All Blog
|
Italy [Review] Part 11: Milan เที่ยว Duomo ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี และ 15 นาทีกับ The Last Supper มิลาน l Milan เที่ยว Duomo ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ประสบการณ์ 15 นาทีกับภาพ The Last Supper และชอปปิ้งกระเป๋าฉีกที่เมืองแห่งแฟชั่น เยี่ยมชม blog ก่อนหน้า มิลานเป็นเมืองใหญ่อันดับสองในอิตาลีรองจากอันดับหนึ่งคือเมืองหลวง โรม ก่อนหน้าที่จะมารวมเป็นประเทศอิตาลี มิลานก็เป็นเมืองภายใต้จักรวรรดิโรมัน ในยุคกลาง มิลานรุ่งเรืองมากจากการค้าขายและเป็นศูนย์กลางทางการเงินการธนาคาร พอมารวมเป็นประเทศอิตาลีในปี 1859 มิลานก็เป็นเมืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอิตาลี แม้จะได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างหนัก เมืองนี้ก็กลับมา boom ได้อย่างในปัจจุบัน ในด้านแฟชั่นเป็นที่รู้กันดีว่าเมืองนี้เป็นเมืองแฟชั่นขนาดไหน ขอบอกว่าพอไปเที่ยวจริงก็ได้เห็นกับตาค่ะ คนเมืองนี้แต่งตัวกันดีจริงๆผิดไปเลยกับเมืองอื่นๆที่ในอิตาลี ในด้านศิลปะวัฒนธรรม Duomo ที่มิลานนี้ก็โด่งดังมาก ทั้งยังเป็นโบสถ์ที่ใหญ่อันดับ 5 ของโลกเลยด้วยแหละ (อันดับหนึ่งคือ St.Peters Basilica ที่วาติกัน) นอกจากนั้นยังมีภาพของ Leonardo da Vinci The Last Supper อยู่ที่มิลานด้วย หลังจากนั่งรถไฟประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งจากเวนิสมามิลาน เชคอินเสร็จเรียบร้อย จึงมีเวลาประมาณไม่ถึง 1 วันเต็มที่นี่ค่ะ ลองตามมาดูกันว่า Jellyjourney ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง 11.00: Duomo di Milano Duomo สุดท้ายของทริปนี้ แต่เป็น Duomo ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีเลยค่ะ โบสถ์นี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1386 เป็นโบสถ์สไตล์กอทิค ดูได้จากยอดที่แหลมๆ ใช้เวลาสร้าง ปรับปรุงแก้ไข ต่อเติม หลายร้อยปี นับว่าเสร็จจริงๆก็ปี 1965 นี่เองค่ะ โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ที่ Napoleon Bonaparte สวมมงกุฎขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอิตาลีในปี 1805 ด้วยนะ Zoom Zoom ไปใกล้ๆ ปูนปั้นที่ผนังด้านนอก ประตูค่ะ ด้านในของ Duomo ใหญ่มากๆ แต่ค่อนข้างจะมืดค่ะ กระจกประดับด้วย stained glass สวยงาม พื้นก็ปูด้วยหินอ่อนเป็นลวดลาย.. duomo เข้าฟรีนะคะ ไม่เก็บค่าเข้าชมค่ะ แต่ถ้าใครจะลงไปชม Crypt ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เวลาเปิดปิดตามด้านล่างเลยค่ะ Monday Friday: 8.00 22.00. Last ticket at 21.00.Last admission 21.10 การเดินทางง่ายมากๆ นั่งรถใต้ดินมาที่สถานี Duomo บนสาย 1 และสาย 3 ถนนแถว Duomo มีการประดับธงชาติ เตรียมงาม world expo 2015 เห็นธงชาติไทยด้วย 13.00: Galleria Vittorio Emanuele II ห้างเก่าแก่ใกล้ๆ Duomo ค่ะ สิ่งที่เราสนใจมากกว่าร้านขายของ brandname ในห้างนี้แล้ว สถาปัตยกรรมของห้างนี้สวยมากเลยค่ะ ก่อนมาก็ดูรูปมาอย่างดี ซุ้มทางเข้านี่สวยมากยังกะซุ้มประตูชัยประมาณนั้น มาถึงจริงๆ อึ้งไปเลยค่ะ เพราะซุ้มทางเข้ากำลังต่อเติมอยู่ แต่ที่น่าตกใจมากกว่าคือมีป้ายโฆษณาของ H&M ที่มีรูป David Beckham ใหญ่มากๆๆ คิดในอีกแง่นึงก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะอาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เห็นภาพนี้ค่ะ ไว้ซุ้มซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ค่อยมาดูอีกทีก็ได้ 55 พามาชมข้างในกัน ทางเดินด้านในเป็นทางเดินที่เข้าได้หลายทางค่ะ แล้วมาชนกันตรงกลาง หลังคาก็สวยงามถ้าเป็นตอนคริสต์มาสจะประดับไฟทั่วทั้งบริเวณเลย 14.00: shopping at laRinascente ชอปปิ้งๆ ณ laRinscente ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ Duomo เช่นกันค่ะ ส่วนที่ชอบของห้างนี้คือการจัดร้านค่ะ ชั้นแรกจะเป็นเครื่องสำอางชั้นสองก็เป็นกระเป๋าแบรนด์เนมค่ะ ที่ห้างนี้มีทุกแบรนด์เลย การจัดร้านก็เป็นแบบ open วางกระเป๋าให้หยิบถือได้อย่างง่ายๆ ทำเป็นของถูกไปได้! แต่แบบนี้แหละค่ะ ทำให้เงินหลุดจากประเป๋าตังค์ของเราไปง่ายๆเช่นกัน ข้อดีอีกอย่างของการชอปปิ้งที่นี่คือ VAT Refund ขึ้นไปทำชั้นบนที่ Global blue เค้าจะประทับตราให้เลย ทำให้เวลาไปถึงแอร์พอร์ตเราไม่ต้องเข้าคิวเจอเจ้าหน้าที่ศุลกากร แต่ตรงไปเอา cash refund ที่เคาเตอร์ global blue ได้เลย เย่! ขึ้นมาชั้นบน 17.00: The Last Supper at Santa Maria delle Grazie เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของวันนี้คือการมาดูภาพระดับโลก The Last Supper ฝีมือของ Leonardo da Vinci ที่โบสถ์แห่งนี้ค่ะ The Last Supper เป็นภาพเขียนบนพนังนะคะ ดังนั้นจึงไม่ใช่ภาพวาดที่จะยกไปที่ต่างๆได้ Leonardo เขียนภาพนี้ตังแต่ปี 1494 เทคนิคที่เค้าใช้ไม่ใช่ fresco เนื่องจากถ้าใช้เทคนิค fresco คือการเขียนบนผนังเปียก จะทำให้ศิลปินไม่สามารถแก้ไขภาพเพิ่มเติมได้อีกถ้าสีแห้งแล้ว Leonardo อยากที่จะค่อยๆวาดค่อยๆเพิ่มเติมรายละเอียด เค้าจึงวาดรูปลงบนผนังที่แห้งค่ะ ผลลัพธ์ที่ได้คือภาพจะดูเป็นธรรมชาติเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน แต่ข้อเสียของมันคือไม่สามารถคงภาพนั้นไว้ได้นาน เพียงไม่กี่ปีสีก็หลุดก็ลอกแล้ว ดังนั้นภาพ The Last Supper ที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ผ่านการ renovate มาหลายครั้งมากๆค่ะ Santa Maria delle Grazie เป็นโบสถ์คาทอลิคเล็กๆ แต่ที่ Leonardo มาวาดภาพนี้ที่นี่ก็เพราะ Leonardo's patron ซึ่งคือ Ludovico Sforza, Duke of Milan เป็นหนึ่งในผู้ต่อเติมโบสถ์นี้ ต่อมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่นี่ก็โดนระเบิดลงนะคะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าโบสถ์ได้รับความเสียหายอย่างมาก แต่ผนังที่มีภาพ The Last Supper รอดไปอย่างหวุดหวิด ในปัจจุบัน Santa Maria delle Grazie ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งใน UNESCO world heritage sites ค่ะ How to get the ticket? การชมภาพ The Last Supper ต้องจองล่วงหน้าไปก่อนค่ะ เวบไซต์ official คือ //www.vivaticket.it/index.php ราคาค่าเข้าชม 8 ยูโร ดูได้ 15 นาทีแต่มันเต็มเร็วมากๆ ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน ถ้าเวบไซต์นี้ไม่ทันอีกทางลองเวบไซต์ นี้ ดูค่ะ ราคาจะเป็น 18 USD (USD นะไม่ใช่ EUR) แพงขึ้นหลายเท่าแต่ไม่มีทางเลือกแล้วก็ต้องซื้อไปค่ะ แต่ถ้าเวบไซต์ที่สองนี้เต็ม อีกทางสุดท้ายคือต้อง book guided tour และเข้าไปกับ group tour ค่ะคราวนี้ราคาแพงหูฉี่เลยแหละ เราจองแบบแรกสุดไม่ทันค่ะเลยได้แบบเสีย 18 USD แทน โดยต้องจองวันและรอบในเวบเลยค่ะถึงเวลาก็เดินเอากระดาษที่ปรินท์มาไปแลกกับตั๋วจริง เค้าจะเรียกคนเป็นรอบๆค่ะ รอบเข้าชม 15 นาทีเท่านั้น ถึงเวลาก็ปล่อยให้เข้าไปชม ภายนอกของ Santa Maria delle Grazie ตรงที่เข้าไปเอาตั๋วก็ประตูทางซ้ายมือที่มีธงอยู่ข้างบน ตอนเย็นๆหน้าโบสถ์กลายเป็นสนามเด็กเล่นย่อมๆ ได้ตั๋วมาแล้ว 15 minutes with The Last Supper เข้าไปปุ๊ปเป็นห้องโถงยาวๆ ข้างขวาเป็นรูป The Last Supper ขนาด 460 เซนติเมตร X 880 เซนติเมตร อีกด้านเป็นภาพ Crucifixion ฝีมือ Giovanni Donato da Montorfano ด้านในจะมีม้านั่งให้เราชื่นชมภาพค่ะ เดินไปเดินมาอยู่ในนี้ 15 นาทีก็โดนต้อนออกมาเข้า Museum shop ด้านในห้ามถ่ายภาพนะคะมีเจ้าหน้าที่คุมเข้มเลย รูปข้างล่างนี่เอามาจากเวบค่ะ ที่นี่เปิดอังคารถึงอาทิตย์ ตั้งแต่ 8.15-18.45 ปิดวันจันทร์ค่ะ การเดินทาง นั่งรถใต้ดินสายสีแดง (M1) ลงที่สถานี conciliazione ออกมาแล้วจะมีป้ายบอกตลอดทางค่ะ บรรยากาศรถใต้ดินที่มิลาน เราจองไปรอบ 18.30 ออกมาก็มืดพอดีค่ะ นั่งรถใต้ดินกลับไปหาอะไรทานแถวโรงแรม เดินผ่านร้านอาหารจีน ดีใจมากค่ะ เพราะหลังจากผ่านไป 10 กว่าวัน อาการหิวข้าวกำเริบ จบทริปอิตาลีด้วยข้าวสวยร้อนๆ ถึงโรงแรมเก็บของเตรียมเดินทางกลับพรุ่งนี้ค่ะ และเนื่องจากของเยอะมากๆๆ ชอปปิ้งกระจายเลยใช้บริการแทกซี่จากโรงแรมไปแอร์พอร์ตซะเลย ราคา 95 ยูโร นั่งชิลล์ๆไปเลย 1 ชมถึง terminal เลยค่ะ เป็นอย่างไรบ้างค่ะ ทริปอิตาลีของ Jellyjourney หวังว่าเพื่อนๆจะได้ข้อมูลไปพอสมควรนะคะ ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าค่ะ บ๊ายบายยยย ย้อนกลับไปเยี่ยมชม blog ก่อนหน้า facebook Page: Jellyjourney Instagram: Jellyjourney Bloggang: //jellyjourney.bloggang.com ขอบคุณสำหรับการรีวิวนะครับ เป็นการรีวิวที่น่าไปมากเลย
ผมกำลังจะไปอิตาลีพอดี ได้มาประโยชน์ๆมากเลยครับ โดย: yost IP: 114.109.189.195 วันที่: 13 สิงหาคม 2558 เวลา:22:46:54 น.
สวยมากเลย เป็นประโยชน์กับคนที่คิดอยากจะไปอย่างมาก ขอบคุณมากๆๆๆ
โดย: paeng IP: 203.148.162.158 วันที่: 3 กันยายน 2558 เวลา:16:19:15 น.
ขอบคุณมากๆครับ มีประโยชน์กับผมมากจริงๆ จะไปเดือน พย. แล้วแต่ยังไม่รู้จะไปตรงไหน เข้ามาอ่านนี่เก็บได้เยอะ ได้ความรู้มากจริงๆ
แล้วเมืองที่ไปนี่ตรงกับที่ผมว่าจะไปเปะๆเลยด้วย ^^ ไม่รู้ว่าช่วงราวๆ พย. นี่จะซ่อมกันเสร็จหรือยังเน้อ โดย: Bay IP: 180.180.74.189 วันที่: 6 กันยายน 2558 เวลา:10:09:27 น.
บล๊อคคุณเยลลี่มีประโยชน์มาก ๆ เลยค่ะ กำลังจะไปเที่ยว Italy เดือน July นี้ ขอบคุณนะค่ะที่ทำบล๊อคดีๆ อย่างงี้ออกมา
โดย: lake IP: 37.59.6.32 วันที่: 12 พฤษภาคม 2559 เวลา:1:37:05 น.
ขอบคุณค่าคุณ bay คุณ lake จะพยายามเขียนเรื่อยๆค่า
โดย: jellyjourney วันที่: 17 พฤษภาคม 2559 เวลา:21:07:08 น.
อ่านทุกตอนเลยค่ะ เที่ยวตามค่ะ
จะจองThe Last Supper เข้าไปเวป//www.vivaticket.it/index.phpนี่แล้วจองตรงไหนหรอคะ แนะนำหน่อยค่ะ โดย: Aum IP: 124.122.188.4 วันที่: 4 ตุลาคม 2559 เวลา:20:09:49 น.
//www.vivaticket.it/index.php?nvpg[tour]&id=744&wms_op=cenacoloVinciano
K. Aum ลองเข้า link นี้ดูนะคะ โดย: jellyjourney วันที่: 9 ตุลาคม 2559 เวลา:14:21:07 น.
เที่ยวโรม 3 วัน มากหรือน้อยวันไปไม๊ครับ?? (รวมวันแรกที่บินไปถึงตอนเช้าด้วยครับ)
โดย: Tong IP: 61.90.150.253 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2559 เวลา:12:45:34 น.
คุณ Tong ก็น่าจะพอดีๆนะคะ กำลังสบาย ไม่มากไปไม่น้อยไปค่ะ
โดย: jellyjourney วันที่: 13 พฤศจิกายน 2559 เวลา:18:15:07 น.
Blog มีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ กำลังจะไปเที่ยวพอดี ขอบคุณมากๆ นะคะ :)
โดย: mommy45 IP: 192.95.30.51 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2559 เวลา:18:01:22 น.
หาช่องทางซื้อตั๋ว The last supper ครับ
no schedule 1Apr2018 T.T โดย: patt IP: 119.42.68.61 วันที่: 26 มกราคม 2561 เวลา:16:35:36 น.
|
jellyjourney
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?] สวัสดีค่ะ ชื่อ เยลลี่ นะคะ blog นี้สร้างขึ้นเพื่อเอาไว้แบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ในการไปเที่ยวของเรากับเพื่อนๆทุกคน เข้ามาเยี่ยมชม มาคุยกัน หรือมีอะไรติชมแนะนำกันได้นะคะ Facebook page: Jellyjourney follow my Instragram @JELLYJOURNEY for extraordinary pics in my ordinary life Friends Blog
Link |
ใครไปถึงที่นี่แล้วไม่ได้ถ่ายภาพกับดูโอโม่คงมาไม่ถึงนะคะ
ถ้าไปช่วงเทศกาล sales ประจำปี คงกระเป๋าฉีกกว่านี้แน่ ๆ เลย ^__^