความเข้าใจผิด นัยว่าเป็นการสร้างสถานการณ์โดยที่อนุภรรยาและญาติหนุ่มของอนุภรรยาท่านนั้น ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย ผลคือท่านเจ้าคุณเกลียดภรรยาคนนี้มาก วันที่เสียชีวิตจากการคลอดลูก ว่ากันว่าท่านไม่ไปดูดำดูดีเลยสักนิดและลูกที่เกิดมา ท่านก็ไม่เคยอุ้มชูเหลียวแล จนถูกบรรดาเมียๆ และพี่ๆ น้องๆ กลั่นแกล้งสารพัด เวลาผ่านไปจนเข้าสู่วัยสาวก็ต้องมาจบชีวิตลงด้วยการถูกฆาตกรรม นั่นแหละท่านถึงได้มารู้สำนึก”

“ฆาตกรรม?” รำเพยทวนคำเสียงสูง น้ำเสียงแหบแห้ง น่าแปลกเธอรู้สึกเศร้าสร้อย น้ำตารินไหลโดยไม่ทราบสาเหตุ

ไกด์สาวพยักหน้า เล่าต่อว่า “เป็นการฆาตกรรมที่ทำทีให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ผู้คนในสมัยนั้นเชื่อว่าเป็นแผนการของภรรยาหลวง แต่นั่นแหละท่านเป็นใหญ่ในบ้านรองลงมาจากท่านเจ้าคุณ เลยไม่มีใครกล้าทำอะไร พอท่านเจ้าคุณนิ่งเฉย ทุกคนในบ้านเลยต้องพร้อมใจกันหลับตาข้างหนึ่ง ทำทีมองไม่เห็น”

“แล้วอย่างไรต่อคะ?” รำเพยกระตุ้นถามต่อ

“พอญาติห่างๆ ของอนุภรรยาท่านที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นชู้กับอนุภรรยาท่าน รู้ข่าวการเสียชีวิตของหลานสาว ก็ดั้นด้นเดินทางจากหัวเมืองมาบอกความจริงกับท่านเจ้าคุณ ความจริงเขาเคยยืนยันความบริสุทธิ์ไปแล้วหนหนึ่งตอนเกิดเรื่อง แต่ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณไม่เชื่อ คิดว่าอนุภรรยากับญาติหนุ่มลักลอบได้เสียกันจริงๆ เลยจับโบยเลือดอาบ แล้วขับไล่เขาออกจากบ้าน หนนี้เขากลับมายืนยันความบริสุทธิ์อีกครั้ง บอกว่าไม่เคยมีอะไรกับอนุภรรยาของท่าน และบอกว่าเด็กสาวที่เสียชีวิตไปคนนั้น ถูกฆาตกรรมและเป็นลูกสาวของท่านเจ้าคุณจริงๆ นอกจากท่านเจ้าคุณจะไม่เชื่อแล้ว ยังโกรธมากด้วย คิดว่าเขาเอาสร้างเรื่องโกหกมดเท็จเพื่อหวังให้ท่านเจ้าคุณรู้สึกผิดกับการเสียชีวิตของเด็กสาวคนนั้น ผู้ชายคนนั้นก็เลยถูกโบยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดและถูกล่ามโซ่ตรวนนานนับเดือน โดยให้อาหารแค่พอประทังชีวิต จนกว่าเขาจะรู้สำนึกผิดและพูดความจริง ว่ากันว่าเขาถูกจองจำนานจนสติวิปลาส วันหนึ่งเขาบอกท่านเจ้าคุณว่าเขาพร้อมจะเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกโดยการลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ท้าว่าถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นเท็จ ก็ขอให้เขาตายกลางกองเพลิงนั้น แต่ถ้าเป็นความจริง ก็ขอให้เขารอดชีวิตจากกองเพลิงและขอให้ท่านเจ้าคุณซึ่งมีมิจฉาทิฏฐิ ทำผิดไว้กับเมียและลูกของตัวเอง รวมถึงกับเขาด้วย ก็ขอให้ท่านเจ้าคุณพบแต่ความฉิบหาย”

“ผลเป็นยังไงคะ? แล้วทำไมเขาต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงแบบนั้นด้วยแค่แลกกับการพิสูจน์ความจริง”

“เล่ากันว่าเขาอยากล้างมลทินให้กับทั้งตัวเองและญาติสาวก็เลยยอมเอาชีวิตเข้าแลก เดาว่าเขาคงหมดอาลัยตายอยากในชีวิตด้วย เพราะถูกจองจำอยู่นานมาก ผลปรากฏว่าเขาลุยกองเพลิงที่กำลังลุกโหมเหนือตัวเขาโดยไม่เป็นอะไรเลยราวกับปาฏิหาริย์ นับแต่นั้นท่านเจ้าคุณก็เลยยอมเชื่อและอยู่อย่างสำนึกผิดกับการที่ถูกเป่าหูง่าย ว่ากันว่าการเสียชีวิตของลูกเมียกลายเป็นตราบาปในชีวิต ท่านตรอมใจตายในอีกหลายปีต่อมา เมื่อท่านเจ้าคุณเสียชีวิตแล้ว คุณอุ่นเรือนก็ลบเรื่องราวต่างๆ ของอนุภรรยาท่านคนนี้ออกจากหน้าประวัติศาสตร์ของต้นตระกูลดาราคุปต์ ด้วยเหตุนี้ถึงไม่มีภาพหรือหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับอนุภรรยาของท่านคนนี้เลย”

รำเพยอึ้งหลังจากฟังเรื่องราวต่างๆ จบลง “แล้วทายาทรุ่นต่อๆ มาไม่เคยรู้เรื่องของอนุภรรยาท่านคนนี้เลยหรือคะ?”

ไกด์สาวส่ายหน้า “เข้าใจว่าไม่นะถ้าไม่ได้ฟังต่อๆ มาจากปากของคนโบราณสมัยนั้น เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่าท่านเจ้าคุณมีอนุภรรยาคนนี้เลย แถมคนเก่าๆ ในตระกูลนั้นก็พร้อมใจกันไม่พูดถึงด้วย แต่อย่างว่าเรื่องราวทั้งหมดนี่เป็นเรื่องเล่าของเทียดดิฉันซึ่งมีอายุเฉียด ๑๐๐ ปีเข้าไปแล้ว ฉะนั้นความทรงจำอาจจะหลงๆ ลืมๆ ท่านอาจจำผิดๆ ถูกๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นฟังเป็นเรื่องขำขัน คิดเสียว่าเป็นนิยายปรัมปราหรือไม่ก็นิทานก่อนนอนเพื่อเพิ่มสีสันให้กับทริปนี้ละกันค่ะ” จบประโยคด้วยการหันมาส่งยิ้มหวานตบท้าย

“เดี๋ยวค่ะ” รำเพยรีบเรียกเมื่อไกด์สาวทำท่าจะเดินออกจากห้อง

“อนุภรรยาท่านชื่ออะไรคะ?”

“อบเชยค่ะ ส่วนลูกสาวท่านชื่อว่ากานพลู”

ฟังจบรำเพยขนลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ และฉับพลันเธอก็ได้กลิ่นบุหรี่ เธอเหลียวมองรอบกายก่อนเอ่ยปากถามไกด์สาว

“คุณได้กลิ่นอะไรบ้างไหมคะ?”

ไกด์สาวทำจมูกฟุดฟิดราวกับสูดหากลิ่น แล้วตอบว่า “ไม่ได้กลิ่นเลยค่ะ คุณได้กลิ่นอะไรคะ?”

“กลิ่นบุหรี่ค่ะ กลิ่นอ่อนๆ เหมือนมีกลิ่นดอกอะไรสักอย่างแซมอยู่ด้วย” ความจริงตลอดเวลาที่ฟังไกด์สาวเล่า รำเพยได้กลิ่นบุหรี่เป็นระยะๆ แต่ไม่เอ่ยปากทัก กลัวขัดเรื่องที่ไกด์สาวกำลังเล่าแล้วจะพานขาดอรรถรส

ไกด์สาวชะงัก เหลียวมองรอบตัวเลิกลั่ก ขยับชิดลูกทัวร์โดยไม่รู้ตัว “คุณรำเพยอย่าพูดเล่นสิคะ ที่นี่เป็นห้องนอนเก่าของท่าน และท่านยังเฝ้าอยู่ในห้องนี้ด้วย”

“อะไรนะคะ?”

ไกด์สาวยิ้มเจื่อนๆ “ปละเปล่าค่ะ ไม่มีอะไร เรารีบออกไปจากห้องนี้กันเถอะ จะได้ดูห้องอื่นๆ ยังมีอีกหลายห้องที่น่าสนใจค่ะ”



“สวัสดีค่ะคุณพรหมมินทร์ คุณลักษณา” ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมโค้งศีรษะอย่างนอบน้อมในทันทีที่ทายาทรุ่นล่าสุดของตระกูลดาราคุปต์พร้อมด้วยน้องสาวก้าวลงจากรถหรูภายหลังคนรถปรี่มาเปิดประตูให้ เฉิดฉายทักทายพลางจ้องมองร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกครึ่งไทย-เดนมาร์กด้วยแววตาชื่นชม ด้วยว่าหล่อเหลาคมคายอย่างหาตัวจับยากแม้จะมีเชื้อไทยครึ่งหนึ่งแต่รูปร่างและหน้าตาไม่ได้เฉียดไทยเลย แต่กระเดียดไปทางมารดา ๑๐๐% จนดูแทบไม่ออกเลยว่าเลือดครึ่งหนึ่งของชายหนุ่ม คือไทย

“เรียกพอลเถอะครับ ผมแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองมีชื่อไทยชื่อนั้น” พอลตอบด้วยภาษาไทยที่แปร่งเล็กน้อย เนื่องจากไม่ใช่ภาษาแม่ เขาได้ชื่อว่ามีพรสวรรค์ด้านการเรียนรู้ทักษะการใช้ภาษาไทย แค่จ้างครูไทยมาสอนตัวต่อตัวที่บ้านไม่นาน เขาก็พูดและฟังภาษาไทยรู้เรื่องแล้ว ยกเว้นภาษาเขียนและภาษาอ่าน ที่ยังทำได้ไม่ดีนัก

พอล หรือ พรหมมินทร์ เป็นทายาทรุ่นที่ ๖ ของตระกูลดาราคุปต์ วัย ๓๕ จบปริญญาโท ๒ ใบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในอังกฤษ ได้ชื่อว่าสมบูรณ์แบบทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูลและการศึกษา ตลอด ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษและประเทศโซนยุโรปตลอด ด้วยว่าย้ายตามมารดาชาวเดนมาร์กไปอยู่ที่นั่น เอมิเลียรับไม่ได้กับการที่พันตำรวจโททวีสิน ดาราคุปต์ ผู้เป็นสามีมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน เมื่อเขามีภรรยาคนที่ ๒ เธอจึงหอบลูกชายซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง ๒ ขวบและลูกชายอีกคนที่อยู่ในท้องกลับไปอยู่ประเทศบ้านเกิด แม้สามีจะบินตามไปงอนง้ออย่างไร เธอก็ไม่ยอมคืนดี นับแต่นั้นชีวิตคู่ระหว่างบิดาและมารดาซึ่งเป็นภรรยาหลวงก็ปิดฉากลง

พอลคิดว่าตัวเองคงใช้ชีวิตที่เดนมาร์กตลอดกาล ถ้า ๒ ปีก่อนบิดาชาวไทยจะไม่เสียชีวิตลงและมีการเปิดพินัยกรรม เขาและน้องชายได้รับแจ้งจากทนายความประจำตระกูลดาราคุปต์ ให้กลับมาเมืองไทยด่วนเพื่อฟังพินัยกรรมร่วมกับญาติคนอื่นๆ ที่เป็นภรรยาและลูกๆ ต่างมารดาของบิดาซึ่งเขาล้วนไม่รู้จัก ตามเจตจำนงของพันตำรวจโททวีสินที่สั่งเสียไว้ก่อนตาย วันที่มาถึงเมืองไทยเขาถึงได้รู้ว่าบิดามีลูกๆ ที่เกิดจากภรรยาชาวไทย ๓ คน ถึง ๘ คนด้วยกัน รวมเขากับน้องชายด้วยก็เป็น ๑๐ คน พันตำรวจโททวีสิน ยกที่ดินแถวปทุมธานี ตลาดกิม รวมถึงพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมหลังนี้ให้กับเขา ส่วนน้องชาย ได้สิทธิ์ในที่ดินนนทบุรีและโครงการบ้านจัดสรร แถมยังให้สิทธิ์เขากับน้องชายอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางกรุงร่วมกับลูกๆ และภรรยาคนอื่นๆ ในคฤหาสน์ด้วย

การเปิดพินัยกรรมหลังการเสียชีวิตของบิดาในคราวนั้น ทำให้พอลต้องย้ายมาอยู่เมืองไทยชั่วคราวเพื่อจัดการเรื่องมรดก ด้วยว่าเขาปรึกษาเรื่องนี้กับมารดาและน้องชายเรียบร้อยแล้ว ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าไม่มีใครอยากมาอยู่เมืองไทยและไม่ต้องการทรัพย์สมบัติใดๆ ด้วย แต่แม้จะปฏิเสธผ่านทนายความไปแล้ว ทว่าบรรดาภรรยาและลูกๆ ของบิดาก็ยืนยันที่จะให้พวกเขาได้สิทธิ์นั้นตามเจตนารมณ์ของพันตำรวจโททวีสิน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับการไหว้วานจากน้องชายให้อยู่จัดการมรดก โดยทำเรื่องมอบให้ลูกหลานคนอื่นๆ ของบิดาตามที่เห็นสมควร แต่การจะมอบให้ใครถึงจะเหมาะสมนั้น พวกเขายังตัดสินใจไม่ได้ ด้วยว่าน้องๆ ต่างมารดาเหล่านั้นเขาไม่รู้จักสักคน น้องชายจึงแนะนำให้เขาอยู่เมืองไทยสักระยะเพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอของแต่ละคนก่อนจะมอบมรดกให้ ส่วนตัวน้องชายและมารดาอาสาที่จะดูแลกิจการน้ำหอมให้เขาที่เดนมาร์กเอง

ช่วงแรกๆ พอลจึงไปๆ มาๆ ระหว่างเดนมาร์กกับไทย เพื่อดูแลกิจการน้ำหอมของตนเอง แต่ทำไปทำมาเขาชักติดใจประเทศไทยหลังจากอยู่ได้แค่ ๖ เดือนโดยเฉพาะสาวไทย ที่สวยอ่อนหวานและกิริยานุ่มนวลซึ่งต่างจากสาวชาติเดียวกัน สาวตะวันตกหรือสาวยุโรปที่เขาเคยพบเจอและคบหาด้วย จึงไม่ต่างจากอาการเห่อของเล่นชิ้นใหม่ ยอมรับว่าเขาติดใจประเทศเกิดของบิดาเพราะสาวไทย ด้วยเหตุนี้จึงลากยาวอยู่มานานถึง ๒ ปีและระยะหลังเขาอยู่เมืองไทยเป็นหลัก นานๆ ครั้งจะบินกลับเดนมาร์กสักครั้ง อาศัยน้องชายเป็นคนดูแลกิจการที่นั่น ส่วนตัวเองจะสั่งงานผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ อีเมล สไกป์ หรือไลน์แทน

สำหรับบ้านเจ้าสัวกิมซึ่งเป็นบ้านเก่าแก่ที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นนั้น ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลมาแต่ครั้งโบราณกาลว่าจะต้องตกทอดแก่ทายาทคนแรกของแต่ละรุ่นเท่านั้น บ้านเจ้าสัวกิมจึงตกเป็นสิทธิ์ของเขาเมื่อเขาเป็นทายาทคนโตของรุ่นที่ ๖ เขาเลือกที่จะเดินรอยตามทายาทคนก่อนๆ ด้วยการอนุรักษ์บ้านหลังนี้ให้อยู่ในสภาพพิพิธภัณฑ์ดังเดิมบนเนื้อที่เกือบ ๒ ไร่ และทุกๆ เดือนเขาจะมาตรวจเยี่ยมด้วยตัวเองว่ามีปัญหาอะไร การให้บริการแก่นักท่องเที่ยวขาดตกบกพร่องอะไรหรือไม่ เพื่อจะได้หาทางแก้ไข

น่าแปลกที่เขารู้สึกผูกพันกับกลุ่มอาคารชิโน-โปรตุกีสหลังนี้นับแต่ก้าวแรกที่ย่างกรายเข้ามาเมื่อ ๒ ปีก่อน ด้วยว่าให้บรรยากาศราวกับหลุดไปอยู่ในปีพ.ศ.๒,๓๐๐ กว่าๆ ซึ่งเป็นช่วงปีที่ต้นตระกูลนั่งเรือสำเภาย้ายมาอยู่เมืองไทยถาวร เป็นบรรยากาศที่แปลกใหม่สำหรับชาวต่างชาติอย่างเขา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไม้สอย เฟอร์นิเจอร์ จานชาม เครื่องปั้นดินเผา เครื่องสังคโลก สิ่งก่อสร้าง หรืออื่นๆ ที่ยังคงอนุรักษ์ทุกอย่างไว้เหมือนเดิม เป็นส่วนผสมที่สอดผสานอย่างลงตัวและกลมกลืนระหว่างความเป็นจีน ตะวันตกและไทย เขารู้สึกว่ามีมนตร์ขลัง มีเสน่ห์ และน่าสนใจอย่างมาก เขาไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าภาพวาดขาวดำ รวมไปถึงภาพถ่ายขาวดำที่สาวไปถึงต้นตระกูลที่แขวนเรียงรายอยู่บนผนัง รอบหอเกียรติยศในบ้านหลังนี้ จะเป็นคนในสมัยโบราณซึ่งเป็นต้นตระกูลและเคยมีชีวิตอยู่ในสมัยนั้นจริงๆ ด้วยว่าทุกคนล้วนอยู่ในเครื่องแต่งกายและทรงผมที่แปลกตา ไม่คุ้นตา แต่ก็ดูคลาสสิกและน่าหลงใหลอย่างมาก

“คุณพอลอยู่เมืองไทยจะครบ ๒ ปีอยู่แล้ว ยังไม่ชินกับชื่อไทยอีกหรือคะ” เฉิดฉายยอมกลับไปใช้ชื่อฝรั่งตามที่ผู้เป็นนายต้องการ อาศัยว่าทายาทผู้นี้ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนเจ้าขุนมูลนายคนก่อนๆ ตรงกันข้ามสบายๆ เป็นกันเอง ไม่ถือตัว จึงทำให้เฉิดฉายกล้าแหย่ด้วยความรักและเอ็นดู พอลมาอยู่เมืองไทยได้ ๒ ปีแต่เป็นที่รักของลูกจ้างทุกคน ต่างจากทายาทคนก่อนๆ ที่วางตัวเหนือกว่าจนพวกเธอเข้าไม่ถึง

หนุ่มลูกครึ่งหัวเราะ “ไม่เลยครับ ผมชอบชื่อพอลที่คุณแม่ตั้งให้มากกว่า”

“แต่ลักษณ์ว่าพรหมมินทร์ที่คุณพ่อตั้งให้ก็เท่ไม่หยอกนะคะ” ลักษณาเพิ่งมีโอกาสร่วมบทสนทนาด้วย เธอมองญาติหนุ่มลูกครึ่งผู้เป็นเจ้าของวงหน้าหล่อเหลาด้วยแววตาชื่นชมแกมเทิดทูน พอลมีรูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผายดั่งนักกีฬาด้วยว่าออกกำลังกายอยู่เป็นนิตย์และเล่นเพาะกล้ามพองาม จึงเสริมบุคลิกให้ดูดีอย่างมาก

ลักษณาเป็นลูกสาวคนเล็กของภรรยาคนที่ ๒ ของพันตำรวจโททวีสิน เธอเป็นปลื้มกับพี่ชายลูกครึ่งคนนี้ ความจริงเธอนึกเสียดายด้วยซ้ำที่เขาเป็นพี่ชายต่างมารดา ถ้าเกิดมาคนละพ่อคนละแม่ เธอจะไม่รั้งรอเลยที่จะเป็นฝ่ายรุกเขา ยอมรับว่าพอลมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศอย่างมาก ใครเห็นเป็นต้องเหลียวมองซ้ำสอง คิดดูพอลยืนคุยกับผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์บริเวณปากทางเข้าพิพิธภัณฑ์ไม่ถึงนาที แต่มีนักท่องเที่ยวสาวๆ ทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กเหลียวมองมาไม่ต่ำกว่า ๕๐ คน เรียกว่าพอลเป็นเป้าสายตาไม่ต่างจากแม่เหล็กเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงความรู้ความสามารถที่เป็นถึงเจ้าของกิจการน้ำหอมที่ใหญ่ที่สุดในเดนมาร์ก แค่รูปร่างหน้าตาก็กินขาด ทำให้สาวๆ พร้อมจะสยบแทบเท้าแล้ว ลักษณาเชื่อว่าสาวๆ กว่าครึ่งค่อนในประเทศนี้จะคิดเหมือนเธอ คือพร้อมที่จะแลกด้วยอะไรก็แล้วแต่ที่ตัวเองมี ขอแค่ได้มีโอกาสใช้เวลาค่ำคืนกับเขาสองต่อสองสักคืนแค่นั้น

พอลรับรู้ถึงสายตาของน้องสาวที่กำลังจ้องเขม็งมา เขาหลียวมาสบตาด้วย แวววตาอ่อนโยนเมื่อตอบว่า “พี่ว่าออกเสียงยาก เรียกพอลง่ายสุดแล้ว วันนี้มีนักท่องเที่ยวเข้าชมพิพิธภัณฑ์เยอะไหมครับ” ประโยคหลังหันไปถามเฉิดฉาย

นับแต่เขาเดินทางมาอยู่เมืองไทย เขาได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากลักษณา เธอมีอัธยาศัยดี มนุษยสัมพันธ์ดีและช่างพูด แค่สัปดาห์แรกที่เขาย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลังงามร่วมกับลูกๆ หลานๆ ของบิดา ลักษณาก็ตามติดเขาเป็นเงาตามตัว เขาไม่ได้รำคาญหรือเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามรู้สึกเพลิดเพลินไปกับความน่ารักที่ช่างเอาใจ ดูแลเอาใจใส่ คอยชี้แนะและคอยบอกเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับประเทศไทยให้เขารับรู้ ซึ่งทำให้เขาเข้าใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับประเทศไทยที่จำเป็นต้องรู้ได้เร็วขึ้น

เฉิดฉายยิ้มด้วยแววตาอ่อนโยน “เยอะค่ะ มีทัวร์จีนลง ๒ กรุ๊ป แล้วก็มีทัวร์ไหว้พระซึ่งเป็นทัวร์ไทย รวมๆ แล้วก็เกือบ ๒๐๐ คนไปแล้วค่ะในเช้าวันนี้”

พอลพยักหน้าอย่างพอใจ “เยอะมากครับ”

“ใช่ค่ะ วันนี้เยอะเป็นพิเศษจริงๆ คงเพราะเป็นวันหยุด นักท่องเที่ยวเลยเยอะ”

พอลพยักหน้า กล่าวต่อว่า “แล้วมีปัญหา หรืออะไรชำรุดต้องซ่อมบ้างไหมครับ”

“ไม่มีค่ะ เพราะเราจัดเจ้าหน้าที่ตามประกบตลอด โดยเฉพาะทัวร์จีน มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเรื่องความสะอาดอยู่ห่างๆ แต่ปัญหาน่าหนักใจสุดคือนักท่องเที่ยวแย่งกันใช้ห้องน้ำ และห้องน้ำสกปรกเร็ว พนักงานทำความสะอาดไม่ทัน”

“งั้นคุณเฉิดฉายลองไปดูว่าจะสร้างห้องน้ำเพิ่มเติมยังไงได้บ้าง ดูเหมือนเรายังมีพื้นที่เหลือสำหรับการสร้างอาคารเพิ่มได้ใช่ไหมครับ?” กล่าวพลางออกเดินนำเข้าไปในพิพิธภัณฑ์โดยมีเฉิดฉายและลักษณาเดินตาม

“ใช่ค่ะ มีพื้นที่ริมแม่น้ำเหลือเฟือ แต่ถ้าจะมาสร้างห้องน้ำ จะไม่เสียทัศนียภาพทางสายตาหรือคะ เพราะทัวร์ไหว้พระขึ้นลงทางน้ำอยู่ตลอดเวลา อาจไม่น่าดูและส่งกลิ่นรบกวน”

“ลองให้สถาปนิกออกแบบศูนย์จำหน่ายของที่ระลึกเป็นอาคารชิโน-โปรตุกีสให้กลมกลืนไปกับเรือนใหญ่ไหมครับ ห้องน้ำอาจให้ฝังอยู่ในอาคารลึกหน่อย แถมยังสามารถขายอาหาร ของที่ระลึกและโปสการ์ดเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ นำเงินมาหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายดูแลพิพิธภัณฑ์ได้ด้วย ส่วนเรื่องการดูแลความสะอาดและเรื่องกลิ่น ไม่น่ามีปัญหาถ้าเราเพิ่มพนักงานดูแลความสะอาด ยังไงลองเสนอค่าใช้จ่ายมาดูครับ ขาดเหลือยังไง ผมเซ็นเช็คส่วนตัวให้”

โดยปกติจะมีเงินสำหรับการดูแลพิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะ มาจากค่าบัตรเข้าชมและเงินบริจาคจากนักท่องเที่ยวตามจิตศรัทธา แต่ที่ผ่านมาขาดเหลืออย่างไร พอลมักสมทบเงินส่วนตัวมาช่วยโดยตลอด เฉิดฉายมองด้วยสายตาชื่นชมเป็นเท่าตัว หนุ่มลูกครึ่งผู้นี้มักมีมุมมองที่แปลกใหม่ น่าเลื่อมใส เขาต่างจากทายาทรุ่นก่อนที่เก็บเงินจากค่าบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เข้ากระเป๋าตัวเองครึ่งหนึ่ง แต่พอมาถึงสมัยพอล นอกจากไม่นำค่าบัตรเข้ากระเป๋าตัวเองแม้แต่สตางค์แดงเดียวแล้ว ยังบริจาคเงินส่วนตัวมาดูแลบำรุงรักษาพิพิธภัณฑ์ด้วย นอกจากนี้เขาริเริ่มแนวคิดจัดนิทรรศการหมุนเวียนตามแต่โอกาสที่เหมาะสม และออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวพาลูกจ้างของพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดไปศึกษาดูงานต่างประเทศเพื่อเรียนรู้ว่าพิพิธภัณฑ์ระดับโลกบริหารจัดการอย่างไรถึงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาเข้าชมเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี รวมตลอดถึงเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการและการอนุรักษ์สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในพิธิภัณฑ์ให้คงสภาพเดิมไว้ได้ยาวนานที่สุด

“ได้ค่ะ ดิฉันว่าน่าสนใจ เดี๋ยวถ้าได้แบบเรียบร้อยแล้ว จะส่งให้คุณพอลทางอีเมลนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

น้องสาวต่างมารดาเงยหน้ามอง ด้วยว่าผู้เป็นพี่ชายสูงกว่ามาก “พี่พอลมาพิพิธภัณฑ์บ๊อยบ่อย ไม่เบื่อบ้างหรือคะ” ทุกครั้งที่พอลมา มีเธอตามติดมาด้วยทุกครั้ง จึงรู้ว่าเขาพิศมัยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มากแค่ไหน

“ไม่เลย พี่ชอบบรรยากาศโบราณๆ อย่างที่นี่ พี่ว่าต้นตระกูลเราเก่ง คิดดูร้อยกว่าปีก่อนที่เวชภัณฑ์ยังไม่ก้าวหน้า แต่คนในตระกูลดาราคุปต์สามารถคิดยาและเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ขึ้นมาใช้ภายในครัวเรือนเองได้”

ลักษณาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พี่ชายต่างมารดาพูดถึงขี้ผึ้งวิเศษดาราคุปต์ที่ทำมาจากสมุนไพรที่ปลูกไว้กินและใช้กันเองภายในครัวเรือนและกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านของผู้คนในยุคนั้น สมัยนั้นท่านอุ่นเรือน ภรรยาของเจ้าพระยาพิภพเดโช ซึ่งถือเป็นแม่ของเทียดของเธอ ทำขึ้นเองเพื่อใช้ทาเวลาโดนแมลงกัดต่อย ผลปรากฏว่าหายชะงัดนัก ท่านอุ่นเรือนแบ่งให้คนข้างบ้านใช้ มีการบอกปากต่อปากถึงสรรพคุณที่รักษาแมลงสัตว์กัดต่อยได้ดี จนชาวบ้านร้องขอให้ท่านทำขาย กลายเป็นกิจการในครัวเรือน และวางขายตามร้านขายยาจีนโบราณ จวบจนเวชภัณฑ์เจริญรุดหน้า ยาสมุนไพรโบราณก็ค่อยๆ เลือนหายไป ตอนนี้แทบไม่มีคนที่รู้จักขี้ผึ้งวิเศษดาราคุปต์แล้วถ้าไม่ใช่คนโบราณในยุคนั้น

แล้วลักษณา ก็อดนึกย้อนไปถึงต้นตระกูลไม่ได้ ตามประวัติที่เล่าต่อๆ กันมา ต้นตระกูลคนแรกที่อพยพมาจากประเทศจีน มาตั้งรกรากในไทยคือเจ้าสัวกิม แซ่หลี ยึดอาชีพทำมาค้าขาย เมื่อกิจการค้าขายดี ก็ขยับขยายมาทำโรงสีและขายข้าว พอมีฐานะมั่งคั่งขึ้น ก็สร้างอาคารสไตล์ชิโน-โปรตุกีสริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่อยู่อาศัย นัยว่าเจ้าสัวกิมมีเพื่อนที่เป็นนายช่างออกแบบอาคารชิโน-โปรตุกีสให้กับเจ้าสัวที่ภูเก็ต เจ้าสัวกิมนำแบบมาดัดแปลง โดยออกแบบให้เป็นอาคารสองหลังที่เชื่อมต่อกัน ต่อมาเมื่อมีลูกๆ หลานๆ มากขึ้นเจ้าสัวกิมก็ขยายต่อเติมบ้านออกไปเรื่อยๆ และรุ่นต่อๆ มาก็ขยายอาณาเขตออกไปอีกจนกลายมาเป็นกลุ่มอาคารหลังใหญ่ที่หันหน้าเข้าหากันโดยมีลานกว้างอยู่ตรงกลางบนพื้นที่เกือบ ๒ ไร่ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อมาถึงสมัยของม.อ.ต.เจ้าพระยาพิภพเดโช ผู้เป็นพ่อของเทียดของเธอ ว่ากันว่าในสมัยที่พ่อของเทียดยังเป็นแค่หลวงพิภพเดโช สังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นกระทรวงการคลังในปัจจุบันนั้น รัชกาลที่ ๖ ก็ได้พระราชทานนามสกุลให้ว่า “ดาราคุปต์”

เมื่อเดินผ่านอาคารหลังแรกแล้ว เฉิดฉายก็เอ่ยชวนขึ้น “ลองไปดูสถานที่ริมน้ำดูไหมคะ เผื่อว่าคุณพอลอยากให้สร้างบริเวณไหน”

“ได้ครับ” พอลเดินตาม ออกไปทางอาคารด้านหลังซึ่งเชื่อมไปยังท่าน้ำ

เสี้ยววินาทีที่หลุดจากประตูหลังพิพิธภัณฑ์ พอลก็ชะงัก หยุดยืนแข็งทื่อ พลอยทำให้ลักษณาที่เดินเคียงข้างชะงักตาม เธอขมวดคิ้ว ถามขึ้นอย่างสงสัย

“พี่พอลหยุดทำไมคะ?”

“เห็นผู้หญิงคนนั้นไหม” พอลกลับถามไปอีกเรื่อง

ลักษณามองตามปลายนิ้วเรียวราวกับของอิสตรี ตรงไปยังท่าเรือที่มีนักท่องเที่ยวชาวไทยสัญจรไปมา บางคนกำลังออกจากพิพิธภัณฑ์ ตรงไปยังโป๊ะเพื่อลงเรือ บางคนออกจากโป๊ะ เดินลอดรั้วลวดลายจีนเพื่อเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ รั้วทำเป็นประตูเล็กๆ ทำให้ยังเห็นวิวแม่น้ำเจ้ายาแบบพาโนราม่า

“คนไหนคะ นักท่องเที่ยวมากมาย ลักษณ์ไม่รู้ว่าพี่หมายถึงคนไหน”

“คนที่กำลังดูกล้องถ่ายรูปอยู่ที่โป๊ะไง”

“อ๋อ...ค่ะ มีอะไรหรือคะ?” ลากเสียงถาม พลางปรายตามองตาม หญิงสาวที่พี่ชายพูดถึง น่าจะเป็นนักศึกษา ด้วยว่าแลดูเยาว์วัย เธออยู่ในชุดทะมัดทะแมงคือเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ เสริมให้รูปร่างบอบบางชวนมองมากยิ่งขึ้น อาจเพราะสูงจัดและขาเรียวยาว เมื่อสวมยีนส์ จึงเห็นช่วงขาที่เรียวยาวชัดเจนยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุด คือใบหน้าเรียวรูปไข่ ที่สะสวยราวกับสาวไทยยุคโบราณซึ่งเธอรู้ว่าเป็นสไตล์ที่พี่ชายชื่นชอบอย่างยิ่ง

“คนนี้เราเคยเจอเมื่อเดือนก่อนตอนที่ลักษณ์ไปดูหมอดูยิปซีจำได้ไหม?”

“งานวัดที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นน่ะหรือคะ” เมื่อเห็นพี่ชายพยักหน้า เธอก็ถามต่อว่า “แล้วยังไงต่อคะ?”

พอลเท้าความต่อว่า “ลักษณ์ยุให้พี่ดูหมอ พี่เลยยื่นมือไปให้หมอดูขำๆ แล้วหมอดูก็ทักขึ้นว่า พี่จะได้เจอเนื้อคู่เร็วๆ นี้”

“จำได้ค่ะ แล้วยังไงต่อคะ?” ลักษณายังคงถามอย่างไม่เข้าใจ

พอลทบทวนความจำของตัวเองไปพลาง “แล้วพี่ก็พบว่าตัวเองลืมแว่นกันแดดไว้ที่กระโจมหมอดู เราย้อนกลับไปที่นั่น แล้วหมอดูก็บอกว่า เนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง เพิ่งจะเดินออกไปจากกระโจม”

“ค่ะ ลักษณ์จำได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง จะเป็นเด็กคนนั้นนี่คะ อย่าลืมว่าเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง หมายถึงคนไหน เพราะเราเห็นแค่หลังของเธอ” ลักษณาจำได้ว่ามีหญิงสาว ๒ คนออกจากกระโจมพอดีในจังหวะที่เธอไปถึง แต่เธอก็ไม่มีโอกาสเห็นหน้า ได้แค่เห็นแผ่นหลัง เพราะทั้งคู่เดินจากไปไกลแล้ว จำได้แค่ว่าคนหนึ่งสวมกระโปรง อีกคนสวมกางเกง

พอลส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เพราะวันนั้นเขามีโอกาสเห็นหน้าเธอ แล้วภาพในวันนั้นก็ย้อนมาสู่ความทรงจำอีกครา

‘ผมลืมแว่นตากันแดด ขอโทษครับ’

‘กำลังรออยู่... จะบอกว่าเนื้อคู่ของพ่อหนุ่มเพิ่งจะเดินออกไป’

‘อะไรนะครับ’ ยามนั้นพอลงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเดิมเขาไม่เชื่อเรื่องหมอดูอยู่แล้ว เห็นเป็นเรื่องขำๆ มากกว่า

‘ชอบสาวสวยหน้าตาไทยๆ ไม่ใช่หรือ เธอเพิ่งจะเดินออกไปตะกี้’

แค่ได้ยินสรรพคุณว่าสวย หน้าตาไทยๆ...
พอลก็ไม่อยู่รอฟังจนจบประโยค เขากระโจนออกจากกระโจมอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เห็นว่าทั้งคู่เดินไปไกลแล้ว เขารีบวิ่งแทรกผู้คนเพื่อตามเธอไปให้ทัน จังหวะที่คิดว่าคงจะคลาดกับพวกเธอเสียแล้ว เขาก็ตะโกนออกไปสุดเสียง

‘ช่วยด้วยๆ ไฟไหม้’

ได้ผล...ทุกคนหันมามอง รวมถึงสองสาวนั้นด้วย แค่แวบเดียวที่สบตากันก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเบือนหน้ากลับไป หลังจากพบว่าเป็นแค่เรื่องปาหี่ ไม่ใช่เรื่องจริง เขาก็ได้เห็นแล้วว่าหนึ่งในสองสาวนั้น สวยดั่งที่หมอดูว่าจริงๆ...



“ช่วยด้วยๆ คนตกน้ำ”

พอลตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นที่โป๊ะ

“เกิดอะไรขึ้น” ปากถาม พลางถลาออกไปที่ท่าเรือ

ลักษณาและเฉิดฉายวิ่งตาม ลักษณาเป็นฝ่ายให้คำตอบว่า “เด็กสาวที่พี่พอลชี้ให้ดูตกน้ำค่ะ มีใครบางคนเบียดกระแทกเธอ ทำให้สะดุดเชือกเลยตกลงไปในน้ำ”

พอลไม่ได้ฟังจนจบประโยค เขาสลัดรองเท้ากระโจนลงไปในแม่น้ำเรียบร้อยแล้ว แค่ได้ยินว่าคนที่ตกน้ำคือเธอ ใจเขาก็หล่นไปอยู่ตาตุ่ม ภาวนาให้เธอรอดปลอดภัยและเขาหาเธอเจอ

“กรี๊ด...ด” ลักษณาส่งเสียงกรี๊ดยาวเมื่อเห็นพอลกระโจนลงไปในน้ำ ขณะที่คนอื่นๆ บนโป๊ะยังคงหันรีหันขวาง สีหน้าตื่นตระหนกอย่างทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงตะโกนหวีดร้อง ขณะที่ผู้ชายเอาแต่เกาะเชือกโดยไม่มีใครคิดจะกระโดดลงไปช่วย ลักษณาใจหาย รีบหันไปทางเฉิดฉาย สีหน้าตกใจ ขณะละล่ำละลั่กบอกว่า

“คุณเฉิดฉายช่วยไปตามใครที่ว่ายน้ำเก่งๆ ลงไปช่วยพี่พอลหน่อยค่ะ พี่พอลหายไปเลย ลักษณ์มองไม่เห็นเขา”

--------------------------------

บทที่ 1


“คุณเป็นยังไงบ้าง ขอบคุณพระเจ้าที่คุณปลอดภัย”

ถามเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ ในจังหวะไล่ๆ กับที่รำเพยพรวดตัวขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ โดยมีลำแขนแข็งแกร่งล็อกคอทางด้านหลังแน่นหนา เธอไอแค่กๆ เพราะสำลักน้ำไปหลายอึก ยามนั้นยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทำไมถึงตกลงมาในน้ำได้ อย่างเดียวที่นึกออกคือ เธอกำลังยืนดูรูปถ่ายในกล้องถ่ายรูป เนื่องจากเห็นเงาลางๆ ปรากฏอยู่หน้าห้องนอนของท่านอุ่นเรือน พยายามเขม่นตามองว่าคือเงาอะไร จังหวะนั้นจู่ๆ ก็มีใครบางคนซึ่งเธอไม่ทันสังเกต กระแทกเข้าที่กลางหลังจนเซถลา นอกจากคว้าอะไรไม่ทันแล้ว เธอยังสะดุดเชือก มีผลให้ร่วงตกลงไปในน้ำอย่างไม่เป็นท่า

“ไม่...ปล่อยดิฉันนะ” เธอแหวเสียงสั่น พยายามสะบัดตัวหนีจากวงแขนหนาในทันทีที่ได้สติกลับคืน

กล้องถ่ายรูปกระเด็นหลุดจากมือในจังหวะที่เธอถูกชนตกลงไปในน้ำ รำเพยนึกด้วยความรู้สึกเสียดาย เข้าใจว่าตอนนี้มันคงดิ่งลงไปสู่ก้นบึ้งของแม่น้ำเจ้าพระยาและอาจกำลังนอนสงบแน่นิ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งในเบื้องล่างนั่น จำได้ว่าตอนที่เธอตกลงไปชนิดที่เรียกว่าทิ้งตัวอย่างหมดท่านั้น เธอพยายามตะเกียกตะกายและตั้งสติเพื่อลอยตัวขึ้นไปอยู่เหนือน้ำ แต่ราวกับมีอะไรบางอย่างรัดรึงเธอไว้ ค่อยๆ ลากเธอลงสู่เบื้องล่าง และในจังหวะที่คิดว่ากำลังจะขาดใจตายเพราะขาดอากาศหายใจนั่นเอง จู่ๆ ก็มีวงแขนแข็งแกร่งลากเธอขึ้นมา

“อยู่นิ่งๆ สิ ถ้าไม่อยากจมอีก ผมจะพาคุณไปที่ตื้น” เสียงเข้มดุเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ อีก

“ดิฉันว่ายน้ำเป็น ปล่อยสิ” เธอพยายามดิ้นรนผลักไส พลางตะโกนแข่งกับเสียงไอแค่กๆ ถึงตอนนี้ไม่มีแรงสะบัดตัวหนี จึงทำได้แต่ตีแขนขาเพื่อพยุงตัวให้ลอยเหนือน้ำ ชะรอยอีกฝ่ายคงเห็นว่าเธอช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว จึงยอมปล่อยเป็นอิสระ

“เบาๆ หน่อย เสียงดังไป เดี๋ยวหลวงพิภพฯ ก็ได้ยินดอก”

รำเพยชะงักเมื่อสมองเริ่มซึมซับถึงคำพูดแปร่งๆ มีนัยแปลกๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ายนั้นพุ่งตัวมาลอยตัวเหนือน้ำอยู่ตรงหน้า ขมวดคิ้วมุ่นอีกคราเมื่อคลับคล้ายว่าเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน แล้วฉับพลันก็ถึงบางอ้อ เขาเป็นฝรั่งที่เธอเคยเจอที่งานวัดที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดจำลองขึ้นเมื่อเดือนก่อน ตอนนั้นเธอเดินออกมาจากกระโจมหมอดูออกมาไกลมากแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนว่าไฟไหม้ เธอกับพิมพาเหลียวหลังไปมอง แล้วต้องชะงักเมื่อพบว่าเป็นแค่โจ๊กตลกๆ ของฝรั่งขี้นก เขาดูมีสติสตังดี แต่กลับกุเรื่องได้อย่างน่ารังเกียจ

“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร หลวงพิภพฯ อะไรของคุณ?” กระชากเสียงถามด้วยสีหน้าตำหนิ

“ก็หลวงพิภพฯ ท่านเป็นคนสั่งให้แป้นผลักคุณตกน้ำ”

รำเพยทำหน้างงงวย “ใครคือหลวงพิภพฯ ใครคือแป้น แล้วจะทำแบบนั้นไปทำไม?”

ฝ่ายนั้นจ้องเธอกลับมาราวกับเห็นเขางอกออกจากหัว “คุณตกน้ำจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ หลวงพิภพฯ คือคุณพ่อของคุณไง ส่วนแป้นคือบ่าวคนสนิทของคุณอุ่นเรือน”

ยิ่งฝรั่งตาโตสีบลูโทพาส(3)ขยายความ ก็ยิ่งพาให้เธอมึนงงหนักขึ้น “คุณกำลังพูดเรื่องอะไร ดิฉันงงไปหมดแล้ว”

“กานจะบอกว่าตกน้ำไป สติเลยฟั่นเฟือนอย่างนั้นรึ?”

“กาน? คุณหมายถึงใคร?”

“ก็คุณไงมิสกานพลู คุณดูแปลกๆ ไป จริงสิผมเพิ่งสังเกตว่าคุณแต่งตัว ทำผมแปลกๆ ไป คุณเอาชุดแปลกๆ พวกนี้มานุ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเอามาจากไหน?”

คราวนี้รำเพยพินิจเขาอย่างละเอียดลออขึ้น แล้วเธอก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาสวมเสื้อกระบอกคอกลม แขนยาวเกือบจดข้อศอก เสื้อชุ่มน้ำ แนบไปกับแผงอกกว้างจนเห็นกล้ามอกเป็นมัดๆ ผมเปียกน้ำลู่ไปกับศีรษะทุย เห็นวงหน้าหล่อเหลาเด่นชัดโดยเฉพาะนัยน์ตาสีฟ้า จมูกโด่งตรงและริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับ มีรอยหยักบนกลีบปากล่าง ยิ่งทำให้เรียวปากคู่นั้นดูนุ่มและ... รำเพยชะงักความคิดแค่นั้น หน้าแดงระเรื่อเมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ด้วยเหตุที่เอาแต่สำรวจเขาไม่วางตา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งจึงพบว่าเขาหรี่ตามองมาอยู่แล้ว

รำเพยดึงสติกลับมา “คุณต่างหากที่ดูแปลกๆ แล้วดิฉันก็ไม่ใช่กานพลูด้วย”

“คุณกำลังเล่นตลกอะไร ก็เห็นอยู่ว่าคุณคือกานพลู”

“คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่คุยด้วยแล้ว ดิฉันหนาวแล้วก็เพลียด้วย ขอตัวค่ะ ขอบคุณที่ช่วยชีวิต”

รำเพยลาแล้วเตรียมพลิกตัวจะว่ายเข้าหาโป๊ะ แล้วจังหวะนั้นเธอก็ชะงัก ตัวแข็งทื่อ ลืมตีแขนขาพยุงตัวไปเสี้ยววินาทีเมื่อพบว่าโป๊ะและเรือยนต์หายไป กลายเป็นตีนท่าและมีเรือเก๋งอยู่ลำหนึ่งเข้ามาแทนที่ ไร้ซึ่งประตูเล็กๆ ที่นำไปสู่พิพิธภัณฑ์ เธอตีแขนขาพยุงตัว เหลียวมองรอบตัวแล้วพบว่าตนเองกำลังเคว้งคว้างอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา รอบตัวปราศจากสิ่งที่คุ้นเคย และเหนือจากตีนท่าเป็นอาคารชิโน-โปรตุกีสที่เห็นอยู่ไม่ไกลนัก หลังไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับหลังที่เธอเพิ่งเดินจากมาเมื่อครู่

รำเพยเริ่มเอะใจแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น สภาพรอบข้างที่เธอเห็น ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เรือเก๋งยกเลิกใช้ไปนานแล้วไม่ใช่หรือ เธอสะบัดศีรษะเพราะอาจกำลังฝัน แต่สภาพรอบข้างก็ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

“คุณโอเคมั้ย?” ฝ่ายนั้นถามกลับมาด้วยสีหน้าห่วงใย

รำเพยครางเสียงเบาหวิวแทนคำตอบ ตวัดสายตากลับมามองเขาด้วยนัยน์ตาที่เบิกโตเท่าไข่ห่าน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากกระซิบ สีหน้าซีดเผือด นัยน์ตาเบิกโต

“ดิฉันไม่อยากเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ”

“คุณหมายความว่ากระไร?”

รำเพยไม่ตอบ แต่ถามไปอีกเรื่อง “นี่ปีพ.ศ.อะไรคะ?”

“ร.ศ.(4)๑๑๐  ทำไมหรือครับ?”

ร.ศ. ๑๑๐ หรืออีกนัยหนึ่ง พ.ศ.๒๔๓๔ รำเพยบวกลบตัวเลขอยู่ในใจแล้วครางอึ้งอึง คุณพระช่วย...เธอย้อนเวลากลับมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังไม่อยากเชื่อตัวเองว่าผลจากการตกน้ำ ทำให้ย้อนเวลากลับมาในอดีต คิดว่ามีแค่ในนวนิยาย ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ

“ทำไมคุณทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกแบบนั้น?” ฝ่ายนั้นถามกลับมาอย่างประหลาดใจ

แต่รำเพยเหมือนไม่ได้ยิน เธอหลับตาพริ้มด้วยว่าเป็นลมหมดสติไปแล้ว...



อองเดรวางร่างบอบบางบนเรือเก๋งสี่แจว(5)ที่จอดแอบอยู่ข้างตีนท่าน้ำ แล้วผละถอยห่างออกมาเล็กน้อยอย่างทำอะไรไม่ถูก เพิ่งตระหนักว่าหญิงสาวที่กำลังนอนเป็นลมหมดสติอยู่เบื้องหน้าไม่ใช่กานพลู ก็เมื่อเห็นเครื่องแต่งกายและทรงผมชัดๆ ซึ่งแปลกตาไปจากหญิงสาวทุกคนในบางกอก ถึงหน้าตาจะเหมือนกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกันก็ตาม ด้วยว่าสาวบางกอกทั่วๆ ไปจะนุ่งโจงกระเบนและห่มผ้าแถบ(6) แต่หญิงสาวรายนี้แต่งกายเหมือนผู้คนในโลกตะวันตกที่เขาจากมา เป็นเสื้อมีปก ผ่าหน้า ติดกระดุมตลอดแนว และกางเกงเนื้อหนา อวดรูปร่างของเจ้าตัวที่มีหุ่นเพรียวลมและกลมกลึงสมส่วน เช่นเดียวกับทรงผม หญิงสาวรายอื่นๆ จะตัดผมสั้นเป็นทรงดอกกระทุ่ม(7)หวีแสกหรือเสย แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับไว้ผมยาว อองเดรนึกแล้วสำรวจใบหน้าเรียวรูปไข่ที่บัดนี้ผมยาวสลวยแนบไปกับศีรษะ เห็นเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มเด่นชัด ไล่ตั้งแต่หน้าผากมน จมูกโด่งปลายรั้น ริมฝีปากบางแต่อิ่มได้รูปกระจับ เธอสวยยิ่งกว่าสาวงามคนใดที่เขาเคยเจอ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้าน ดูประหนึ่งฝาแฝดของกานพลูก็ไม่ปาน

อองเดรเป็นกัปตันเรือชาวเดนมาร์ก เชื้อสายฝรั่งเศส สืบเชื้อสายมาจากพระคาร์ดินัล(8)ซึ่งเป็นอัครเสนาบดีและที่ปรึกษาของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๓ แห่งฝรั่งเศส อพยพมาอยู่ในเดนมาร์กซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรสงครามของฝรั่งเศส เนื่องจากทางการฝรั่งเศสต้องการให้ทหารและชาวบ้านมาครอบครองที่ดินของเดนมาร์ก เมื่อเขาโต ก็สมัครเป็นนายเรือกับเรือสินค้า มีโอกาสเดินทางล่องเรือ มาเห็นสยามเมืองเอกราชท่ามกลางอาณานิคมของชาติตะวันตกครั้งหนึ่ง จึงเกิดความรู้สึกแรงกล้าอยากมาอยู่บางกอก ประกอบกับช่วงนั้นสงครามระหว่างเดนมาร์กกับรัสเซียยืดเยื้อมานานและจบลงด้วยการที่เดนมาร์กแพ้สงคราม เสียดินแดนให้กับสมาพันธรัฐเยอรมัน ปัญหาการเมืองภายในวุ่นวาย ความขัดแย้งไม่รู้จบ ทหารส่วนหนึ่งเปลี่ยนอาชีพ และบางคนเลือกที่จะอพยพไปแสวงหาอนาคตใหม่ๆ ดั่งเช่นเขา ฉะนั้นเมื่อกลับสู่มาตุภูมิแล้วสอบได้ประกาศนียบัตรนายเรือ ยศนายทหารกองหนุนของกองทัพเรือเดนมาร์กในระดับนายเรือโท ด้วยอายุ ๒๒ ปี เขาจึงเข้าหาผู้ใหญ่หลายครั้งจนมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ ที่พระราชวังกรุงโคเปนเฮเกน เพื่อขอพระราชทานหนังสือแนะนำตัวมาถวายพระเจ้าแผ่นดินของสยาม หลังจากนั้นเขาก็ล่องเรือมายังสยาม ผ่านลอนดอน สิงคโปร์เข้าสู่บางกอก และกงสุลเดนมาร์กเป็นผู้นำเขาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อกงสุลใหญ่เดนมาร์กประจำสยามมาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินของสยาม โดยอัญเชิญพระราชสาส์นของพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ มาถวายด้วย โดยฝากฝังเขาพร้อมด้วยเอกสารรับรองการเป็นนายทหารและกัปตันเรือของเดนมาร์ก มายืนยันความรู้ความสามารถ ทำให้พระเจ้าแผ่นดินของสยามทรงยินดีที่จะรับเขาไว้ โดยทรงมอบให้เขาเป็นผู้บังคับกองเรือ พิทยัมรณยุทธ (Regent) ที่ภูเก็ต

งานหลักของเขาคือทำแผนที่ชายฝั่งทะเลสยามด้านตะวันตกซึ่งสยามมีเขตแดนติดต่อกับเมืองขึ้นของอังกฤษ ครั้งหนึ่งขณะกำลังสำรวจเพื่อทำแผนที่ในอาณาบริเวณปริมณฑลของภูเก็ต ได้เจอหินโสโครกในทะเลระนองซึ่งเป็นกองหินปริ่มน้ำ เมื่อน้ำขึ้นจะมองไม่เห็น จะโผล่ยอดเมื่อน้ำลง ส่งผลให้เรือชนอับปางมานักต่อนักแล้วเนื่องจากมองไม่เห็น เขากำหนดจุดลงบนแผนที่เพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุและตั้งชื่อกองหินตามชื่อของเขา ภารกิจของเขายังเข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง โดยระหว่างที่เรือรบลอยกลางทะเลนั้น ข้าหลวงเมืองภูเก็ตซึ่งมีหน้าที่ไปรับเงินภาษีที่เก็บจากหัวเมืองมาส่งที่บางกอก เผชิญเหตุการณ์จีนกุลีทำเหมืองจะตีกัน เขาและทหารเรือขึ้นฝั่งมาช่วยปราบ ทำให้คนจีนเหล่านั้นอยู่ในความสงบได้ ทางข้าหลวงเมืองภูเก็ตทำบันทึกรายงานพระเจ้าแผ่นดิน ทำให้เขาได้รับความดีความชอบมากมาย


******************


(1) ม.อ.ต. : ยศ "มหาอำมาตย์ตรี" เริ่มมีการใช้ยศในรัชกาลที่ ๕ และบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยในราวปีพ.ศ. ๒๔๓๐ ต่อมาทรงกำหนดข้าราชการพลเรือนโดยเทียบกับยศทหารเป็นชั้นที่ ๑ เอก โท ตรี เทียบ นายพลเอก โท ตรี, ชั้นที่ ๒ เอก โท ตรี เทียบ นายพันเอก โท ตรี, ชั้นที่ ๓ เอก โท ตรี เทียบ นายร้อยเอก โท ตรี ในรัชกาลที่ ๖ ทรงเปลี่ยนชื่อยศข้าราชการพลเรือน เป็นดังนี้ ชั้นที่ ๑ เอก โท ตรี เป็น มหาอำมาตย์เอก(ม.อ.อ.) มหาอำมาตย์โท(ม.อ.ท.) มหาอำมาตย์ตรี(ม.อ.ต.), ชั้นที่ ๒ เอก โท ตรี เป็น อำมาตย์เอก(อ.อ.) อำมาตย์โท(อ.ท.) อำมาตย์ตรี(อ.ต.),ชั้นที่ ๓ เอก โท ตรี เป็น รองอำมาตย์เอก(ร.อ.อ.) รองอำมาตย์โท(ร.อ.ท.) รองอำมาตย์ตรี(ร.อ.ต.) และทรงเพิ่มยศ “มหาอำมาตย์นายก” เทียบเท่า จอมพล

(2) เทียด : พ่อหรือแม่ของทวด

(3) บลูโทพาส (Blue topaz) : อัญมณีสีฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของความมีอำนาจและเฉลียวฉลาด

(4) ร.ศ. : รัตนโกสินทร์ศก เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นปีแรก

(5) เรือเก๋งสี่แจว : เรือที่มีเครื่องบังแดดบังฝน มีฝา หลังคาแบนทำด้วยไม้ มี ๔ คนแจว

(6) ผ้าแถบ : ผ้าผืนยาว ๆ แคบ ๆ ใช้ห่มคาดหน้าอกต่างเสื้อ

(7) ทรงดอกทุ่ม : ผมที่ตัดสั้นทั้งศีรษะในระดับที่ชี้ขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายดอกกระทุ่ม เมื่อยาวในระดับพอดี ก็หวีเสยหรือหวีแสกกลาง

(8) คาร์ดินัล : สมณศักดิ์ชั้นสูง รองจากพระสันตะปาปา ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพระสันตะปาปา ในการปกครองคริสตจักรโรมันคาทอลิก







Create Date : 21 กันยายน 2558
Last Update : 21 กันยายน 2558 23:54:33 น.
Counter : 1233 Pageviews.

10 comments
  
รายชื่อผู้เล่มเกมชิง "ใต้ปีกรัก" ตกหล่นใครท้วงติงได้เลยค่ะ

พรหมภพ - Aoh Ao, Tudtu Sujaree, ธุวดารา ลัลล์ลลิล , Poon Umaporn, Nina Podi, Amphorn Eiw Phonchan, Anne Gorn, กัลยารัตน์ ปิยะพันธ์, Lovereason Noon, Cartoon Pitikarn, Sureerat Kiatniran, A-rin Jantamas, Chanida Pat, Vna Pon,โรตี กับ กะปิ, Niramon Wattakeevisit, Taan Rutchaporn Kritayakirana,goldensun, Ckakanat Kakanat, ประกายเพชร จันทะเลิศ ,พี่สุ...จ้า, alanta

เล่ห์พิภพ- Aeiko Sirirat, Wilaiwan Saktimongkhon , Tarinee Suwanpitak, susi, ป้าสุขใจ สุดๆ

ทัณฑ์พิภพ - Sirirat Saekim , B'Bum Thumjarean, Ying Rattana, Rojana Dangphuen, รพีพร คณิตจินดา



ป.ล.คุณ susi และพี่สุ...จ้า ได้รับหนังสือเรื่องใต้ปีกรักค่ะ จากการที่ทายถูกว่าใครเป็นอิมเมจพระเอกเรื่องใต้ปีกรัก


โดย: คณิตยา วันที่: 21 กันยายน 2558 เวลา:22:36:21 น.
  
อยากจะกรีดร้องด้วยความดีใจค่ะ รอคุณอุ๋ยมาลงตอนที่ 1 อย่างใจจดใจจ่อมาหลายวันแล้วค่ะ และตอนนี้ก็คงต้องรออย่างใจจดใจจ่อสำหรับตอนต่อไป เรื่องใหม่น่าติดตามมากเลยค่ะ
โดย: pantan IP: 171.96.176.136 วันที่: 21 กันยายน 2558 เวลา:23:27:17 น.
  
ขอบคุณคุณเอ๋มากค่ะะๆๆๆๆๆๆๆๆๆฟังแล้วชื่นใจ ^________________^

ใช้เวลานานกับการค้นข้อมูลนี่แหละค่ะ แหะๆ เรื่องนี้อาจจะไปได้ช้ากว่าเรื่องอื่นหน่อย เนื่องจากต้องเช็กข้อมูลเป็นระยะๆ ประกอบกัน

ขอบคุณคุณเอ๋ค่ะ ^__^ ดีใจที่เห็นว่าเรือ่งนี้น่าติดตามค่าาาาาา ^_^
โดย: คณิตยา วันที่: 21 กันยายน 2558 เวลา:23:33:47 น.
  
อ่า เริ่มสนุกๆแล้ว ซิ
โดย: Tudtu Sujaree IP: 223.206.144.185 วันที่: 22 กันยายน 2558 เวลา:8:01:52 น.
  
คุณอุ๋ยคงต้องใช้เวลานานนนนนนนมากแน่ๆ
เพื่อหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์
มาเป็นแนวทางสำหรับการแต่งเรื่องนี้
ขอบคุณ ชื่นชมและนับถือความพยายามของคุณอุ๋ยค่ะ
โดย: ศิริวรรณ IP: 58.11.122.225 วันที่: 22 กันยายน 2558 เวลา:9:42:38 น.
  
เปลี่ยนชื่อเป็นแม่นางรำเพยโดยทันใด
โดย: sakeena IP: 125.24.217.215 วันที่: 22 กันยายน 2558 เวลา:14:51:58 น.
  
ขอบคุณค่ะคุณตุ๊ดตู่ คุณศิริวรรณ และคุณ sakeena ค่ะ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับกลับมา(สู่การโพสต์)ที่อบอุ่นค่าาาาาาาาาา
โดย: คณิตยา วันที่: 24 กันยายน 2558 เวลา:1:35:50 น.
  
คุณศิริวรรณ : งานลักษณะนี้ให้ทั้งความท้าทายและความยุ่งยากกับการเช็กข้อมูลค่า ที่เหลือก็สนุกดีค่ะ ได้ความรู้เหมือนท่องไปในโลกประวัติศาสตร์ด้วย
โดย: คณิตยา วันที่: 24 กันยายน 2558 เวลา:1:36:47 น.
  
ย้อนกลับอดีตแล้ว เป็นเราๆก็ช็อคอะ
โดย: alanta IP: 110.49.207.42 วันที่: 29 กันยายน 2558 เวลา:7:32:34 น.
  
ดีจ้า มาทักทายนะจ้ะ sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ
โดย: สมาชิกหมายเลข 4061181 วันที่: 25 สิงหาคม 2560 เวลา:18:17:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments