ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้า ที่นิยมใช้งานในปัจจุบันสำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไปนั้น อุปกรณ์หลักๆที่รวมอยู่ในตู้ควบคุมประเภทนี้ จะเป็นอะไรไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เบรกเกอร์ (Circuit Breaker)
ซึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าในตระกูลเบรกเกอร์ ก็มีอยู่ด้วยกันมากมายหลายแบบ แต่มีเพียงแบบเดียวเท่านั้นที่จะนำมาใช้กับตู้ควบคุมประเภทนี้ ซึ่งนั่นก็คือเบรกเกอร์ที่มีชื่อว่า MCB
MCB (Miniature Circuit Breaker) มินิเอเจอร์ เซอร์กิต เบรกเกอร์ เป็นอุปกรณ์ในกลุ่มของสวิทช์ สำหรับ ตัด/ต่อ วงจรไฟฟ้า และยังมีความสามารถในการปลดวงจรไฟฟ้าได้เองอัตโนมัติ เมื่อเกิดกรณี ไฟฟ้าลัดวงจร (Short Circuit) หรือ การใช้กระแสไฟฟ้าเกินพิกัด (Over Load)
MCB ที่จำหน่ายในท้องตลาดนั้น มีผลิตออกมาวางจำหน่ายทั้งแบบ 1, 2, 3, และ 4 ขั้ว (Pole) โดยพื้นฐานแล้วเบรกเกอร์ MCB จะถูกผลิตขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการติดตั้งรวมกับชุดตู้ควบคุมระบบไฟฟ้า อย่างเช่นตู้สวิทช์บอร์ด (Switch Board), ตู้คอนซูมเมอร์ยูนิต (Consumer Unit) และ ตู้โหลดเซ็นเตอร์ (Load Center) เป็นต้น
สำหรับระบบไฟฟ้า 1 เฟส ที่ใช้กันในบ้านทั่วๆไปนั้น จะใช้เบรกเกอร์ MCB แบบ 2 Pole เป็นเมนเบรกเกอร์
และใช้ 1 Pole สำหรับเป็นเบรกเกอร์ย่อย ในส่วนของ 3 Pole กับ 4 Pole จะใช้เป็นเบรกเกอร์ย่อย สำหรับระบบไฟฟ้า 3 เฟส
เบรกเกอร์ MCB แบบ 2 Pole ที่จะนำมาใช้เป็นเมนเบรกเกอร์ ในกรณีของระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักอาศัยทั่วไป มาตรฐานได้กำหนด ค่า IC ของเมนเบรกเกอร์ ต้องไม่ต่ำกว่า 10 kA ซึ่งค่าดังกล่าว คือค่าพิกัดการทนกระแสลัดวงจรสูงสุดของตัวเบรกเกอร์
มาตรฐานของอุปกรณ์
สำหรับแผงควบคุมระบบไฟฟ้าแบบสำเร็จรูป ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ Consumer Unit หรือ Load Center ที่วางจำหน่ายกันในท้องตลาดของบ้านเรา มีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบ แบ่งตามลักษณะรูปแบบของเบรกเกอร์ MCB ที่จะใช้งาน ซึ่งอ้างอิงโดยใช้มาตรฐานที่แตกต่างกัน ได้แก่
- มาตรฐานสหรัฐอเมริกา เป็นแบบที่ติดตั้งด้วยระบบ Plug-On ซึ่งตัวของเบรกเกอร์ที่ติดตั้งเข้าไปบนรางแบบนี้ จะถูกเชื่อมต่อเข้ากับบัสบาร์ที่เป็นทางเดินของกระแสไฟฟ้าทันที ที่มีจำหน่ายกันอยู่ในท้องตลาดบ้านเรา มีหลายยี่ห้อและหลายรุ่น ยกตัวอย่างเช่นของ Square D (Schneider), Bticino, Safe T Cut, Panasonic และอื่นๆ
โดยข้อดีของเบรกเกอร์มาตรฐานสหรัฐอเมริกา อยู่ตรงที่การเชื่อมต่อวงจรจะใช้การเสียบตัวเบรกเกอร์เข้ากับรางรองรับที่ติดตั้งไว้ในตู้ ซึ่งรูปแบบนี้เรียกว่าระบบ Plug-On ช่วยให้การติดตั้งทำได้ง่ายและสะดวก เพราะเพียงแค่เสียบเข้าไปในช่องที่ทำขึ้นมารองรับ ก็จะเป็นการเชื่อมต่อด้านไฟเข้าของเบรกเกอร์ เข้ากับส่วนของตัวนำไฟฟ้าที่อยู่ในรางทันที และทีเหลือก็แค่ขันสกรูเพื่อต่อสายออกไปใช้งาน แต่ข้อเสียของมันคือ มีข้อจำกัดในการจัดแยกวงจรไฟฟ้า หากต้องทำการจัดโดยให้อยู่ในรูปแบบที่นอกเหนือไปจากที่ออกแบบมา ทำให้ไม่สามารถแยกวงจรแบบที่ต่างไปจากเดิมได้
- มาตรฐานกลุ่มประเทศยุโรป เป็นเบรกเกอร์ที่ติดตั้งเข้ากับราง DIN ยกตัวอย่างเช่นของ Siemens, ABB, Schneider, Bticino, Safe T Cut, Panasonic, Moeller, Merlin Gerin, F&G และยี่ห้ออื่นๆอีกหลายยี่ห้อ
โดยที่การติดตั้งเบรกเกอร์แบบนี้ จะต้องต่อสายเข้าเองทั้งด้านเข้าและออก ซึ่งอาจจะทำให้การติดตั้งยุ่งยากกว่าแบบ Plug-On ของอเมริกา และอาจจะมีปัญหาในกรณีที่ต่อพ่วงสายหลายๆเส้น หากการติดตั้งทำได้ไม่ดี มีการเข้าสายที่ไม่แน่น ก็อาจจะเกิดความร้อนสะสมเกิดขึ้นตามมา เมื่อใช้กระแสไฟฟ้าสูงๆ แต่เบรกเกอร์มาตรฐานยุโรป มันก็มีข้อดีตรงที่ให้อิสระในการกำหนดวงจรมากกว่า สามารถจะต่อวงจรในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิมได้ ตามที่ต้องการ
สำหรับในบ้านเรา ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าแบบสำเร็จรูปในกลุ่มของตู้ Consumer Unit ที่ใช้กันภายในบ้านพักอาศัยทั่วไป ส่วนใหญ่จะนิยมติดตั้งตู้ Consumer Unit ระบบ Plug-On มาตรฐานสหรัฐอเมริกา ยี่ห้อ Square D หรือในชื่อใหม่คือ Schneider Electric
ซึ่งอุปกรณ์ควบคุมระบบไฟฟ้ายี่ห้อนี้ มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกา และเป็นที่นิยมในประเทศไทยมาตั้งแต่อดีต ในบ้านเรานั้นถือได้ว่ามีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานหลายสิบปี ส่งผลให้เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ผู้คนในแวดวงไฟฟ้าต่างคุ้นเคยกันดี
และมันทำให้อุปกรณ์ควบคุมระบบไฟฟ้าของยี่ห้อนี้ สามารถหาซื้อได้ง่าย จากร้านอุปกรณ์ไฟฟ้าขายส่งขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ไปจนถึงร้านอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดย่อมที่อยู่ตามต่างจังหวัด ทำให้มันมีความสะดวกในการซื้อหามาติดตั้ง ตลอดจนการซื้อหาอะไหล่ในภายหลัง
จะว่าไปแล้ว จากประสบการณ์และความเห็นส่วนตัวที่ผู้เขียน ได้ประเมินภาพรวมของสินค้ายี่ห้อนี้ ผู้เขียนให้สินค้าในกลุ่มของ Consumer Unit, Load Center รวมทั้งเบรกเกอร์เมนและเบรกเกอร์ของยี่ห้อนี้ อยู่ในระดับที่ดี แต่ก็ยังไม่ถึงกับดีที่สุด