Group Blog
บทนำ...พรหมภพ(ใช้ไฟล์นี้)
เนื่องจากมีการปรับจากบทนำของเดิมเล็กน้อย เลยขอถือโอกาสโพสต์ให้อ่านใหม่ตามต้นฉบับจริงค่ะ...และมีเพิ่มเติมมาอีกครึ่งตอนค่ะ ^_^

**************


พรหมภพ

‘…ทุกคนล้วนเกิดมามีคู่ เพียงแต่โชคชะตาจะขีดเส้นว่าจะพบเจอคนนั้นเมื่อไหร่
ถ้าถึงเวลาเหมาะสม เราก็จะได้เจอ แต่ถ้าไม่...
ต่อให้เราเสาะแสวงหาหรือแทบเดินสวนกัน ก็ยังไม่ “พบ” คนนั้น
เปรียบไปไม่ต่างจากเราวิ่งไล่เงาตัวเอง และเพราะฉันเชื่อแบบนี้ฉันจึงเฝ้ารอคอย
ด้วยความเชื่อมั่นว่าฉันจะได้เจอสักวัน...’
*****


แปดโมงเช้า ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอกราวกับเป็นใจให้กับทริปล่องเรือรอบกรุงเก่าเพื่อทำบุญไหว้พระ ผู้ร่วมทริปเดินทางมาพร้อมเพรียงกันที่จุดนัดพบเพื่อล่องแม่น้ำเจ้าพระยาโดยเรือยนต์ ๕๐ ที่นั่ง รำเพยพร้อมด้วยกล้องคู่ใจ ก้าวลงเรืออย่างคล่องแคล่ว เสียงมัคคุเทศก์ประกาศผ่านโทรโข่ง ระวังลื่นล้ม กฎสำหรับการโดยสารทางเรือมีอยู่ ๒ ข้อ คือ ระวังลื่นล้มระหว่างก้าวขึ้น-ลงเรือ และต้องรอให้เรือจอดสนิทแล้วเท่านั้นถึงจะก้าวขึ้น-ลงเรือ

รำเพยอายุ ๒๓ ปี เพิ่งจบคณะโบราณคดี จากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งมาหมาดๆ ได้ชื่อว่าเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และชาติตระกูล ด้วยว่าเกิดในตระกูลดี สวย รูปร่างดีและร่ำรวย สมัยเรียนเธอเป็นดาวคณะและเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัย เข้าตาแมวมองและเอเจนซี่จนชักชวนให้ไปเทสต์หน้ากล้อง โดยเฉพาะเอเจนซี่ที่มองหานักแสดงหน้าตาไทยๆ เข้ากับละครแนวพีเรียด ถูกใจหน้าตาและรูปร่างที่อ้อนแอ้นของเธอเป็นอย่างมาก แต่รำเพยปฏิเสธไปทุกราย ด้วยเหตุผลว่าไม่ชอบอาชีพที่ต้องอยู่หน้ากล้อง เธอชอบอยู่หลังกล้องมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงไม่ลังเลที่จะสมัครเป็นช่างภาพของนิตยสารการท่องเที่ยงเชิงวัฒนธรรมแห่งหนึ่งหลังเรียนจบปริญญาตรี ตั้งใจทำงานระหว่างรอมหาวิทยาลัยในต่างประเทศตอบรับเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโท วันนี้เป็นวันหยุด เธอจึงถือโอกาสมาพักผ่อนด้วยการซื้อทัวร์ล่องแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำและถือโอกาสไหว้พระทำบุญไปพร้อมกัน

เธอรักการปฏิบัติธรรม ชอบทำบุญไหว้พระ แต่กลับไม่มีโชคด้านความรักจนถูกเพื่อนๆ ล้อว่า...สวย รวยแถมใจบุญ แต่กลับไม่มีแฟน... สำหรับรำเพยมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะถ้ามี เธออยากได้ประเภทคู่แท้ ไม่ใช่คู่จรหรือคู่ผ่าน เธอเชื่อว่าถ้าเป็นเนื้อคู่กันแล้ว ย่อมมีสัญญาณอะไรบ่งบอกหรือทำให้สัมผัสได้ว่าเขาคือคนคนนั้น รำเพยเชื่อว่าตนเองมีคู่แท้ ขอแค่ใจเย็น รอให้ถึงวันที่เหมาะสม แล้วสวรรค์จะจัดสรรให้เอง ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่เคยมีแฟน และเฝ้ารอใครคนนั้นตลอดมา

แล้วเสียงของเพื่อนสนิท ก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด กลบเสียงเรือยนต์เสียมิด

‘เพย...ไปดูหมอกัน’

พิมพาผู้เป็นเพื่อนสนิทลากมือเธอเข้าไปในกระโจมหมอดูในทันทีที่เดินผ่านโซนหมอดูซึ่งประกอบไปด้วยหมอดูที่ทำนายด้วยใบไม้ ไพ่ยิปซี ลายมือ โหงวเฮ้ง เป็นต้น เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมรูปแบบหนึ่งที่กระทรวงวัฒนธรรมพยายามรื้อฟื้นวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เรียกว่า “งานวัด” ขึ้นมา โดยจำลองประเพณี ขนบธรรมเนียม ชิงช้าสวรรค์ การละเล่นสาวน้อยตกน้ำ ปาเป้า เวทีรำวง มีร้านจำหน่ายขนมและอาหารแบบไทยๆ รวมอยู่ในงานเดียวกัน พร้อมด้วยสายรุ้งหลากสีพาดระโยงรยางค์เหนือเสาไฟและต้นไม้ทั่ววัด กระโจมหมอดู ดูจะเป็นอะไรที่ผิดแผกไปจากกิจกรรมอื่นๆ ในงาน

‘ไม่ ฉันไม่อยากดู’ รำเพยปฏิเสธ พยายามฝืนแรงฉุดของเพื่อน

‘แค่เข้าไปเป็นเพื่อนฉัน’

รำเพยเลยจำใจต้องเดินตามแรงลากของเพื่อนเข้าไปในกระโจมอย่างไม่เต็มใจนัก

‘ปิดผ้าใบด้วยหนู’ กระโจมไหนที่มีลูกค้าใช้บริการอยู่ ผ้าใบจะถูกปิดเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ลูกค้ารายอื่นๆ ได้ทราบว่ากระโจมนั้นไม่ว่าง มีลูกค้ากำลังใช้บริการอยู่ อีกทั้งเพื่อไม่ให้รบกวนสมาธิของหมอดูภายในกระโจมนั้นด้วย

สิ้นเสียงของหมอดู รำเพยก็ทำตามอัตโนมัติตามกับหุ่นยนต์ เธอรู้สึกราวกับหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งด้วยว่าข้าวของในกระโจมไม่ต่างจากพวกยิปซีโบราณ มีโต๊ะญี่ปุ่นวางอยู่ตรงหน้าแม่หมอโดยมีผ้ากำมะหยี่สีแดงสดปูรองโต๊ะ มีลูกแก้วใสลูกใหญ่วางบนสุด แว่นกันแดดวางข้างๆ มุมซ้ายและมุมขวาของกระโจม มีโต๊ะเตี้ยๆ บูชารูปปั้นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และอีกด้านบูชาพระพุทธรูป แล้วเสี้ยววินาทีต่อมารำเพยก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ ที่พัดมาปะทะร่างกาย ให้ความรู้สึกหนาวแปลกๆ เธอหันขวับมองผ้าใบทางด้านหลัง แต่พบว่ามันไม่ไหวติง แถมไม่มีช่องลม

แล้วลมมาจากไหน? รำเพยถามตัวเอง แล้วเหลียวมองรอบตัวเพื่อหาแหล่งที่มาซึ่งอาจเป็นพัดลมที่แม่หมอแอบซ่อนไว้สักที่ เหมือนกับกลิ่นกำยานที่เธอจู่ๆ ก็ได้กลิ่นอยู่ในขณะนี้ซึ่งแม่หมออาจจะวางซุกไว้ที่ไหนสักแห่งเพื่อหวังสร้างบรรยากาศให้ดูขลังก็ได้ อาจใช้วิธีเล่นกลหรือไม่ก็ตั้งเวลาให้มันทำงานตามที่ต้องการ? แต่เวลานั้นเธอก็หาควันไม่เจอ ยิ่งกว่านั้นจากกลิ่นกำยาน ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นบุหรี่อย่างน่าประหลาดใจ มันส่งกลิ่นฉุนรุนแรงจนเธอต้องยกมือปิดจมูก ปกติเธอไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือเรื่องเหลวไหลพวกนี้ แต่วินาทีนั้นกลับรู้สึกขนลุกด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่เธอเองก็อธิบายไม่ได้

พิมพาทรุดนั่งฝั่งตรงข้ามหมอดู มีลูกแก้ววางอยู่กึ่งกลางระหว่างเธอกับแม่หมอ รำเพยทรุดตัวนั่งด้านหลังเพื่อน

‘หนูต้องการดูเรื่องความรักค่ะ ปีนี้หนูจะได้แต่งงานกับแฟนไหมคะ’ พิมพาเกริ่นขึ้นเป็นประโยคแรก

หมอดูทำพิธีอะไรบางอย่างราวกับคนทรงเจ้า เนื้อตัวสั่นเทิ้ม โต๊ะบูชาขยับไหว ลูกแก้วหมุนเหนือแกนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่ตอนนั้นรำเพยเชื่อว่าแม่หมออาจใช้ทริคอะไรบางอย่าง

แม่หมอยังคงหลับตา มือจับลูกแก้วหมุนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พลางตอบว่า ‘ไม่ต้องห่วงได้แต่งแน่ เพราะสิ่งที่อยู่ในท้องเจ้าผูกมัดเขาอยู่’

พิมพาหน้าแดงระเรื่อ นึกทึ่งแกมศรัทธาแม่หมอ ขณะที่รำเพยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำทำนาย

‘แต่แม่เขาไม่ยอมรับ...’ พิมพาพูดต่อ

‘เชื่อข้า เมื่อแม่ผัวเห็นหน้าหลาน นางจะเปลี่ยนท่าที’ แม่หมอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ

ชัดเจนแล้ว... รำเพยสะกิดเพื่อน พลางกระซิบถาม ‘แกท้องเหรอ?’

พิมพาแสร้งทำทีไม่ได้ยิน ถามหมอดูต่อว่า ‘เขากำลังจะย้ายไปประจำที่ต่างจังหวัด แม่หมอช่วยให้หนูแต่งงานกับเขา ก่อนจะย้ายไปได้ไหมคะ หนูกลัวผู้หญิงคนอื่นจะจับเขา’

‘ได้สิ แต่ค่าหมอแพงนะ’ ยังคงตอบด้วยอาการหลับตาพริ้ม

‘เท่าไหร่คะ’ พิมพาถามต่อ

หมอดูบอกตัวเลข ๕ หลัก รำเพยอึ้ง เธอกระตุกแขนเพื่อน ไม่อยากให้เพื่อนถูกหลอก แต่พิมพาปัดมือออกราวกับไล่ยุง

‘ได้ค่ะ เราเริ่มพิธีได้เลยไหมคะ?’

‘ได้สิ...เจ้านอนลง’

แล้วจากนั้นพิธีก็เริ่มต้นขึ้นจวบจนเสร็จสิ้นและพิมพาจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว รำเพยก็ขยับลุก แต่เพื่อนสาวกลับพูดว่า

‘แล้วเพื่อนของหนูละคะ จะมีเนื้อคู่ไหม เธอเป็นสาวสวยแต่กลับไร้คู่ แม่หมอช่วยเธอหน่อยได้ไหมคะ’

รำเพยสะดุ้ง รีบส่งเสียงท้วงเพื่อน ‘เฮ้อ...ยายพิมพ์ฉันไม่ได้อยากดูนะ’

ขณะที่แม่หมอตอบว่า ‘ได้สิ’ พลางลืมตา จ้องดูรำเพย สภาพการณ์ราวกับอะไรบางอย่างออกจากร่างแล้ว เพราะเสียงพูดกลับไปเหมือนเดิม และเนื้อตัวไม่ได้สั่นเทิ้มอีก แม่หมอดูโหงวเฮ้งของรำเพยแล้วตอบว่า ‘โหงวเฮ้งหนูแปลกมาก’

‘แปลกยังไงคะ’ พิมพาถาม

แต่รำเพยรีบปฏิเสธเสียงรัว ‘ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่อยากดู’

‘ไม่เป็นไร ข้าจะดูให้ฟรี นานๆ ครั้งจะพบโหงวเฮ้งแปลกอย่างนี้ หนูมีทั้งโชคและเคราะห์อยู่ในคราวเดียวกัน’

‘หมายความว่าไงคะ?’ พิมพาถามต่อ

‘ยื่นมือมาให้หมอสิ’ แม่หมอกลับหันไปบอกรำเพย

พิมพาเขย่าแขนเพื่อนเมื่อเห็นฝ่ายนั้นยังนั่งเฉย มองตาปริบๆ ราวกับกำลังงุนงง พิมพาถือวิสาสะกระตุกมือเพื่อนไปให้แม่หมอ รำเพยพยายามกระตุกกลับ แต่พิมพาขืน ดึงไว้แน่น แม่หมอจับมือบอบบางขาวนวลเนียนของรำเพย พลางพริ้มตาหลับ นาทีต่อมาก็ลืมตา

‘มีอะไรบางอย่างกำลังตามหนู ถ้าหนูช่วยให้เขาหลุดพ้นบ่วงกรรมได้ หนูก็จะได้เจอเนื้อคู่’

‘แปลว่าที่เพื่อนหนูยังไม่ได้เจอเนื้อคู่ เพราะมีอะไรบางอย่างคอยขวางหรือคะ?’ พิมพาถามรัวเร็ว

‘ใช่’

‘อะไรที่ตามหนูอยู่คะ?’ รำเพยถามบ้าง

‘สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก’

‘คุณพระ...แม่หมอหมายถึงผีหรือคะ’ พิมพาโพล่งออกมา ขนลุกชัน

‘ไม่ใช่ แต่ใกล้เคียง เขาเป็นดวงจิตที่ติดอยู่ในที่ที่หนึ่งรอวันแม่หนูคนนี้ปลดปล่อย’ แม่หมอตอบ

‘ทำไมต้องรอหนูปลดปล่อย แล้วทำไมต้องเป็นหนู?’

‘เพราะหนูกับเขาทำบุญทำกรรมร่วมกันมา และหนูก็เป็นทายาทสายตรงของคนที่เป็นเจ้าหนี้กรรมเขา’

‘แม่หมอกำลังพูดอะไร หนูงงไปหมดแล้ว’

หมอดูไม่ฟังที่รำเพยพูด เธอพูดต่อว่า ‘เขากำลังรอความช่วยเหลือจากหนู มีหนูคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้’

‘แล้วหนูจะเจอเขาได้ไง’

‘ไม่ต้องห่วง เขาจะตามหนูเจอเอง’

‘เมื่อไหร่คะ?’

‘อีกไม่นาน...อีกไม่นาน ตอนนี้ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ถ้าอยากเจอเร็วกว่านั้น พิพิธภัณฑ์ริมน้ำคือคำตอบ’

‘อะไรนะคะ แม่หมอหมายถึงอะไร?’ รำเพยถามอย่างงุนงง

‘หมอบอกได้เท่านี้ ทั้งหมดที่หมอรู้และพูดได้ หมอพูดไปหมดแล้ว’

‘จิตดวงนั้นจะมาทำอันตรายเพยไหมคะ’ พิมพาถามบ้าง

‘เปล่า... ไม่ต้องห่วง เขามาดี เขาจะเป็นคุณกับแม่หนูด้วยซ้ำ’

‘แปลว่า...ถ้าเพยช่วยเขาได้ เพยจะได้เจอเนื้อคู่ใช่ไหมคะ’ พิมพาถามต่อ

‘ถูกต้อง’

‘เอ...หรือจิตดวงนั้นคือเนื้อคู่ของเพยเองคะแม่หมอ?’ พิมพายังคงถามต่อ แต่คราวนี้ไม่มีคำตอบจากหมอดู

ความจริงพิมพาถามไปด้วยความคึกคะนอง ไม่ได้คาดหวังกับคำตอบจริงจัง เพราะรู้แน่ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อจิตดวงนั้นยังไม่ได้มาเกิด ก็ย่อมไม่มีทางจะเป็นเนื้อคู่ของรำเพยไปได้ และถ้ารอให้มาเกิดใหม่ ก็คงไม่ทันในชาตินี้เพราะรำเพยอายุปาไป ๒๓ ปีแล้ว แล้วหลังจากนั้นไม่ว่าพิมพาหรือรำเพยจะพยายามเค้นถามอะไรที่เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับนั้น หมอดูก็พูดวกกลับไปเรื่องเดิม ไม่ต่างจากแผ่นเสียงตกร่อง จนพวกเธอต้องเปลี่ยนเรื่องไปถามเรื่องอื่นแทน

‘แล้วเนื้อคู่ของเพย จะมีลักษณะยังไงคะ’ พิมพาถามใหม่

‘ถ้าแม่หนูได้สัมผัส ก็จะรู้เอง’

‘คำตอบกว้างเกินไป งั้นเอางี้ เขามีลักษณะเด่นอะไรบ้าง ที่เพื่อนหนูเห็นแล้ว จะรู้ได้เลยว่านั่นคือเนื้อคู่?’

แม่หมอนิ่งแล้วตอบอย่างเนิบช้าว่า ‘ปานแดงรูปหัวใจ เขาจะมีสัญลักษณ์นั้น’


รำเพยบอกตัวเองว่าไม่ใช่เพราะคำทำนายในคราวนั้นที่ทำให้เธอดั้นด้นท่องเที่ยวไปตามพิพิธภัณฑ์นับแต่เหนือสุดของแดนสยามจวบจนล่างสุดของด้ามขวาน เพราะคำทำนายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน ขณะที่เธอชื่นชอบกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมาตั้งแต่จำความได้ สมัยเด็กๆ พ่อแม่มักพาเธอไปเที่ยวตามวัดวาอาราม สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ตลอดจนหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ ต่างจากเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นๆ ที่ชอบเที่ยวห้าง สวนสนุก ฯลฯ แม้วันนี้ครอบครัวของเธอพร้อมด้วยน้องชายจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ เนื่องจากพ่อเธอย้ายไปเป็นทูตอยู่ที่นั่นและเธอก็มีแผนจะเดินทางตามไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่นด้วยในเร็วๆ นี้ กระนั้นเธอก็ยังคงชื่นชอบกับการท่องเที่ยวตามสถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ไม่เปลี่ยนแปลง


เริ่นต้นทริปโดยแวะวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นที่แรก วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร หรือ "วัดกัลยา" ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ฝั่งใต้ สร้างขึ้นโดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ในปี พ.ศ. ๒๓๖๘ ได้บริจาคที่ดินซึ่งเป็นหมู่บ้านกุฎีจีนเดิม ถวายเป็นพระอารามหลวงแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ขณะที่สร้างเจ้าพระยานิกรบดินทร์ได้เสียชีวิตเสียก่อน รัชกาลที่ ๓ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการสร้างจนแล้วเสร็จ พระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร" และทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางมารวิชัย ชื่อพระพุทธไตรรัตนนายก หมายถึง แก้ว ๓ ประการ สอดคล้องกับคำจีนว่า ซำปอกง ซึ่งเป็นชื่อที่คนจีนในย่านนี้เรียกและยังมีเทพเจ้าต่างๆ ให้กราบไหว้บูชาตามความเชื่อของชาวจีน

รำเพยถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ก็ตามคณะล่องเรือต่อไปยังพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร(วัดแจ้ง) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า "วัดมะกอก" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "วัดมะกอกนอก" เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จกรีฑาทัพมาถึงวัดมะกอกนอกในเวลารุ่งอรุณพอดี จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "วัดแจ้ง" ในช่วงที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี วัดแจ้งถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและพระบาง อย่างไรก็ตามในปี พ. ศ. ๒๓๒๗ พระแก้วมรกตได้ย้ายมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพระบางนั้น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดพระราชทานคืนประเทศลาว ความน่าสนใจของพระปรางค์ อยู่ตรงที่แฝงความเชื่อเรื่องแดนนรกสวรรค์ เรื่องเทวดาพระอินทร์และเรื่องราวไตรภูมิ โดยจำลองไว้ในสถาปัตยกรรมของพระปรางค์วัดอรุณฯ รำเพยเดินผ่านประตูรั้วขององค์ปรางค์ที่เปรียบเสมือนกำแพงของจักรวาล พื้นลานกว้างเปรียบเหมือนท้องทะเลสีทันดร และกลางทะเลมีเขาพระสุเมรุซึ่งก็คือองค์ปรางค์โดยแวดล้อมด้วยปรางค์ ๔ ทิศซึ่งแทน ๔ ทวีป ซึ่งในไตรภูมิก็คือ อุตรกุรุทวีปด้านทิศเหนือ บุรพวิเทหทวีปด้านตะวันออก อมรโคยานทวีปด้านตะวันตก และชมพูทวีปด้านทิศใต้ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์

นอกจากพระปรางค์แล้ว โบสถ์น้อยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นที่ประทับเดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จุดสำคัญอยู่ที่แผ่นศิลาจารึกของพระองค์ และแท่นบรรทมที่ไม่มีใครสามารถยกหรือเคลื่อนย้ายได้ซึ่งตั้งอยู่ที่โบสถ์น้อยแห่งนี้กว่า ๒๐๐ ปี

รำเพยดื่มด่ำกับสถาปัตยกรรมและถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ก็ตามคณะล่องเรือต่อไปยังวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร(วัดระฆัง,วัดหลวงพ่อโต) เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยาซึ่งเดิมมีชื่อว่า “วัดบางหว้าใหญ่” ระหว่างที่รำเพยเดินเที่ยวชม ไกด์บอกเล่าประวัติทางด้านหลังอย่างน่าสนใจ

“ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีการขุดพบระฆังลูกหนึ่ง เล่ากันว่ามีเสียงไพเราะและรูปทรงสวยงาม จึงโปรดให้นำไปไว้ที่หอระฆังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และถึงแม้มีเสียงที่ไพเราะแต่ไม่มีใครอยากได้ยิน เพราะระฆังนี้ จะตีเฉพาะ ๒ เหตุการณ์ คือ การเปลี่ยนพระสังฆราชและการเปลี่ยนพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึงการสูญเสีย เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว พระองค์ก็ทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางหว้าใหญ่ ๕ ลูก จากนั้นได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่าวัดระฆังโฆสิตาราม”

ในบริเวณวัดยังสามารถเดินชมเรือนไทยแฝด ๓ หลังซึ่งเคยเป็นเรือนประทับของรัชกาลที่ ๑ มาก่อน ปัจจุบันเป็นหอพระไตรปิฎก จัดเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวของมาฆะมานพ หรือการกำเนิดของพระอินทร์ มีที่เดียวในประเทศไทยอายุกว่า ๒๐๐ ปี เขียนโดยพระอาจารย์นาค ซึ่งเป็นจิตรกรในสมัยอยุธยาตอนปลาย

รำเพยกดชัตเตอร์เก็บภาพขณะที่ไกด์สาวบรรยายว่า

“เรือน ๓ หลังแฝดที่เห็นคือ หอพระไตรปิฎก หอด้านใต้ลักษณะเป็นหอนอน หอกลางเป็นห้องโถง หอด้านเหนือเข้าใจว่าเป็นห้องรับแขก ของเดิมเป็นหลังคามุงจาก ได้เปลี่ยนเป็นมุงกระเบื้อง ชายคาเป็นรูปเทพพนม เรียงรายเป็นระยะๆ ภายในมีตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่เขียนลายรดน้ำ ๒ ตู้ ประดิษฐานไว้ในหอด้านเหนือ ๑ ตู้ หอด้านใต้ ๑ ตู้...”

รำเพยชอบฟังประวัติศาสตร์ เพราะทำให้คิดจินตนาการว่าคนในโบราณกินอยู่และใช้ชีวิตอย่างไร เธอแอบคิดว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าเธอหลุดไปอยู่ในยุคโบราณ แล้วเธอก็ต้องตื่นจากภวังค์เมื่อเสียงไกด์สาวประกาศผ่านโทรโข่งต่อว่า

“เอ้า...ลงเรือได้แล้วจ้า ถึงเวลาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปแล้ว”

พิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิม ชาวจีนที่ย้ายมาอยู่เมืองไทย เป็นเจ้าภาษีนายอากร เจ้าของกิจการค้าข้าวและโรงสีและเดินเรือสำเภาค้าขายระหว่างไทยและจีน บ้านเจ้าสัวกิมเป็นบ้านเก่าของต้นตระกูลดาราคุปต์ สร้างมากว่า ๑๐๐ ปี ในสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ลักษณะที่โดดเด่นคือ เป็นกลุ่มอาคารชิโน-โปรตุกีสหลายหลังที่เชื่อมต่อถึงกัน สร้างในบริเวณเดียวกันในเนื้อที่เกือบ ๒ ไร่ หันหน้าเข้าหาลานกว้างซึ่งอยู่ตรงกลาง บ้านเจ้าสัวกิมตกเป็นมรดกของลูกหลานหลายรุ่น ทายาทหวังให้สถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ที่บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชุมชน ตลอดจนการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคนั้นในช่วง ๑๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา จึงได้อนุรักษ์ตัวอาคารและเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่างๆ ในบ้านไว้เป็นอย่างดี และเปิดให้ผู้สนใจได้เข้าไปชมโดยแลกกับตั๋วค่าเข้าชมเพียงคนละ ๕๐ บาทสำหรับคนไทยและคนละ ๑๐๐ บาทสำหรับชาวต่างชาติ เพื่อไว้ใช้สำหรับการดูแลรักษาบ้านเก่าโบราณหลังนี้ ให้คงอยู่ในสภาพเดิม

รำเพยมาร่วมทริปนี้ เพื่อหวังเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ของต้นตระกูลดาราคุปต์ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ของภาคเอกชนเป็นการเฉพาะ เนื่องจากได้ยินมาว่าเจ้าสัวกิมรวยที่สุดในย่านนั้นในยุคสมัยนั้น เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษเมืองจีน วัสดุของบ้านนั้นส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เนื่องจากการค้าขายทางเรือในสมัยนั้นเฟื่องฟู เช่น รั้วบ้านจากฮอลแลนด์ กระเบื้องปูพื้นจากอิตาลี ฯลฯ ปัจจุบันบ้านเจ้าสัวกิมมีอายุกว่า ๑๐๐ ปี และมีลูกหลาน นับเนื่องเป็นรุ่นที่ ๖ แล้ว แล้ววินาทีนั้น เธอก็ได้กลิ่นบุหรี่ เหลียวมองรอบตัวเพื่อดูว่ามีใครสูบบุหรี่แถวนั้นหรือไม่ แต่ทว่าก็ไม่เห็นใครสูบ ทุกคนกำลังก้าวฉับๆ ตรงไปยังโป๊ะ เธอเหลียวกลับมาเดินตามคนเพื่อนๆ

เป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนมาแล้วที่เธอได้กลิ่นบุหรี่โดยที่หาสาเหตุและหาแหล่งที่มาไม่ได้ จนร่ำๆ คิดว่าเพี้ยนหรือบ้าไปแล้วที่ได้กลิ่นอยู่คนเดียว เพราะถามใครๆ ก็ไม่ได้กลิ่น แล้วจังหวะนั้น เสียงไกด์ก็ทำลายภวังค์

“เร็วค่ะคุณรำเพย ลงเรือได้แล้วค่ะ คุณกำลังรั้งท้ายอยู่นะคะ”



“สวัสดีค่ะคุณพรหมมินทร์ คุณลักษณา” ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมโค้งศีรษะอย่างนอบน้อมในทันทีที่ทายาทรุ่นล่าสุดของตระกูลดาราคุปต์พร้อมด้วยน้องสาวก้าวลงจากรถหรูภายหลังคนรถปรี่มาเปิดประตูให้ เฉิดฉายทักทายพลางจ้องมองร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษรุ่นลูกด้วยแววตาชื่นชม ด้วยว่าหล่อเหลาคมคายอย่างหาตัวจับยากแม้จะมีเชื้อไทยครึ่งหนึ่งแต่รูปร่างและหน้าตาไม่ได้เฉียดไทยเลย แต่กระเดียดไปทางมารดา ๑๐๐% จนแทบดูไม่ออกเลยว่าเลือดครึ่งหนึ่งของชายหนุ่ม คือไทย

“เรียกพอลเถอะครับ ผมแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองมีชื่อไทยชื่อนั้น” พอลตอบด้วยภาษาไทยที่แปร่งเล็กน้อย เนื่องจากไม่ใช่ภาษาแม่ เขาได้ชื่อว่ามีพรสวรรค์ด้านการเรียนรู้ทักษะการใช้ภาษาไทย แค่จ้างครูไทยมาสอนตัวต่อตัวที่บ้านไม่นาน ก็ทำให้เขาพูดและฟังภาษาไทยได้แล้ว ยกเว้นภาษาเขียนและอ่าน ที่เขาทำได้ไม่ดีนัก

พอล หรือ พรหมมินทร์ เป็นทายาทรุ่นที่ ๖ ของตระกูลดาราคุปต์ วัย ๓๕ จบปริญญาโท ๒ ใบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในอังกฤษ ได้ชื่อว่าสมบูรณ์แบบทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูลและการศึกษา ตลอดชีวิต ๓๐ กว่าปีเขาอยู่ที่อังกฤษตลอดด้วยว่าย้ายตามมารดาชาวอังกฤษไปอยู่ที่นั่น เอมิเลียรับไม่ได้กับการที่พันตำรวจโททวีสิน ดาราคุปต์ ผู้เป็นสามีมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน เมื่อเขามีภรรยาคนที่ ๒ เธอจึงหอบลูกชายซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง ๒ ขวบและลูกชายอีกคนที่อยู่ในท้องกลับไปอยู่ประเทศเกิด แม้สามีจะบินตามไปงอนง้ออย่างไร เธอก็ไม่ยอมคืนดี นับแต่นั้นชีวิตคู่ระหว่างบิดาและมารดาซึ่งเป็นภรรยาหลวงก็ปิดฉากลง

พอลคิดว่าตัวเองคงใช้ชีวิตที่อังกฤษตลอดกาล ถ้า ๒ ปีก่อนบิดาชาวไทยจะไม่เสียชีวิตและมีการเปิดพินัยกรรม เขาและน้องชายถูกทนายความประจำตระกูลดาราคุปต์ เรียกตัวกลับมาไทยด่วนตามเจตจำนงของพันตำรวจโททวีสินที่สั่งเสียไว้ก่อนตาย ให้มาร่วมฟังพินัยกรรมพร้อมด้วยญาติคนอื่นๆ ที่เป็นภรรยาและลูกๆ ต่างมารดาซึ่งแต่ละคนเขาล้วนไม่รู้จัก มาถึงเมืองไทยเขาถึงได้รู้ว่าบิดามีลูกๆ ที่เกิดจากภรรยาชาวไทย ๓ คน ถึง ๘ คนด้วยกัน รวมเขากับน้องชายก็เป็น ๑๐ คน พันตำรวจโททวีสิน ยกที่ดินแถวปทุมธานี ตลาดกิม รวมถึงพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมหลังนี้ให้กับเขา ส่วนน้องชาย ได้สิทธิ์ในที่ดินนนทบุรีและโครงการบ้านจัดสรร แถมยังให้สิทธิ์เขากับน้องชายอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางกรุงร่วมกับลูกๆ และภรรยาคนอื่นๆ ในคฤหาสน์หลังนั้นด้วย

การเปิดพินัยกรรมหลังการเสียชีวิตของบิดาในคราวนั้น ทำให้พอลต้องย้ายมาอยู่เมืองไทยชั่วคราวเพื่อจัดการเรื่องมรดก ด้วยว่าถึงเขาและน้องชายไม่ต้องการทรัพย์สมบัติใดๆ และได้ปฏิเสธผ่านทนายความไปแล้ว แต่บรรดาภรรยาและลูกๆ ของบิดาในเมืองไทย ก็ยืนยันที่จะให้เขาได้สิทธิ์นั้นตามเจตนารมณ์ของพันตำรวจโททวีสิน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับการไหว้วานจากน้องชายให้อยู่จัดการมรดก โดยทำเรื่องมอบให้ลูกหลานคนอื่นๆ ของบิดาตามที่เห็นสมควร เขาปรึกษาเรื่องนี้กับมารดาและน้องชายเรียบร้อยแล้ว เมื่อทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าไม่มีใครอยากมาอยู่เมืองไทย ดังนั้นจะมอบมรดกเหล่านั้นให้แก่ลูกหลานคนอื่นๆ ของบิดา แต่เขากับน้องชายยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะมอบให้แก่ใครดี ด้วยว่าน้องๆ ต่างมารดาเหล่านั้นเขาไม่รู้จักสักคน น้องชายจึงแนะนำให้เขาอยู่เมืองไทยสักระยะเพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอของแต่ละคนก่อนจะมอบมรดกให้ ส่วนตัวน้องชายและมารดาอาสาที่จะดูแลกิจการน้ำหอมให้เขาที่อังกฤษเอง

ช่วงแรกๆ พอลจึงไปๆ มาๆ ระหว่างอังกฤษและไทย เพื่อดูแลกิจการน้ำหอมของตนเอง แต่ทำไปทำมาเขาชักติดใจประเทศไทยหลังจากอยู่ได้แค่ ๖ เดือนโดยเฉพาะสาวไทย ที่สวยอ่อนหวานและกิริยานุ่มนวลซึ่งต่างจากสาวชาติเดียวกัน สาวตะวันตกหรือสาวยุโรปที่เขาพบเจอและคบหาด้วยอย่างมาก จึงไม่ต่างจากอาการเห่อของเล่นชิ้นใหม่ ยอมรับว่าเขาติดใจประเทศเกิดของบิดาเพราะสาวไทย ด้วยเหตุนี้จึงลากยาวอยู่มานานถึง ๒ ปีและระยะหลังเขาอยู่เมืองไทยเป็นหลัก นานๆ ครั้งจะบินกลับอังกฤษสักครั้ง อาศัยน้องชายเป็นคนดูแลกิจการที่นั่น ส่วนตัวเองจะสั่งงานผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ อีเมล สไกป์ หรือไลน์แทน

สำหรับบ้านเจ้าสัวกิมซึ่งเป็นบ้านเก่าแก่ที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นนั้น ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลมาแต่โบราณกาลว่าจะต้องตกทอดแก่ทายาทคนแรกของแต่ละรุ่นเท่านั้น บ้านเจ้าสัวกิมจึงตกเป็นสิทธิ์ของเขาเมื่อเขาเป็นทายาทคนโตของรุ่นที่ ๖ เขาเลือกที่จะเดินรอยตามทายาทคนก่อนๆ ด้วยการอนุรักษ์บ้านหลังนี้ให้อยู่ในสภาพพิพิธภัณฑ์ดังเดิมบนเนื้อที่เกือบ ๒ ไร่ และทุกๆ เดือนเขาจะมาตรวจเยี่ยมด้วยตัวเองว่ามีปัญหาหรือการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวขาดตกบกพร่องอะไรหรือไม่

น่าแปลกที่เขารู้สึกผูกพันกับกลุ่มอาคารชิโน-โปรตุกีสหลังนี้นับแต่ก้าวแรกที่ย่างกรายเข้ามาเมื่อ ๒ ปีก่อน ด้วยว่าให้บรรยากาศราวกับหลุดไปอยู่ในปีพ.ศ.๒,๔๐๐ กว่าๆ ซึ่งเป็นปีที่ต้นตระกูลนั่งเรือสำเภาย้ายมาอยู่เมืองไทยถาวร เป็นบรรยากาศที่แปลกใหม่สำหรับชาวต่างชาติอย่างเขา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไม้สอย เฟอร์นิเจอร์ จานชาม เครื่องปั้นดินเผา เครื่องสังคโลก สิ่งก่อสร้าง หรืออื่นๆ ที่ยังอนุรักษ์ทุกอย่างไว้เหมือนเดิม เป็นส่วนผสมที่สอดผสานกันอย่างลงตัวและกลมกลืนระหว่างความเป็นจีน ตะวันตกและไทย เขารู้สึกว่ามีมนตร์ขลัง มีเสน่ห์ และน่าสนใจอย่างมาก พอลไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าภาพถ่ายขาวดำ รวมไปถึงภาพวาดขาวดำที่สาวไปถึงต้นตระกูลที่แขวนอยู่บนผนังเรียงรายอยู่รอบบ้านของเจ้าสัวกิมนั่นคือคนในสมัยโบราณซึ่งเป็นต้นตระกูลของเขาจริงๆ ด้วยว่าทุกคนล้วนอยู่ในเครื่องแต่งกายและทรงผมที่แปลกตา ไม่คุ้นตา แต่ก็ดูคลาสสิกและน่าหลงใหลอย่างมากสำหรับเขา

“คุณพอลอยู่เมืองไทยจะครบ ๒ ปีอยู่แล้ว ยังไม่ชินกับชื่อไทยอีกหรือคะ” เฉิดฉายยอมกลับไปใช้ชื่อฝรั่งตามที่ผู้เป็นนายต้องการ อาศัยว่าทายาทผู้นี้ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนเจ้าขุนมูลนายคนอื่นๆ ตรงกันข้ามสบายๆ เป็นกันเอง ไม่ถือตัว จึงทำให้เฉิดฉายกล้าแหย่ด้วยความรักและเอ็นดู พอลมาอยู่เมืองไทยได้ ๒ ปีแต่เป็นที่รักของลูกจ้างทุกคน ต่างจากทายาทคนก่อนๆ ที่วางตัวเหนือกว่าจนพวกเธอเข้าไม่ถึง

หนุ่มลูกครึ่งหัวเราะ “ไม่เลยครับ ผมชอบชื่อพอลที่คุณแม่ตั้งให้มากกว่า”

“แต่ลักษณ์ว่าพรหมมินทร์ที่คุณพ่อตั้งให้ก็เท่ไม่หยอกนะคะ” ลักษณาเพิ่งมีโอกาสร่วมบทสนทนาด้วย เธอมองหนุ่มลูกครึ่งเจ้าของวงหน้าหล่อเหลาแววตาชื่นชมแกมเทิดทูน พอลมีรูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผายดั่งนักกีฬาด้วยว่าออกกำลังกายและเล่นเพาะกล้ามพองาม อยู่เป็นนิตย์ จึงเสริมบุคลิกให้ดูดีอย่างมาก

ลักษณาเป็นลูกสาวคนเล็กของภรรยาคนที่ ๒ ของพันตำรวจโททวีสิน เธอเป็นปลื้มกับพี่ชายลูกครึ่งคนนี้ ความจริงเธอนึกเสียดายด้วยซ้ำที่เขาเป็นพี่ชายต่างมารดา ถ้าเกิดมาคนละพ่อคนละแม่ เธอจะไม่รั้งรอเลยที่จะเป็นฝ่ายรุกเขา ยอมรับว่าพอลมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศอย่างมาก ใครเห็นเป็นต้องเหลียวมองซ้ำสอง คิดดูพอลยืนพูดคุยกับผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์บริเวณปากทางเข้าพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมไม่ถึงนาที แต่มีนักท่องเที่ยวสาวๆ ทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กเหลียวมองมาไม่ต่ำกว่า ๕๐ คนแล้ว เรียกว่าพอลเป็นเป้าสายตาไม่ต่างจากแม่เหล็กเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรู้ความสามารถที่เป็นถึงเจ้าของกิจการน้ำหอมที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ แค่รูปร่างหน้าตาก็กินขาด ทำให้สาวๆ พร้อมจะสยบแทบเท้าแล้ว ลักษณาเชื่อว่าสาวๆ กว่าครึ่งจะคิดเหมือนเธอ คือพร้อมที่จะแลกด้วยอะไรก็แล้วแต่ที่ตัวเองมี ขอแค่ได้มีโอกาสใช้เวลายามค่ำคืนกับเขาตามลำพังสองต่อสองสักคืนแค่นั้น

พอลรับรู้ถึงสายตาของน้องสาวที่กำลังจ้องเขม็งมา เขาหลียวมาสบตาด้วย แวววตาอ่อนโยนเมื่อตอบว่า “พี่ว่าออกเสียงยาก เรียกพอลง่ายสุดแล้ว วันนี้มีนักท่องเที่ยวเข้าชมพิพิธภัณฑ์เยอะไหมครับ” ประโยคหลังหันไปถามเฉิดฉาย

นับแต่เขาเดินทางมาอยู่เมืองไทย เขาได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากลักษณา เธอมีอัธยาศัยดี มนุษยสัมพันธ์ดีและช่างพูด แค่สัปดาห์แรกที่เขาย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ร่วมกับลูกๆ หลานๆ ของบิดา ลักษณาก็ตามติดเขาเป็นเงาตามตัวนับแต่นั้น เขาไม่ได้รำคาญหรือเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามเพลิดเพลินไปกับความน่ารักของหญิงสาวที่ช่างเอาใจ ดูแลเอาใจใส่ คอยชี้แนะและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับประเทศไทยให้เขารู้ ซึ่งทำให้เขาเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับประเทศไทยได้เร็วขึ้น

เฉิดฉายยิ้มด้วยแววตาอ่อนโยน “เยอะค่ะ มีทัวร์จีนลง ๒ กรุ๊ปแล้วในเช้านี้ แล้วก็มีทัวร์ไทยทัวร์ไหว้พระด้วยค่ะ รวมๆ ก็เกือบ ๒๐๐ คนไปแล้ว”

พอลพยักหน้าอย่างพอใจ “เยอะมากเลยครับ”

“ใช่ค่ะ วันนี้เยอะเป็นพิเศษจริงๆ คงเพราะเป็นวันหยุด นักท่องเที่ยวเลยเยอะ”

พอลพยักหน้า กล่าวต่อว่า “แล้วมีปัญหา หรืออะไรชำรุดต้องซ่อมบ้างไหมครับ”

“ไม่มีค่ะ เพราะเราจัดเจ้าหน้าที่ตามประกบตลอด โดยเฉพาะทัวร์จีน มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเรื่องความสะอาดอยู่ห่างๆ แต่ปัญหาน่าหนักใจสุดคือนักท่องเที่ยวแย่งกันใช้ห้องน้ำ และห้องน้ำสกปรกเร็ว พนักงานทำความสะอาดไม่ทัน”

“งั้นคุณเฉิดฉายลองไปดูว่าจะสร้างห้องน้ำเพิ่มยังไงได้บ้าง ดูเหมือนเรายังมีพื้นที่เหลือสำหรับการสร้างอาคารเพิ่มได้ใช่ไหมครับ?” กล่าวพลางออกเดินนำเข้าไปในพิพิธภัณฑ์โดยมีเฉิดฉายและลักษณาเดินตาม

“ใช่ค่ะ มีพื้นที่ริมแม่น้ำเหลือเฟือ แต่ถ้าจะมาสร้างห้องน้ำ จะไม่เสียทัศนียภาพทางสายตาหรือคะ เพราะทัวร์ไหว้พระขึ้นลงทางน้ำอยู่ตลอดเวลา อาจไม่น่าดูและส่งกลิ่นรบกวน”

“ลองให้สถาปนิกออกแบบศูนย์จำหน่ายของที่ระลึกเป็นอาคารชิโน-โปรตุกีสให้กลมกลืนไปกับเรือนใหญ่ไหมครับ ห้องน้ำอาจให้ฝังอยู่ในอาคารลึกหน่อย แถมยังสามารถขายอาหาร ของที่ระลึกและโปสการ์ดเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ นำเงินมาหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายดูแลพิพิธภัณฑ์ได้ด้วย ส่วนเรื่องการดูแลความสะอาดและเรื่องกลิ่น ไม่น่ามีปัญหาถ้าเราเพิ่มพนักงานดูแลความสะอาด ยังไงลองเสนอค่าใช้จ่ายมาดูครับ ขาดเหลือยังไง ผมเซ็นเช็คส่วนตัวให้”

โดยปกติจะมีเงินสำหรับการดูแลพิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะ มาจากค่าบัตรเข้าชมและเงินบริจาคจากนักท่องเที่ยวตามจิตศรัทธา แต่ที่ผ่านมาขาดเหลืออย่างไร พอลมักสมทบเงินส่วนตัวมาช่วยโดยตลอด เฉิดฉายมองด้วยสายตาชื่นชมเป็นเท่าตัว หนุ่มลูกครึ่งผู้นี้มักมีมุมมองที่แปลกใหม่ น่าเลื่อมใส เขาต่างจากทายาทรุ่นก่อนที่เก็บเงินจากค่าบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เข้ากระเป๋าตัวเองครึ่งหนึ่ง แต่พอมาถึงสมัยพอล นอกจากไม่นำค่าบัตรเข้ากระเป๋าตัวเองแม้แต่สตางค์แดงเดียวแล้ว ยังบริจาคเงินส่วนตัวมาดูแลบำรุงรักษาพิพิธภัณฑ์ด้วย นอกจากนี้เขาริเริ่มแนวคิดจัดนิทรรศการหมุนเวียนตามแต่โอกาสที่เหมาะสม และออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวพาลูกจ้างของพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดไปศึกษาดูงานต่างประเทศเพื่อเรียนรู้ว่าพิพิธภัณฑ์ระดับโลกบริหารจัดการอย่างไรถึงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาเข้าชมเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี รวมตลอดถึงเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการและการอนุรักษ์สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในพิธิภัณฑ์ให้คงสภาพเดิมไว้ได้ยาวนานที่สุด

“ได้ค่ะ ดิฉันว่าน่าสนใจ เดี๋ยวถ้าได้แบบเรียบร้อยแล้ว จะส่งให้คุณพอลทางอีเมลนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

น้องสาวต่างมารดาเงยหน้ามอง ด้วยว่าผู้เป็นพี่ชายสูงกว่ามาก “พี่พอลมาพิพิธภัณฑ์บ๊อยบ่อย ไม่เบื่อบ้างหรือคะ” ทุกครั้งที่พอลมา มีเธอตามติดมาด้วยทุกครั้ง จึงรู้ว่าเขาพิศมัยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มากแค่ไหน

“ไม่เลย พี่ชอบบรรยากาศโบราณๆ อย่างที่นี่ พี่ว่าต้นตระกูลเราเก่ง คิดดูร้อยกว่าปีก่อนที่เวชภัณฑ์ยังไม่ก้าวหน้า แต่คนในตระกูลดาราคุปต์สามารถคิดยาและเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ขึ้นมาใช้ภายในครัวเรือนเองได้”

ลักษณาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พี่ชายต่างมารดาพูดถึงขี้ผึ้งวิเศษเดชาคุปต์ที่ทำมาจากสมุนไพรที่ปลูกไว้กินและใช้กันเองภายในครัวเรือนและกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านของผู้คนในยุคนั้น สมัยนั้นท่านอุ่นเรือน ภรรยาของเจ้าพระยาพิภพตรา ซึ่งถือเป็นแม่ของเทียด(1)ของเธอ ทำขึ้นเองเพื่อใช้ทาเวลาโดนแมลงกัดต่อย ผลปรากฏว่าหายชะงัดนัก หม่อมอุ่นเรือนแบ่งให้คนข้างบ้านใช้ มีการบอกปากต่อปากถึงสรรพคุณที่รักษาแมลงสัตว์กัดต่อยได้ดี จนชาวบ้านร้องขอให้หม่อมอุ่นเรือนทำขาย กลายเป็นกิจการในครัวเรือน และวางขายตามร้านขายยาจีนโบราณ จวบจนเวชภัณฑ์เจริญรุดหน้า ยาสมุนไพรโบราณก็ค่อยๆ เลือนหายไป ตอนนี้แทบไม่มีใครรู้จักขี้ผึ้งวิเศษเดชาคุปต์แล้วถ้าไม่ใช่คนโบราณในยุคนั้น

แล้วลักษณา ก็อดนึกย้อนไปถึงต้นตระกูลไม่ได้ ตามประวัติที่เล่าต่อๆ กันมา ต้นตระกูลของเธอได้อพยพมาจากประเทศจีน ต้นตระกูลคนแรกที่มาตั้งรกรากในไทยคือเจ้าสัวกิม แซ่หลี ยึดอาชีพทำมาค้าขาย เมื่อกิจการค้าขายดี ก็ขยับขยายมาทำโรงสีและขายข้าว พอมีฐานะมั่งคั่งขึ้น ก็ได้สร้างอาคารสไตล์ชิโน-โปรตุกีสริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่อยู่อาศัย นัยว่าเจ้าสัวกิมมีเพื่อนที่เป็นนายช่างออกแบบอาคารชิโน-โปรตุกีสให้กับเจ้าสัวที่ภูเก็ต เจ้าสัวกิมนำแบบมาดัดแปลง โดยออกแบบให้เป็นอาคารสองหลังที่เชื่อมต่อกัน ต่อมาเมื่อมีลูกๆ มากขึ้นเจ้าสัวก็ขยายต่อเติมบ้านออกไปเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นกลุ่มอาคารหลังใหญ่ที่หันหน้าเข้าหากันโดยมีลานกว้างอยู่กึ่งกลางบนพื้นที่เกือบ ๒ ไร่ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อมาถึงสมัยของเจ้าพระยาพิภพตรา ผู้เป็นพ่อของเทียดของเธอ ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของหลวงนาวีเดชานนท์ กับท่านสดใส บุตรีของพระยาธำรงภักดีฤทธิ์ ว่ากันว่าในสมัยที่พ่อของเทียดยังเป็นหลวงพิภพตรา สังกัดกระทรวงมหาสมบัติ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นกระทรวงพระคลังมหาสมบัติและกระทรวงการคลังตามลำดับในปัจจุบันนั้น รัชกาลที่ ๖ ก็ได้พระราชทานนามสกุลให้ว่า “เดชาคุปต์”

เมื่อเดินผ่านอาคารหลังแรกแล้ว เฉิดฉายก็เอ่ยชวนขึ้น “ลองไปดูสถานที่ริมน้ำดูไหมคะ เผื่อว่าคุณพอลอยากให้สร้างบริเวณไหน”

“ได้ครับ” พอลตอบแล้วเดินออกทางอาคารหลังเพื่อตรงไปยังท่าน้ำ

เสี้ยววินาทีที่หลุดจากประตูหลังพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิม พอลก็ชะงัก หยุดยืนแข็งทื่อ พลอยทำให้ลักษณาที่เดินเคียงคู่ ชะงักตาม เธอขมวดคิ้วถามขึ้นอย่างสงสัย

“มีอะไรหรือคะพี่พอล”

“เห็นผู้หญิงคนนั้นไหม”

ลักษณามองตามปลายนิ้วเรียวราวกับของอิสตรี ตรงไปยังท่าเรือที่มีนักท่องเที่ยวไทยกำลังทยอยขึ้นจากเรือ บางคนออกจากโป๊ะ กำลังเดินผ่านรั้วลวดลายจีนเพื่อตรงเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ รั้วทำเป็นประตูเล็กๆ พอเป็นพิธีเท่านั้น ทำให้ยังเห็นวิวแม่น้ำเจ้ายาแบบพาโนราม่า

“ใครคะ นักท่องเที่ยวมากมาย ลักษณ์ไม่รู้ว่าพี่หมายถึงคนไหน”

“คนที่กำลังดูกล้องถ่ายรูปอยู่ที่โป๊ะ”

“อ๋อ...ค่ะ มีอะไรหรือคะ?” ลากเสียงถาม พลางปรายตามองตาม หญิงสาวที่พี่ชายพูดถึง น่าจะเป็นนักศึกษา ด้วยว่าแลดูเยาว์วัย เธออยู่ในชุดทะมัดทะแมงคือเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ แต่กลับเสริมให้รูปร่างบอบบางชวนมองมากยิ่งขึ้น อาจเพราะความที่สูงจัดและขาเรียวยาว เมื่อสวมยีนส์ จึงเห็นช่วงขาที่เรียวยาวชัดเจนขึ้น แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุด เห็นจะเป็นใบหน้าเรียวรูปไข่ ที่สะสวยราวกับสาวไทยยุคโบราณซึ่งเธอรู้ว่าเป็นสไตล์ที่พี่ชายชอบอย่างยิ่ง

“คนนี้เราเคยเจอเมื่อเดือนก่อนตอนที่ลักษณ์ไปดูหมอดูยิปซีจำได้ไหม?”

“จำได้ค่ะ ในงานวัดที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้น มีอะไรหรือคะ?”

พอลเล่าต่อว่า “ลักษณ์ยุให้พี่ดูหมอ พี่เลยยื่นมือไปให้ดูอย่างขำๆ แล้วหมอดูก็ทักขึ้นว่า พี่จะได้เจอเนื้อคู่เร็วๆ นี้”

“จำได้ค่ะ แล้วยังไงต่อคะ?” ลักษณายังคงถามอย่างไม่เข้าใจ

พอลกล่าวอย่างทบทวนความจำของตัวเองไปพร้อมกันว่า “แล้วพี่ก็พบว่าตัวเองลืมแว่นกันแดดไว้ที่กระโจมหมอดู เราย้อนกลับไปที่นั่น แล้วหมอดูก็บอกว่า เนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง เพิ่งจะเดินออกไปจากกระโจม”

“ค่ะ ลักษณ์จำได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง จะเป็นเด็กคนนั้นนี่คะ อย่าลืมว่าเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง จะหมายถึงคนไหน เพราะเราเห็นแค่แผ่นหลังของเธอ” ลักษณาจำได้ว่ามีหญิงสาว ๒ คนออกจากกระโจมพอดีในตอนที่เธอไปถึง แต่เธอก็ไม่มีโอกาสเห็นหน้า ได้แค่เห็นแผ่นหลัง เพราะทั้งคู่เดินไปไกลแล้ว จำได้แค่ว่าคนหนึ่งสวมกระโปรง อีกคนสวมกางเกง

พอลส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เพราะวันนั้นเขาได้มีโอกาสเห็นหน้าเธอ แล้วภาพในวันนั้นก็ย้อนกลับมาสู่ความทรงจำอีกครา

‘ผมลืมแว่นตากันแดด ขอโทษครับ’

‘กำลังรออยู่... จะบอกว่าเนื้อคู่ของพ่อหนุ่มเพิ่งจะเดินออกไป’

‘อะไรนะครับ’ ยามนั้นพอลงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเดิมเขาไม่เชื่อเรื่องหมอดูอยู่แล้ว เห็นเป็นเรื่องขำๆ มากกว่า

‘ชอบสาวสวยหน้าตาไทยๆ ไม่ใช่หรือ เธอเพิ่งจะเดินออกไปตะกี้’

แค่ได้ยินสรรพคุณว่าสวย หน้าตาไทยๆ...
พอลก็ไม่อยู่รอฟังจนจบประโยคอีก เขากระโจนออกจากกระโจมอย่างไม่รั้งรอ เห็นว่าทั้งคู่เดินไปไกลแล้ว เขารีบวิ่งแทรกผู้คนเพื่อตามเธอไปให้ทัน จังหวะที่คิดว่าคงจะคลาดกับพวกเธอเสียแล้ว เขาจึงตะโกนออกไปสุดเสียง

‘ช่วยด้วยๆ ไฟไหม้’

ได้ผล...ทุกคนหันมามอง รวมถึงสองสาวนั้นด้วย แค่แวบเดียวที่สบตากันก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเบือนหน้ากลับไป หลังจากพบว่าเป็นแค่เรื่องปาหี่ ไม่ใช่เรื่องจริง เขาก็ได้เห็นแล้วว่าหนึ่งในสองสาวนั้น สวยดั่งที่หมอดูว่าจริงๆ...



“ช่วยด้วยๆ คนตกน้ำ”

พอลตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นที่โป๊ะ

“เกิดอะไรขึ้น” ปากถาม แต่ถลาออกไปโป๊ะท่าเรือเรียบร้อยแล้ว

ลักษณาและเฉิดฉายวิ่งตาม ลักษณาเป็นฝ่ายให้คำตอบว่า “เด็กสาวที่พี่พอลชี้ให้ดูตกน้ำค่ะ มีใครบางคนเบียดกระแทกเธอ ทำให้สะดุดเชือกเลยตกลงไปในน้ำ”

ทว่าพอลไม่ได้อยู่ฟังจนจบประโยค เขาสลัดรองเท้ากระโจนลงไปในแม่น้ำเรียบร้อยแล้ว แค่ได้ยินว่าคนที่ตกน้ำคือเธอ ใจเขาก็หล่นไปอยู่ตาตุ่ม ภาวนาให้หาเธอเจอ และขอให้เธอรอดปลอดภัย

“กรี๊ด...ด” ลักษณาส่งเสียงกรี๊ดยาวเมื่อเห็นพอลกระโจนลงไปในน้ำ ขณะที่คนอื่นๆ บนโป๊ะยังคงหันรีหันขวาง สีหน้าตื่นตระหนกอย่างทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงตะโกนหวีดร้อง ขณะที่ผู้ชายเอาแต่เกาะเชือกโดยไม่มีใครคิดจะกระโดดลงไปช่วย ลักษณาใจหาย รีบหันไปทางเฉิดฉาย สีหน้าตกใจขณะละล่ำละลั่กกล่าวว่า

“คุณเฉิดฉายช่วยไปตามใครที่ว่ายน้ำเก่งๆ ลงไปช่วยพี่พอลหน่อย พี่พอลหายไปเลย ลักษณ์มองไม่เห็นเขา”


******************

1 เทียดหรือเชียด เป็นพ่อหรือแม่ของทวดหรือชวด








Create Date : 10 กันยายน 2558
Last Update : 12 กันยายน 2558 10:18:47 น.
Counter : 762 Pageviews.

14 comments
  
อ๊าย ดีใจจังคุณอุ๋ยมาลงเพิ่มอีก

เหม่! เจ้าเล่ห์จริงคุณพอลเนี่ย ใช้มุกไฟไหม้เพื่อหวังเห็นหน้าสาวชัดๆนี่นะ คิก คิก
โดย: susi IP: 192.99.14.36 วันที่: 11 กันยายน 2558 เวลา:7:13:24 น.
  
สวัสดีค่ะคุณกานต์ อุ๋ยกำลังต้องการตัวช่วยมากๆๆเลยค่ะ


จะเสิร์ชหายังไงดี อยากเห็นลักษณะการพูดคุยของคนในสมัยปี 2400 กว่าๆๆ จังเลยค่ะ ไม่แน่ใจเขาใช้ ข้า เอ็ง (ระดับเดียวกัน) กู มึง(ระดับนายเรียกบ่าว)หรือเปล่า คุณกานต์พอจะชี้แนะได้บ้างไหมคะ ขอบคุณค่ะ
โดย: คณิตยา วันที่: 11 กันยายน 2558 เวลา:7:29:16 น.
  
แค่เริ่มบทนำก็น่าติดตามแล้วค่ะ อ่านแล้วรู้สึกโดนค่ะ ชอบเรื่องแบบบรรยายกาศเก่าๆ มีกลิ่นอายความเป็นพีเรียด
โดย: pantan IP: 171.96.177.215 วันที่: 11 กันยายน 2558 เวลา:10:49:32 น.
  
ขอบคุณมากค่ะ จะลงให้อ่านจนจบรึเปล่าค่ะ อยากอ่านๆๆ
โดย: ดอกฝิ่น IP: 119.63.78.248 วันที่: 11 กันยายน 2558 เวลา:11:20:45 น.
  
ในที่สุด คุณอุ๋ยก็กลับมา พร้อมกับเรื่องใหม่ที่น่าสนใจอีกตามเคย
ขอบคุณค่ะ
โดย: ศิริวรรณ IP: 171.96.139.198 วันที่: 11 กันยายน 2558 เวลา:15:19:16 น.
  
อ่า แค่เริ่มก็สนุกแระ
โดย: Tudtu Sujaree IP: 49.49.228.20 วันที่: 12 กันยายน 2558 เวลา:8:31:29 น.
  
ขอเวลาอ่านแม่พลอย 4 แผ่นดินอีกหน่อยนะคะ กำลังศึกษาวิธีชีวิต สภาพสังคมสมัยปลายร.5 ถึงต้น ร.6 ซึ่งเป็นบริบทสังคมในเรื่องพรหมภพค่ะ รอและอดใจอีกหน่อยนะคะ
โดย: คณิตยา วันที่: 15 กันยายน 2558 เวลา:9:39:00 น.
  
วิถี** ขอแก้คำผิดค่ะ >_< ส่วนที่คุณดอกฝิ่นถาม ลงจนจบเหมือนเคยค่ะ ^_^
โดย: คณิตยา วันที่: 15 กันยายน 2558 เวลา:9:39:53 น.
  
เรื่องใหม่มาแล้ว น่าสนใจอีกตามเคยนะคะ ^_^
โดย: alanta IP: 110.49.207.42 วันที่: 15 กันยายน 2558 เวลา:13:26:39 น.
  
แมนมากค่าคุณพอล
โดย: Kwanita IP: 1.47.41.137 วันที่: 15 กันยายน 2558 เวลา:23:24:07 น.
  
ชอบคะ ติดตามมม และตามติด
โดย: sakeena IP: 125.25.178.136 วันที่: 18 กันยายน 2558 เวลา:11:48:02 น.
  
ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะที่ยังไม่ทิ้งกัน คิดถึงทุกคนค่าาาาา ^_^
โดย: คณิตยา วันที่: 21 กันยายน 2558 เวลา:22:32:59 น.
  
เจ้าเล่ห์ใช่ย่อยตัวเอกของคุณอุ๋ย. เริ่มต้นก็ชวนตามติดซะแล้ว

chai
y0zakung@hotmail.com
โดย: chai IP: 49.49.251.78 วันที่: 23 กันยายน 2558 เวลา:12:18:31 น.
  
ดีจ้า มาทักทายนะจ้ะ sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ
โดย: สมาชิกหมายเลข 4061181 วันที่: 25 สิงหาคม 2560 เวลา:18:23:02 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments