Kabird
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2558
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
22 มิถุนายน 2558
 
All Blogs
 
เที่ยว Hong Kong + Macau 2015 สนุ๊ก~สนุก ตอน 3



  วันที่ 3 ตื่นเช้า แต่งตัวเตรียมพร้อมไวกว่าปกติเพราะวันนี้จะต้องข้ามฟากไปมาเก๊าค่ะ พวกเราเดินจาก Hostel ไปตามถนน Peking road แล้วเดินลงอุโมงค์ Canton road เพื่อจะไปโผล่ Gateway blvd บนถนนเส้นนี้เรียกว่าเป็นย่านแบรนด์หรูล้วนๆเต็มสองข้างทางเลยค่ะ ทั้งยังเป็นย่านธุรกิจการค้า ผู้คนเดินขวักไขว่ว่องไวเพื่อไปทำงานกัน แต่งตัวดูดีเชียว ทำให้นึกถึงอารมณ์ประมาณ 5th av. ที่ New York เลยค่ะ 
เดินมาจนถึง China ferry terminal ด้านนอกก็ธรรมดานะ เกือบเดินเลย แต่พอเข้าไปด้านใน ขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นขายตั๋วแล้ว อู้หู....สะอาดไม่เบา เป็นห้างๆหนึ่งดีๆนี่เอง จุดบริการขายตั๋วมีหลายบริษัทให้เลือก ส่วนประเภทเรือที่ให้บริการก็คือ Turbo Jet boat กับอะไรอีกอันนึงก็ไม่รู้สีน้ำเงินๆดูขรึมๆไฮโซๆหน่อย 










ด้วยความที่อยากไปถึงไวๆ พวกเราเลือกรอบ 10 โมงเช้ากับบริษัททัวร์สีเขียวริมสุด ซื้อแบบ round trip 230 ดอลล์ แต่ขอแนะนำให้ซื้อแบบเที่ยวเดียวนะคะ แม้ว่าซื้อแบบเที่ยวเดียวราคาจะแพงกว่านิดหน่อย เดี๋ยวเล่าให้ฟังค่ะว่าทำไม
แวะกินข้าวเช้าที่ร้าน Cafe de coral ในบริเวณขายตั๋วนี่แหละค่ะ มื้อเช้า Hot dog + ขนมปัง + ปลาทอด + น้ำส้ม 28 ดอลล์ค่ะ ร้านแต่งสไตล์ American breakfast ลูกค้าเยอะ ต้องรีบกินรีบสละที่ให้คนอื่นนั่งด้วยค่ะ

Check in 15 นาทีก่อนเรือออก มี ตม.เช็ค passport ตรวจขาออกด้วยนะคะ ประหนึ่งว่าเราออกจากประเทศนี้ เพื่อไปอีกประเทศนึงอ่ะค่ะ เรือมี 2 ชั้นค่ะ VIP ที่จ่ายแพงก็จะอยู่ชั้นบน ส่วนอีชั้นงบน้อย เจียมตัวนั่งชั้นล่างพอ... ถึงแม้ว่าตั๋วจะเจาะจงที่นั่งไว้แล้ว แต่พอเรือออกก็สามารถสลับที่กันได้ค่ะ พวกเราจึงย้ายไปนั่งติดหน้าต่าง 

ในอดีตมาเก๊าเป็นเพียงหมู่บ้านเกษตรกรรมและประมงเล็กๆโดย จีนกวางตุ้งและฟูเจี้ยนเป็นชนชาติดั้งเดิม จนมาถึงต้น คศ.ที่ 16 ชาวโปรตุเกสเดินเรือเข้ามาเพื่อติดต่อค้าขายและสร้างอาณานิคม พร้อมทั้งนำเอาความเจริญรุ่งเรืองด้านสถาปัตยกรรม ศิลปะวัฒนธรรมตะวันตก ทำให้ผสมผสานวัฒนธรรมกันอย่างลงตัวจนเรียกได้ว่า มาเก๊าคือยุโรปใจกลางเอเชีย 



ระยะเวลาจากฮ่องกง-มาเก๊า 1 ชั่วโมงพอดิบพอดี เทียบท่าเรือ Macau Ferry Terminal & Heliport เวลา 11 โมงเช้า ผ่าน ตม. ขาเข้ามาเก๊า เดินออกมาขวามือเป็น Information center สวรรค์ทรงโปรด นี่แหละที่ต้องการ พวกเราถามๆๆๆๆๆๆๆเจ้าหน้าที่ นางส่ง Macau map มาให้จึงถึงบางอ้อว่าที่นี่ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆคือ
- Macau
- Taipa
- Coloane 
สถานที่ท่องเที่ยวที่เตรียมไว้ จึงจำเป็นต้องไปทั้ง 3 เกาะเลยค่ะ เจ้าหน้าที่ใจดีมาก อธิบายด้วยความเอาใจใส่ บอกสายรถเมล์ที่จะต้องนั่งอย่างละเอียด แถมบอกพวกเราว่าเมื่อเที่ยวเสร็จที่เกาะอื่นแล้ว ไม่ต้องย้อนกลับมาที่นี่ สามารถขึ้นเรือกลับฮ่องกงที่ท่าเรือ Taipa Temporary Ferry Terminal ได้เลย...แต่พวกเราดันซื้อตั๋วไป-กลับที่ท่าเรือ Macau แล้วอ่ะยังไงๆก็ต้องย้อนกลับมาที่นี่เพื่อขึ้นเรือ และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องซื้อตั๋วแค่รอบเดียว!!! 

เรื่องสกุลเงินไม่ต้องกังวลนะคะ พวกเรามาแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวเล๊ยว่าเค้ามีสกุลเงินมาเก๊า ซึ่งเราใช้เงินดอลล่าร์ฮ่องกงจ่ายได้เลย แม่ค้าเค้าก็จะทอนมาเป็นเงินมาเก๊านั่นแหละค่ะ ใช้ปะปนกันไป 



1. Ruins of St.Paul's 
คือที่แรกที่เราจะไปค่ะ ขึ้นรถเมล์สาย 3 ( 3.2 ดอลล์) ไปลงที่ป้าย Av.Almeida Ribeiro ด้วยความที่กลัวลงผิดป้าย จึงจ้องชื่อป้ายรถเมล์แต่ละป้าย + ดูตามในแผนที่ + ฟังค่ะ (รถเมล์พูด 3 ภาษาด้วยกันคือ จีน อังกฤษ และอีกภาษาเดาว่าน่าจะเป็นโปรตุเกสนะเพราะเคยเป็นเมืองขึ้น) ถ้ายังกลัวหลงอีกก็ให้สังเกตุป้ายที่คนแห่กันลงเยอะๆอ่ะค่ะ 



ข้ามฝั่งมา คือ เซนาโด้สแควร์ หรือ เซ็นเตอร์พอยท์มาเก๊า (Senado square) เป็นเวิ้งกว้างๆ มีน้ำพุตรงกลาง อาคารบ้านเรือนสภาพเก่าแก่สีออกโทนเหลือง สถาปัตยกรรมยังคงไว้ซึ่งอารยธรรมโปรตุเกส โดดเด่นด้วยพื้นถนนที่ปูด้วยกระเบื้องเป็นลอนคลื่น สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร คอยบริการนักท่องเที่ยวค่ะ ขอบอกว่ามีแบรนด์ไทย NARAYA ด้วยนะคะ เป็นไงล่ะพี่ไทยโกอินเตอร์ 
อย่าลืมกินขนมพื้นเมืองมาเก๊า ทาร์ตไข่ และ ขนมทองพับห่อสาหร่าย นะคะ (ที่บอกเพราะกรูพลาดไง เที่ยวเก็บแต้ม check in จนไม่มีเวลากินข้าวเที่ยงเลย จะเป็นลม)






เดินตามป้ายไปไม่นานก็เจอ Ruins of St.Paul's หรือ ซากโบสถ์เซนต์ปอล เดิมเป็นโบสถ์คาทอลิคที่สำคัญในมาเก๊า เคยเป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งแรกของชาวตะวันตกในดินแดนตะวันออกไกล ต่อมาถูกเพลิงไหม้และพายุไต้ฝุ่นถล่มในปี 1835 จนเหลือแต่เพียงซากประตูและบันไดทางเข้าด้านหน้าค่ะ 



ระหว่างที่รอน้องสุนั่งวาดรูป กะเบิ๊ดก็เลยเดินถ่ายรูปเล่นไปพลางๆ เข้านู่นออกนี่ไปเรื่อย เดินๆอยู่หลุดเข้าไปย่านที่อยู่อาศัยของชาวมาเก๊าก็แปลกตาดีค่ะ ตึกเก่าๆหลายๆชั้น อยู่กันอย่างเงียบๆ มีทั้งรถมอ'ไซค์ รถยนต์ ป้ายทะเบียนภาษาอังกฤษ 
สิ่งที่น่าสนใจในแถบนี้ก็คือ



- Section of old city wall กำแพงเก่าแก่โปรตุเกสค่ะ



-Na Tcha Temple วัดจีนเล็กๆ สร้างเมื่อปี 1888 เราเดินเข้าไปดูผ่านๆแป๊บเดียวเอง มีเจ้าหน้าที่ 1 คนพูดภาษาจีนกับเรา ฟังไม่รู้เรื่องก็เลยยิ้มๆรับไว้ค่ะ :) 






- St. Anthony's Church ซึ่งแรกเริ่มก่อสร้างด้วยไม้ไผ่และไม้ ในปี 1558 ซึ่งเป็นหนึ่งในโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า  ต่อมาได้ซ่อมแซมด้วยการใช้หินแทนไม้ค่ะ ข้างนอกธรรมดา แต่ข้างในสัมผัสกลิ่นอายได้ถึงความเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ค่ะ 



- Lar Nossa Senhora Da Misericoro ไม่รู้ว่ามันคือตึกอะไรแต่สร้างขึ้นเมื่อ 1925 ค่ะ 
ดูเวลาสมควรจะต้องเดินทางต่อละ จึงกลับไปหาน้องสุที่ park เห็นคู่หนุ่มสาวจีนถ่าย pre-wedding กันสวยงาม เสียอย่างเดียววันนี้อากาศร้อนมากเป็นพิเศษ ถ่ายรูปออกมาอาจตาหยีนะจ้ะ^^



2. Statue of goddess A-MA
เดินไปขึ้นรถเมล์ฝั่งตรงข้ามป้ายที่เราลงอ่ะ จุดหมายต่อไปคือ PAI VAN ซึ่งอยู่ในเขตของ Coloane ไกลสุดอ่ะค่ะ นั่งรถเมล์สาย 26A (6.4ดอลล์)
นั่งไปเหอะ ชั่วโมงนิดๆกว่าจะถึงจุดหมาย 
ด้วยความที่เราลงผิดป้าย (ลงก่อน 1 ป้าย) ก็เลยเดินขึ้นไปเรื่อยๆผ่าน 
สวนแพนด้า (ดูจากแผนที่น่าจะเป็น Macau Giant Panda Pavillion) แวะเข้าห้องน้ำซะเลย ที่นี่เงียบมาก! เห็นแค่พนักงาน 3 คนเท่านั้นเอง เอ...หรือว่านักท่องเที่ยวอยู่ข้างในกันหมดน๊า



จากนั้นพวกเราเดินออกมาจากสวนแพนด้าอีกไม่ไกลก็เจอ Seac Pai Van Park มีรถตู้จอดอยู่บริการรับ-ส่ง ขึ้นไปวัดอาม่า (Statue of the goddess A-MA) ซึ่งพี่คนขับต้องรอให้นั่งเต็มก่อนนะแล้วถึงออกเดินทาง (ประหยัดน้ำมันไง) พี่แกขับรถเฟี้ยวฟ้าวมากเลยค่ะ คือชินทางแล้ว     เหยียบๆใส่โค้งกี่โค้งก็บ่ยั่น^^ 



วัดอาม่าตั้งอยู่บนเชิงภูเขา เงียบสงบ อาจเป็นเพราะอยู่ไกล เดินทางมาถึงลำบากหน่อย และต้องตั้งใจมาจริงๆถึงจะมาที่นี่ได้ เพื่อมานมัสการขอพรเจ้าแม่ทับทิม ยังไม่หมดแค่นั้นนะคะ มีทางเดินขึ้นเขาอีกทางที่พวกเราเห็นนักท่องเที่ยวเดินไป ก็เลยเดินตามๆเค้าไปเรื่อยๆ พอขึ้นมาถึงด้านบน โอ้วว๊าววว รูปปั้นเจ้าแม่ทับทิมสีขาวสูงเด่นตั้งตระหง่านหันหน้าไปทางเมือง Coloane มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นแหล่ง Casino มาเก๊าได้อย่างชัดเจนเลยค่ะ







***กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  ขอขยายความอย่างรุนแรง วัดที่เราขึ้นมาบนเชิงเขานี้แท้จริงไม่ใช่วัดอาม่าค่ะ แต่วัดอาม่า(A-Ma temple)จริงๆอยู่ในเมืองทางตอนใต้ของมาเก๊า ชั้นเพิ่งจะรู้ก็ต่อเมื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมที่จะเขียนบล๊อกตอนกลับมาไทยแล้วนี่แหละเพราะพิกัดมันคนละโซนกันเลย โอ๊ะๆโก๊ะได้อีก...ก็เชื่อเจ๊เจ้าหน้าที่ information center ที่เราถามทางตอนเราขึ้นจากท่าเรือนั่นแหละ*** เซ็งเบยๆ ไม่เป็นไร เจ้าแม่ทับทิมขาวบนเชิงเขานี้ก็งดงาม สวยสูงใหญ่ศักดิ์สิทธิ์เช่นกันค่ะ ><



3. The Venetian Resort Casino 
นั่งรถเมล์สาย 26A เช่นเคย (4.2ดอลล์) ย้อนกลับมาลงที่ป้ายหน้า Venetian เลยค่ะ 
ที่นี่เป็นที่เลื่องลือว่าเป็น Casino หรูหราระดับ 5ดาวตัวแม่ที่ใครไม่มาถือว่าไม่ถึงมาเก๊านะคะ ต้องมาให้ได้ไม่งั้นเชยค่ะ ก็เพราะว่าที่นี่จำลองเมือง Venice แบบ indoor ของอิตาลีไว้ที่ชั้น 2 ภายในตัวอาคาร ซึ่งจำลองท้องฟ้าแบบ3D งามแปลกตาแท้ๆ ตื่นตาตื่นใจตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วล่ะค่ะ เรือกอนโดร่าล่องตามคลองประดิษฐ์ ซึ่งฝีพายสามารถร้องเพลงได้อย่างไพเราะเชียวค่ะ 






ภายใน Venetian Resort ตกแต่งด้วยสีทองอร่าม บรรยากาศเหมือนอยู่ในพระราชวังยุโรปยังไงยังงั้น แบ่งเป็นโซนเล่นพนัน ช็อปปิ้ง และร้านอาหารค่ะ 
ไม่รู้ว่ามีทั้งหมดกี่ชั้น ด้วยความที่เรามีเวลาน้อย ก็เลยขึ้นไปแค่ชั้น 2 ค่ะ ถ่ายรูปแป๊บๆก็ต้องเดินทางกลับไปที่  Macau Ferry Terminal & Heliport เพื่อให้ทันเรือรอบ 5 โมงเย็นค่ะ 



นั่งรถเมล์สาย 26A (4.2ดอลล์)ข้ามสะพาน Macau-Taipa bridge แล้วลงป้ายแรกเลย จากนั้นต่อสาย 3 (3.2ดอลล์) สายนี้จะตรงไปที่ท่าเรือเลยค่ะ แค่2-3 ป้ายก็ถึงแล้ว และไม่ต้องกลัวหลงเพราะเป็นป้ายสุดท้ายของสายนี้เลย 
พวกเราวิ่งกันตับแล๊บ จะทันมั๊ยยยยยย อีกไม่กี่นาทีก็ 5 โมงเย็นละนะ เค้าไม่อยากกลับรอบต่อไปเพราะต้องรออีกตั้ง 1 ชั่วโมงอ่า 
ในที่สุด...พระเจ้าช่วยกล้วยทอด อีชั้นวิ่งมาทันคร้า^^ ได้กลับสมใจ



ด้วยความที่พวกเรามีเวลาไม่มาก สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจบางอย่างก็ถูกตัดออกไปจากโปรแกรม เช่น วัดอาม่า (A-Ma temple) คือความจริงอันนี้ไม่รู้มากกว่า 555+ , พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านไทปา ซึ่งเป็นอาคารทรงโปรตุเกสสีเขียวคลาสสิคทั้งหมด 5 หลัง บริเวณด้านหน้ามีถนนสายโรแมนติกของทุกคู่รัก Romance street บรรยากาศร่มรื่นสวยงาม






4. Tsim Tsa Tsui waterfront บริเวณ Victoria harbour  
นั่งเรือข้ามฟากกลับมาถึงฮ่องกงตอน 6 โมงเย็น ผ่าน ตม ก็เป็นอันเสร็จสิ้น 
จากนั้นนั่ง subway จาก Canton ไป East Tsim Tsa Tsui แค่ป้ายเดียว (4.5 ดอลล์) 
เดินโผล่ออกมาที่จิมซาจุ่ยวอเตอร์ฟร้อนท์ (Tsim Tsa Tsui waterfront) หันหน้าไปทาง Victoria harbour แล้วเดินบนถนน Avenue of stars (ออกแบบคล้ายกับ Walk of fame ที่ Hollywood, LA อเมริกานู่น) ทำดีทีเดียวค่ะถึงแม้ทางเดินจะไม่ยาวเท่า Hollywood แต่ถ้าเทียบกับระดับเอเชียก็ได้อยู่ บวกกับติดอ่าวอากาศดี๊ดีค่ะ 






























มีรูปลายพิมพ์มือบนแผ่นจารึกของบุคคลสำคัญๆในวงการภาพยนตร์ฮ่องกง อาทิ Bruce Lee, เฉินหลง, หลิวเต่อหัว, โจวชิงฉือ, โจวเหวนฟะ และรวมถึงมีรูปปั้นจำลองรางวัลภาพยนตร์ฮ่องกงต่างๆ ที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือ รูปปั้นเท่าตัวจริงของ Bruce Lee ดาราหนังกังฟูชื่อดังค่ะ 






เหนื่อยเฟ้ยย ขอบ่นหน่อย นั่งพักแป๊บด้วยนะ เจอปลาหมึกยักษ์ปิ้งพร้อมบดให้แบนราคา 30 ดอลล์ พวกเราซื้อมาลองชิมดู อืมม รุ็สึกว่าจะจืดกว่าปลาหมึกย่างไทยนะ 555+



ไหนๆก็นั่งทอดน่องกันละ วันนี้ก็เลยดู The symphony of lights เป็นคืนที่ 2 คนดูเยอะเหมือนเดิม เดินเล่นรอบๆบริเวณ habour มีลานเก้าอี้ให้นั่งดูเป็นเรื่องเป็นราว คือเป็นบันไดเดินขึ้นไปนั่งชั้น 2 จะได้มองเห็นในมุมชัดๆด้วยอีกมุมค่ะ 






มองเหลือบมาด้านหลังของลานนั่งคือ หอนาฬิกา Tsim Tsa Tsui clock tower เดิมเป็นส่วนหนึ่งสถานีต้นทางรถไฟสายเก่าเกาลูน-แคนตัน (KCR) สร้างเมื่อปี 1915 ทำจากอิฐแดงและหินแกรนิต สูง 44 เมตร เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงสมัยอาณานิคม ปัจจุบันพื้นที่นี้ได้กลายเป็นที่ตั้งของศูนย์วัฒนธรรมฮ่องกงค่ะ 






ส่วนโซนขวามือของหอนาฬิกาคือ Hong Kong cultural centre รูปร่างฐานเป็นสามเหลี่ยมซี่ๆ โอย...สถาปัตยกรรมโมเดิร์นๆที่ฮ่องกงนี่มันช่างเท่ห์ซะเหลือเกิน ชอบๆนี่ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงดีไม่น้อยจะได้เข้าไปดู art ของเค้า 

การแสดงแสงสีเสียงจบ แต่คนไม่จบ นักท่องเที่ยวยังคงเดินเล่นชมความงามของเกาะฮ่องกงยามค่ำคืน ไม่ว่าจะเป็นตึกสวยๆ ถ้ามองฝั่งฮ่องกงดีๆจะเห็นตึก HKCEC ซึ่งเป็นศูนย์ประชุมและ โกลเด้น โบฮิเนีย สแควร์ (ดอกชงโคบานไม่รู้จบ) โดดเด่นด้วยม่านกระจกขนาดใหญ่และหลังคาอลูมิเนียม 40,000 ตร.ม. ก่อสร้างอย่างแม่นยำเพื่อสะท้อนเสียงนกทะเลที่บินขึ้นสู่ยอดฟ้า ใช้เทคนิคก่อสร้างอาคารจากบนลงล่างเพื่อแก้ปัญหาความท้าทายเรื่องที่ดินอันจำกัด เทคนิคนี้จัดเป็นความก้าวหน้าชั้นสูงจนได้รับรางวัลจากหลายอุตสาหกรรม มีรูปปั้นโบฮิเนียซึ่งรัฐบาลกลางจีนได้ส่งให้เป็นของขวัญแก่ฮ่องกงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการส่งมอบคืนในปี 1997 ที่ฮ่องกงได้กลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวกับแผ่นดินแม่หลังจากที่ต้องแยกกันกว่า 150 ปีค่ะ อ้อ...มีอนุสาวรีย์ที่จารึกลายมือประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมินและในทุกๆเช้าจะมีพิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาค่ะ 
เพลิดเพลินอยู่สักพักเหลือบไปเห็นเรือสำเภาโบราณ Duk Ling ใบเรือสีแดงสด และเรือ Ferry ต่างๆท่องในยามค่ำคืนทำให้อ่าวนี้มีชีวิตชีวาคึกคักตลอดเวลา 




จ๊อกกกก จ๊อกกกกก ท้องป้าร้องแว๊ววว หิวโซมั่กๆเลยชวนน้องสุไปกินข้าวที่ Ladies market นั่ง subway จาก Tsim tsa Tsui - Mong Kok (5 ดอลล์) โผล่ subway ออกมาเหมือนคนละโลกกับเมื่อกี้เลย นี่มัน China town ดีๆนี่หว่า แผ่นป้ายร้านรวงติดกันตลอดแนวแออัดจนมึนงง เอ่อ..คือจะเดินไปทางไหนดี เอ้าเดินมั่วๆละกัน เข้าซอยนู้นโผล่ซอยนี้... จบกันที่ร้านโจ๊ก ร้านเล็กๆสว่างๆที่มีแต่ภาษาจีนเห็นลูกค้าเยอะดี ทั้งนั่งกิน ทั้งยืนรอซื้อกลับบ้าน เอาร้านนี้แหละสงสัยคงอร่อย และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อร่อยจริงๆค่ะ เราสั่งโจ๊กปลา + ปาท่องโก๋ยักษ์ + ทาร์ตไข่(ซื้อร้านข้างๆ) กว่าจะสั่งอาหารรู้เรื่อง ทั้งภาษาใบ้ทั้งภาษามือ ชี้โบ๊ชี้เบ๊ แม่ค้าทนไม่ไหวก็เลยเอาเมนูภาษาจีน+อังกฤษบรรทัดล่างเล็กๆมาให้ เจ๊มีเมนูอังกฤษก็ไม่เอามาตั้งแต่แรก ><
อาหารฮ่องกงอร่อยค่ะแต่เค็ม กรุณาอย่าเพิ่งปรุง ชิมก่อนนะคะ 









กินเสร็จเดินเลือกซื้อของสักพัก ที่นี่เป็นแหล่งช็อปด้านไอที มือถือ กล้องถ่ายรูป และแฟชั่น เดินๆอยู่เห็นคนชุดเหลืองมายืนประท้วงการเมืองเย้วๆกลางถนนเลย อืม...รู้สึกว่าต้องกลับ Hostel แล้วล่ะตาลาย
พอได้น้ำหอมที่เจ้านุเพื่อนสุกี้ฝากซื้อ ก็เป็นอันกลับที่พักค่ะ นั่ง subway จาก Mong Kok - Tsim tsa Tsui 5 ดอลล์ค่ะ 






เที่ยงคืนครึ่งเคลิ้มๆใกล้หลับละ ญาติสุกี้ไลน์มาให้ไปกินข้าวที่ร้านอาหารไทยของพี่เค้า ครั้นจะปล่อยให้น้องนั่ง Taxi ไปคนเดียวก็เป็นห่วงอ่ะ 
ไปๆมาๆก็เลยไปด้วยกันทั้งคู่แบบง่วงๆหน้าสดนี่แหละ บอกพิกัด Taxi แค่ 3 วลีคือ :  ซ้ำสุยโป๋...ส่นเหล่งโต่...ต้งซ้าโต่ก้าย
พี่แกก็บึ่งไปทันทีเลยจ้า ขนาดขับไวยังรู้สึกว่าไกลเลย ><



ญาติสุกี้เปิดร้านอาหารไทยเล็กๆ (ไม่มีชื่อกำลังตั้งอยู่) ตรงหัวมุมตรงข้ามกับ park มีลุงแก่ๆมาเล่นหมากรุก หมากฮอตกัน 
มองไปรอบๆซ้าย-ขวาเป็นที่จอดรวมเหล่า Taxi นี่นา 
พี่เจนนี่+แฟน ทำอาหารเองเสริฟเอง แนวปิ้ง ย่าง อีสานๆ รสแซบ + เบียร์ ไวน์ ด้วยความที่ร้านเล็กมาก โต๊ะนั่งมี 2 โต๊ะ กินกันหน้าร้านริมฟุตบาทเลยจ้าา
ลูกค้าอีกโต๊ะเป็นอาตี๋วัยรุ่น กินเก่งมาก สั่งเรื่อยๆๆๆ พอเผ็ดร้อนหน่อยถึงกับถอดเสื้อเลย 
โอยยย คันทั้งตัวเหลือเกิน ขอยาจุดกันยุงหน่อยค่ะ ยุงกัดเค้าอ่าาา ปรากฎว่าพี่ๆบอกว่าที่ฮ่องกงไม่มียุง จะมีก็ตัวไรตัวหมัด อ้าว! ซวยหนักกว่าเดิมละ ผื่นขึ้นเต็มตัวนี่นึกว่ายุงที่แท้เป็นตัวไร :( 
สักพักฝนตกปรอยๆ พวกเราต้องย้ายโต๊ะมาใต้กันสาด 
พี่ๆปิกร้านประมาณตี 4 นึกว่าจะแยกย้ายกลับไปนอน...ไม่ค่ะ นางพาพวกเราไปต่อที่คาราโอเกะไทย ย่านคนไทยเยอะๆอ่ะไม่รู้ว่าที่ไหน แต่นั่ง Taxi นานมากๆ






หน้าร้านปิดเงียบสงบ แต่มีประตูรูเล็กๆข้างๆเปิดได้ เข้าไปปุ๊บ มืดเหมือนเดิมปั๊บ อ้าวนี้มันผับดีๆนี่เอง คนไทยล้วนๆ ร้องคาราโอเกะ นั่งดื่ม นั่งดริ้งค์ ครื้นเครง แต่เดี้ยนนั่งตาจะปิด ง่วงมาก!!! 
พี่แกพามาดูสังคมไทยอีกแบบนึงที่ไม่เคยเห็น ประมาณว่า unseen Thai people in HK นั่นเอง555+ 




นั่งอยู่ประมาณชั่วโมงนึง เดินกลับออกมา เปิดประตู อุ๊ต๊ะแม่เจ้า!!! สว่างคาตาเวลา 6 โมงเช้าตรู่วันใหม่ เอิ่ม...คือชั้นยังไม่ได้นอนเล๊ยย
พี่ๆส่งขึ้น Taxi ขอบคุณมากๆค่ะที่ดูแลพวกเราพามาเที่ยว พอถึง Hostel ปุ๊บก็น๊อคเลย บ๊าย~บายชาวโลก คร๊อกฟี๊ ZZzzzz




Create Date : 22 มิถุนายน 2558
Last Update : 27 มิถุนายน 2558 0:05:46 น. 4 comments
Counter : 2289 Pageviews.

 
ราคา 28 U$ คนเดียวหรือกี่คนครับ.. เผื่อมี
โอกาศได้ไปมั่งครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 22 มิถุนายน 2558 เวลา:9:18:05 น.  

 
เขียนได้สนุกมาก. ขอบคุณครับ


โดย: ยงยุทธ IP: 27.55.128.202 วันที่: 22 มิถุนายน 2558 เวลา:9:51:06 น.  

 
28 ดอลล์ นี่สำหรับ 1 คนค่ะ ^^


โดย: Kabird วันที่: 22 มิถุนายน 2558 เวลา:23:18:32 น.  

 
ขอบคุณมากๆค่ะคุณยงยุทธที่ติดตาม ^^ แวะมาอ่านเรื่อยๆนะคะ


โดย: Kabird วันที่: 22 มิถุนายน 2558 เวลา:23:19:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kabird
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Friends' blogs
[Add Kabird's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.