คำถาม คือ แล้วคดีต่าง ๆ ที่ดำเนินการไปตั้งแต่ก่อน ๒ ก.พ.๕๗ เป็นพันคดี จะต้องดำเนินการต่อไปหรือไม่ เพราะเลือกตั้งเป็นโมฆะแล้ว
คำตอบ คือ ต้องดำเนินการต่อไป เพราะ เลือกตั้งโมฆะ ไม่ได้ยกเลิก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งไปด้วย ความผิดที่สำเร็จ ก็ผิดอยู่อย่างนั้น แม้จะมีการวินิจฉัยว่า การเลือกตั้งโมฆะก็ตาม
ปล. นี่คือ คำพิพากษาศาลฎีกา ที่คัดลอกมาจากเว็บไซต์ของศาลฎีกา ที่เป็นตัวอย่างการพิจารณาดำเนินการของพนักงานสอบสวน ที่จะต้องเสนอสำนวนสั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้องแล้วแต่กรณีครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11850/2554 |
|
พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2549 มาตรา 4 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน 2549 การที่จำเลยรับบัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่ออย่างละ 1 ใบ จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง จากนั้นจำเลยชูบัตรเลือกตั้งสองใบ พร้อมกับพูดว่า "ผมขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 65" แล้วฉีกบัตรเลือกตั้งทั้งสองใบทันทีในวันดังกล่าว ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งทั่วไปตาม พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2549 โดยขณะนั้นการเลือกตั้งยังมีผลในทางปฏิบัติอยู่ เมื่อจำเลยจงใจฉีกบัตรเลือกตั้งอันเป็นการกระทำด้วยประการใดๆ ให้บัตรเลือกตั้งชำรุดหรือเสียหายหรือให้เป็นบัตรเสีย การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 มาตรา 108 ที่บังคับใช้อยู่ในขณะเกิดเหตุแล้ว แม้ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มีผลเป็นการเพิกถอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามประกาศผลการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้งดังกล่าว ตามคำวินิจฉัยที่ 9/2549 ของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ขณะเกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุเป็นวันเลือกตั้งตามกฎหมายและกระบวนการเลือกตั้งที่ดำเนินการให้มีการลงคะแนนโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งของกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งก็เป็นไปโดยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเช่นเดียวกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของจำเลย คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหาได้มีผลเป็นการลบล้างว่าไม่มีการกระทำของจำเลยเกิดขึ้นในวันดังกล่าว หรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามกฎหมายแต่ประการใดไม่ กรณีไม่ต้องด้วย ป.อ. มาตรา 2 วรรคสอง
แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 หมวด 3 ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา 65 บัญญัติว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้" แต่บทบัญญัติมาตรา 28 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติในหมวดเดียวกันได้บัญญัติไว้ด้วยว่า "บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน" ดังนั้นการใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีดังกล่าวต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายด้วย
1. การดักฟังถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน เหตุที่จะนำมาใช้ได้ต้องเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติเท่านั้น
2. การดักฟังข้อมูลถือเป็นความลับ และใช้เป็นพยานหลักฐานในศาลได้ ย่อมขัดต่อหลักการสอบสวนต้องมีการแจ้งสิทธิให้ผู้กระทำความผิดได้ทราบก่อน
3. ปัจจุบันมีหน่วยงานของรัฐใช้วิธีการดักฟังบ้าง จะต้องแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อหลักประกันในการตรวจสอบการใช้อำนาจโดยมิชอบ
4. การนิยามองค์กรอาชญากรรม ไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ ที่จะต้องพิสูจน์ถึงการดำเนินงานขององค์กร และเคยถูกดำเนินคดีอาญามาก่อน ซึ่งตามกฎหมายสหรัฐองค์กรอาชญากรรม RICO คือ องค์กรอาชญากรรมในหน่วยงานของรัฐ ที่มีอำนาจตามกฎหมายไม่ใช่หรือ แต่ไทยกลับตีความว่ามีกระทำความผิดเกี่ยวข้อง 3 คน ก็กลายเป็นองค์กรอาชญากรรม นักเลงปากซอย วินมอเตอร์ไซด์ กลายเป็นผู้มีอิทธิพล จำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษมารื้อบุกค้นบ้านออกทีวี และต้องถูกริบทรัพย์ มันเป็นเรื่องน่าอับอายที่รัฐและนักกฎหมายช่วยกันหลอกหลวงประชาชน รวมถึงศาลที่เห็นดีเห็นงามกระทำการริบทรัพย์ของบุคคลที่สาม เพราะผลประโยชน์จากเงินที่ได้ แต่คดีนักการเมืองข้าราชการที่คอรัปชั่นกลับไม่สามารถริบทรัพย์ทางแพ่งได้ และนำความผิดฟอกเงินมาใช้ภายในประเทศ มันเป็นเรื่องหลอกหลวงประชาชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก บังคับมาเกือบจะ 20 ปีแล้ว รัฐจะบังคับใช้กฎหมายอุบาทว์แบบนี้ต่อไป มันจะกลายเป็นระเบิดเวลาที่ประชาชนได้รู้ความจริง กระบวนการยุติธรรมคงไม่มีความหมายอีกต่อไป และกฎหมายที่เป็นความลับ มันจะถือว่าเป็นกฎหมายหรือไม่ ทำไมถึงปล่อยให้องค์กรระหว่างประเทศมาย่ำยี้ประชาชน ทำการทดลองทฤษฎีนวนิยายบ้าบอ ชีวิตมนุษย์เวลาที่ผ่านไปแล้วมันไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ การจะนำวิทยาการณ์สมัยใหม่มาใช้ กฎหมายพื้นฐานเราต้องเข้มแข็งก่อนที่จะเอากฎหมายพิเศษมาใช้เสริม