ตามใจเล่าครับ
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2558
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
26 มิถุนายน 2558
 
All Blogs
 
คนเดียวเที่ยวญี่ปุ่น (ภาคนำ)

                  เย้... เดือนพฤศจิกายน มาถึงแล้ว ผมจัดกระเป๋าด้วยใจจดจ่อ เรียงข้าวของให้เป็นระเบียบ ก็ มีเบียร์กระป๋องสีเขียว 4 แพค เงาะใส้ประรดในน้ำเชื่อม 4กระป๋อง หมูหยองเจ้าอร่อยสุดๆ 4 กล่อง รวมทั้งพวกซองๆ ต้มยำกุ้ง ต้มข่าไก่และแกงเขียวหวาน มากมาย ของไทยๆทั้งนั้น เรื่องเสื้อผ้าไม่เป็นปัญหา สองสามชุด ก็ พอ ( ชั้นในเยอะๆหน่อยละกัน ) เน้นที่ของฝากซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีในการไปเยี่ยมเยือนเพื่อนต่างชาติโดยเฉพาะคนญี่ปุ่นที่ชื่นชอบของพวกนี้ หลายๆปีก่อนนี้ อัตราแลกเปลี่ยนร้อยเยนประมาณสี่สิบ ถึง สี่สิบสี่บาท แต่ตอนนี้ อ่อนค่าลงอย่างมาก ราวๆ ยี่สิบแปด ถึงสามสิบบาท คนไทยที่จะไปเที่ยวหรือทำธุระในญี่ปุ่นดีใจสุดๆเพราะแลกเงินเยนได้เยอะขึ้นมากๆ แต่พวกคนไทยที่ไปทำงานรับเงินเยนอยู่ที่โน่นบ่นกันอุบเลยละครับ

               และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ใช้บริการสายการบินLow Cost โดยเลือกเดินทางกับบริษัทที่เวลาเรามองเครื่องบินจะเห็นสีแดงๆขาวๆเหมือนปลาคาร์พ ผมลากกระเป๋าเข้าตัวอาคารที่สนามบินดอนเมือง(Bangkok , Don Mueang International Airport ) ก็ ออกจะงงๆเล็กน้อย เพราะว่าที่นี่เค้าใช้อาคารร่วมกัน ทั้งเที่ยวบินภายในประเทศ( Domestic Flight)และต่างประเทศ(International Flight ) แต่โชคดีที่คนรู้ใจของผมน่ะ นอกจากจะซื้อตั๋วเครื่องบินให้แล้วยังกรุณามาอำนวยความสะดวกในการCheck in และอื่นๆด้วย หลังจากหม่ำข้าวค่ำตลอดจนร่ำลากันเสร็จผมก็หิ้วกระเป๋าใบเล็กเข้ารับการตรวจหนังสือเดินทางขาออก พอดียังมีสิทธิ์ใช้ Official Passport อยู่ ก็ เลยค่อนข้างเร็วเพราะคนน้อยครับ แอบรู้สึกเหงาๆกับการเดินทางไปต่างประเทศตามลำพังอีกครั้งหลังจากที่เคยเป็นแบบนี้เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ก็ มาขึ้นเครื่องที่นี่ ต่างกันตรงที่คราวโน้นที่ฟังดูน้านนานน่ะ ผมไปทางทิศใต้( ออสเตรเลีย ) แต่คราวนี้ผมมุ่งสู่ตะวันออก(ญี่ปุ่น )อ่ะครับ

ประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากสายการบินLow Cost คือ คนที่ขึ้นเครื่องทีหลังอาจหาที่เก็บกระเป๋าลำบาก เพราะมันเต็มไปหมด ( มาก่อน ใส่ก่อน ) ผมเลือกที่นั่งริมทางเดิน( Aisle Seat )ตั้งแต่ตอน Check in แล้ว เพราะสะดวกต่อการจะลุกไปเข้าห้องน้ำกว่าริมหน้าต่าง(Window Seat )หรือที่อื่นๆ ส่วนตรงที่ยืดขาได้( Long Leg ) เค้ามักจะสงวนไว้ให้คนสูงอายุ หรือ แม่ลูกอ่อนเพื่อความสะดวกในการดูแลเด็ก ผมดูพนักงานต้อนรับหญิงใส่ชุดสีแดง( Air hostess )สาธิตการปฏิบัติตัวบนเครื่องในสถานการณ์ต่างๆอย่างคล่องแคล่ว จากนั้น นักบินก็นำเครื่องไปยังทางวิ่ง( Runway )และบังคับเครื่องขึ้น( Take off )เมื่อได้รับสัญญาณจากหอบังคับการ พร้อมทั้งไต่ระดับสู่ความสูงอย่างรวดเร็วสมกับเป็นมืออาชีพของสายการบินต้นทุนต่ำ

ผ่านไปห้าชั่วโมงเต็มๆก็มีเสียงประกาศให้คาดเข็มขัด เพราะเครื่องบินจะทำการลดระดับเพื่อลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ( Kansai International Airport/ KIX ) โอซาก้า( Osaka )ประเทศญี่ปุ่น เวลาราวๆเที่ยงคืนแล้ว เครื่องลงได้นุ่มมาก จนแทบจะไม่ รู้สึกสะเทือนตอนที่ล้อแตะพื้นเลย มืออาชีพจริงๆสมกับราคาโฆษณาในทีวีครับ และคงมีเครื่องลงเวลาใกล้เคียงกัน คนจึงเยอะมาก คิวยาวเต็มลู่ที่คดไปเคี้ยวมากว่าจะได้ให้เจ้าหน้าที่ ตม.ของเค้าตรวจลงตราหนังสือเดินทาง ก็เล่นเอาทั้งเมื่อยและง่วง พอรับกระเป๋าและผ่านด่านศุลกากรออกมาสู่ประเทศญี่ปุ่นอย่างถูกกฏหมาย  ตอนนี้ผู้โดยสารอื่นๆมีผู้เกี่ยวข้องมารับไปหมดแล้ว เหลือผมเก้ๆกังๆอยู่คนเดียว ก็ กำลังจะหาทางไปโรงแรมที่เค้าจองไว้ให้พอดีมีคนในเครื่องแบบเดินผ่านมา เธอพูดช้าๆ( คงรู้ว่าผมเป็นกระเหรี่ยง ) “ ขึ้นบันใดเลื่อนไปชั้นสองแล้วเดินตรงไปแป้ปนึง จะเห็นโรงแรมอยู่ทางขวามือ เข้าใจไหมก๊ะ / WakarimasuKa ? ) ผมก็ตอบ “ ครับ ครับ ขอบคุณครับ Hai , Hai. Arigatou Gozaimasu “ ผมปฏิบัติตามที่เธอบอกทุกประการ แต่พอหลุดออกจากอาคารที่ชั้นสอง ตัวแทบปลิว ทั้งหนาวและลมแรงดีกว่ามีกระเป๋าเดินทางแสนหนักช่วยถ่วงไว้ เดินตัวงอฝ่ากระแสลมไปอีกแป้ปนึงจริงๆ ก็เห็นป้ายที่อาคารทางขวามือ ตัวเป้งHotel Nikko Kansai Airport อยู่ใกล้สนามบินยิ่งกว่า Hotel Nikko Narita Airport ที่นาริตะเสียอีกเพราะที่นั่นต้องนั่งรถไปราวๆ 5 นาที ผม Check in เสร็จ ก็ ขึ้นห้องนอนหลับเลยละครับ

ผมกะว่าจะพักอยู่ที่โกเบ (Kobe) ประมาณ 10 วัน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมมีเงินใช้เป็นแสนนะครับ คือก่อนมาผมได้ติดต่อกับคุณซากิ นางาซากิ( Saki Nagasaki )อดีตครูสอนภาษาอังกฤษจากเมืองทากะ( Taka )จังหวัดเฮียวโกะ(Hyogo )ที่มีโกเบ( Kobe )เป็นเมืองเอก เราเคยร่วมงานด้านโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนไทย-ญี่ปุ่น(Thai-Hyogo Student Exchange Program ) ซึ่งจัดทุกปีโดยเธอจะพานักเรียนจากเมืองทากะ(Taka ) เมืองนิชิวากิ(Nishiwaki ) เมืองโอโนะ(Ono ) และเมืองโกเบ(Kobe )มาร่วมกิจกรรมด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ที่ประเทศไทยช่วงปลายเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม( 10 วัน ) ซึ่งเป็นฤดูร้อน( Natsu )ของญี่ปุ่นและเป็นช่วงปิดเทอมของเค้าพอดี ส่วนนักเรียนไทยจะไปร่วมโครงการที่ญี่ปุ่นเป็นประจำทุกปีราวๆสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน ก็ เป็นช่วงฤดูใบไม้ล่วง( Aki )อากาศเย็นสบายจนถึงหนาวละครับ

พอผมบอกว่า จะมาโกเบช่วงวันที่ 3 -12 พฤศจิกายน หากเป็นไปได้ช่วยหาครอบครัวอุปถัมภ์( Host family ) ให้ด้วย เธอก็ดีใจหาย(หรือตกใจก็ไม่รู้ )รีบกุลีกุจอติดต่อประสานงานกับบรรดาผู้ใหญ่ๆของเธอที่รู้จักกับผม ก็ บรรดาอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนที่เพิ่งจะเริ่มเป็นสว.ป้ายแดง(เกษียนอายุราชการ )น่ะครับ และแล้ว ก็ได้ครอบครัวอิชิเกะ( Ichike ) ที่จะรับดูแลผมระหว่างวันนี้ถึงวันที่ 5 โดยคุณยาสุยูกิ อิชิเกะ( Yasuyuki Ichike ) อดีต ผอ.รร.ซันดะโชอึงกัน( Sanda Shoungkun Senior High School ) แห่งเมืองซันดะได้เฟสบอกว่าจะมารับผมที่โรงแรมราวๆ 10 : 30 น. อิชิเกะซัง ตอนเป็น รอง ผอ.ได้เคยเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนผู้บริหารระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ระยะหนึ่งสัปดาห์ น่าจะรุ่นแรกเลย ( ปี 2558 นี้ ก็รุ่นที่สิบแล้ว ) ตอนที่มาเมืองไทยมีช่วงโฮม สเตย์สองคืน ผมจัดให้เค้าพักกับครอบครัวอุปถัมภ์เกรดเอซึ่งเป็นบ้านทรงไทยอย่างสวยงามริมแม่น้ำนครไชยศรี นครปฐมและครอบครัวดังกล่าว ก็ ได้ดูแลอย่างดี( เกือบลืมบอกว่า เป็นครอบครัวตัวอย่างของโครงการเรือเยาวชนที่รับรองสมาชิกจากเรือเยาวชนซึ่งมาแวะเมืองไทยอยู่ทุกปี) แต่ผู้เข้าร่วมโครงการคนอื่นๆ ก็ได้รับการดูแลจากโฮสต์ฝ่ายไทยได้เป็นที่น่าประทับใจทุกคนเลยละครับ

สิบนาฬิกาเป๋ง ผมลากกระเป๋าลงมาที่ฟร้อนท์ พอ Check out เสร็จ เตรียมหาที่นั่ง พอมองไปที่ Lobby ก็ เห็นคุณมาซามิ อิชิเกะ( Masami Ichike ) ภรรยาของยาสุยูกิซังนั่งตัวตรงคอยอยู่แล้ว คนญี่ปุ่นมักจะมาก่อนเวลานัดเสมอแต่จะไม่แสดงตัวให้เห็นหรือโทรหาว่ามาแล้วเป็นเด็ดขาด ถ้ายังไม่ถึงเวลานัด เพราะเดี๋ยวจะเป็นการเสียมรรยาท(ถ้าเป็นพี่ไทยมาถึงเมื่อไร ไม่ว่าเร็วหรือช้าไป ก็ ต้องโทรบอกว่ามาแล้วนะจ้ะ ) ผมเอ่ยทักเบาๆ “ มาซามิซัง โอไฮโยโกไซมัส( Ohayogozaimasu ) “ เธอลุกขึ้นโค้ง ตอบสวัสดีและกล่าว “ Ohisashiburi โอฮิซาชิบูริ / ไม่ได้เจอกันนานมากๆนะคะ ) ก็เกือบสิบปีแล้วมั้งที่ผมไม่ได้เจอเธอ ส่วนยาสุยูกิซังกับผมยังได้พบกันหลายหน เพราะผมมีภารกิจที่โกเบปีละสองสามครั้ง ( ยังจำได้ตอนอยู่ที่เมืองไทยชื่อ ยาสุยูกิ ค่อนข้างเรียกยาก พี่ไทยเลยแอบตั้งซะใหม่ว่า คุณยาสูบ )คุณยาสูบรีบไปขับรถมาเทียบหน้าโรงแรมด้านที่ติดถนนใหญ่เอาสัมภาระใส่ท้ายรถเสร็จ ก็ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซซึ่งเกิดจากการถมทะเลให้เป็นเกาะเพื่อสร้างสนามบิน เดี๋ยวนี้ในญี่ปุ่นมีเมืองใหม่หลายแห่งที่สร้างโดยการเอาขยะไปถมทะเลก็ ใช้เวลาเป็นสิบปี เค้าเก่งจังมีความตั้งมั่น อดทนและมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำแต่ก็น่ากลัวเวลาที่ธรรมชาติพิโรธเอาคืน ทั้งไต้ฝุ่น( Typhoon ) แผ่นดินไหว( Earthquake ) คลื่นยักษ์ซือนามิ( Tsunami/Tidal wave ) มีมาตลอด แต่ขอร้องว่า ตอนผมมาอยู่อย่าพึ่งมีอะไรนะครับ



ครอบครัวอิชิเกะขับรถจากคันไซผ่านโอซาก้า( Osaka )ขึ้นทางด่วนแล้ววิ่งยาวไปยังจังหวัดนารา(Nara )เมืองหลวงเก่าแก่ของญี่ปุ่น( เกียวโต/Kyoto เป็นเมืองหลวงเก่า และคามาคุระ/Kamakura ก็เป็นเมืองหลวงเก๊าเก่า เก่ากว่านาราและเกียวโตตามลำดับครับ ) สำหรับทางด่วนที่ญี่ปุ่นนี่ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะทันสมัยมากๆ พอรถเข้าใกล้เครื่องกั้นสักเมตรครึ่ง ก็เซ็นเซ่อร์เปิดให้แล้วเป็นอัตโนมัติหมด แต่ทว่าทางด่วนบางสายของเค้ายังใช้คนเก็บค่าผ่านทางอยู่และเป็นงานที่สงวนไว้สำหรับผู้สูงอายุเสียด้วยเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยได้พูด ได้คุยกับคนขับรถในช่วงเวลาที่ชำระค่าผ่านทางเพื่อทำให้ชีวิตในแต่ละวันจะได้ไม่เหงา หากลูกหลานไม่มีเวลา ดีจังเลยนะครับ และผมอยากจะขอพูดถึงคำว่า “ จังหวัด “ ในญี่ปุ่นสักนิด เพราะมันต่างกันกับคำว่า “จังหวัด( Province ) “ของเราน่ะครับ ที่จริงของเค้ามาจากภาษาอังกฤษว่าPrefecture คือเขตปกครอง แต่คนไทยชอบเรียกว่า จังหวัด เช่น Nara Prefecture ,Osaka Prefecture , Shizuoka Prefecture หรือ Hyogo Prefecture เป็นต้นครับขับรถมาได้ ประมาณเกือบชั่วโมง ก็ ถึงที่หมายแระ เค้าพาผมมาวัดน่ะครับ ( เหมือนจะรู้ว่าเวลาอยู่เมืองไทยผมเป็นคนค่อนข้างห่างเหินวัดตลอด ) วัดชื่อโฮริวจิ(Horyuji )อยู่ที่เมืองอิคารุกะ( Ikaruga ) จังหวัดนารา( Nara ) วัดสร้างด้วยไม้แห่งแรกที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก ( Japan’s First World Cultural Heritage )มีอายุมากกว่า 1,300 ปี ชื่อเต็มๆ คือ วัดปราชญ์เปรื่องธรรม( Learning Temple of the Flourishing Law ) เป็นวัดพุธนิกายมหายาน แต่ละวิหาร/อาคารดูเก่าแก่และเป็นสถาปัตยกรรมทรงคุณค่าโดย มีปฏิมากรรมที่งดงามวิจิตรตระการตาแบบญี่ปุ่นอยู่ภายใน และที่ผมสนใจมากๆ คือ หอนิมิตร หรือ วิหารแห่งความฝัน (Hall of Dream : Umedono) เป็นโครงสร้างแปดเหลี่ยม ยอดหลังคาประดับด้วยเพชรภายในประดิษฐานด้วยพระรูปของพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร( คันนง หรือ กวนอิม ) ส่วนเจดีย์ไม้ห้าชั้น( Five-StoreyPagoda : Goju-no-To )อันโดดเด่นเห็นแต่ไกลนั้นสูง 32.5 เมตรตามบันทึกกล่าวว่า ภายใต้เจดีย์มีหีบสมบัติฝังอยู่โดยก้อนหินใหญ่ที่สร้างเป็นฐานถูกฝังลึก 3เมตรและมีโพรงใส่หีบสมบัติไว้ แต่เนื่องจากน้ำหนักของเจดีย์ทำให้ไม่สามารถขุดถึงหีบสมบัติได้ แอบเสียดายจังเลย กะว่าจะรวยด้วยมหาสมบัติที่นี่แระ ฤาจะเป็นแบบขุมทองโกโบริที่เมืองไทยเสียก็ไม่รู้ แต่ข้อมูลนี้เค้ามีบันทึกไว้ในวิคกี้พีเดี่ยเชียวนะครับ ลืมบอกไปว่า ยาสุยูกิซังเห็นผมทำท่าสนใจมากมายเลยโทรตามวิทยากรในโฮริวจิ ที่พูดภาษาอังกฤษได้มาอธิบายอย่างละเอียดทุกวิหารอาคารทั้งหมดซึ่งสร้างอยู่ในบริเวณพื้นที่ขนาด 187,000 ตารางเมตร ได้ความรู้มากมายกว่าจะดูครบถ้วนกระบวนความ แต่ผมก็เดินซะเหนื่อยเลย หิวด้วยครับ หลังจากกล่าวขอบคุณ(Arigatougozaimashita) และร่ำลา( Sayonara )คุณวิทยากรแล้ว เราสามคนก็ เดินตัวปลิว( เพราะลมแรง)ออกจากวัด คุณยาสูบพาเข้าร้านอาหารชื่อดังของเมืองอิคารุกะหรือบางคนจะออกเสียงว่า อีการุงะ ก็ ไม่ว่ากัน คนแน่นร้านเลย แต่โชคดี เข้าไปคอยแป๊ปนึง ก็ ได้ที่นั่ง เพราะคนญี่ปุ่นนี่ถ้าทานเสร็จแล้วเค้าจะไม่ค่อยนั่งแช่แป้งแบบพี่ไทย เราสั่งราเมงน้ำใส( Shio Ramen ) ราเมงของเค้าจะใส่แต่ละอย่างทั้งขนาดและชิ้นเท่ากันหมดทุกชามตามสูตรเป๊ะไม่มีมาก หรือน้อยกว่ากันแม้แต่นิดเดียว คุณมาซามิสั่งซูชิแบบนารา(Nara Zushi ) คือ ข้าวปั้นหน้าปลาดองห่อด้วยใบพลับ ผมหม่ำไปสามห่อ อิ่มตื้อเลยครับ เดิน(อีกแล้ว )ย่อยอาหารไปที่จอดรถ แอบถ่ายรูปกับต้นพลับ(คากิ /Kaki )ที่กำลังออกลูกเหลืองอร่าม ช้อบ ชอบ อากาศดี พอลลูชั่นไม่มี และอาหารก็มีคุณภาพ ตอนขากลับผมแอบเสียมรรยาทหลับในรถด้วย อิ่มเป็นหลับละครับ

ในที่สุดก็ได้กลับมาถึงบ้านของครอบครัวอิชิเกะเสียที  ผมเคยมาพักสองสามวันเมื่อเกือบสิบปีก่อน มาซามิซังพาผมดูห้องน้ำ ห้องส้วม ฯลฯ ตามธรรมเนียมเจ้าบ้าน แล้ว ก็ ให้ผมแยกเข้าห้องนอนเพื่อพักผ่อน ได้นอนบนฟูตง( Futon ) ที่นอนแบบญี่ปุ่น ปูกับพื้นห้อง ผมงี้หลับเป็นตายเลยครับ มาสะดุ้งตื่น ก็เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ “


Jack san , Jack san.. Ban Gohan /บังโกหัง / คุณแจ๊คๆ อาหารเย็นเสร็จแล้ว “ ผมรีบลุกไปล้างหน้าล้างตา แล้วหิ้วถุงใส่เบียร์ เงาะกระป๋อง กล่องหมูหย๋อง และพวกซองๆต้มยำต่างๆ เคาะประตูห้องอาหารตามธรรมเนียม พอได้ยินเสียงร้องเชิญ " โดโซ่ะ : Dozo " แล้วถึงเปิดเข้าไป โห๋ แอบอึ้งตกตะลึงนิดนึง เพราะบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหาร โดยเฉพาะซาชิมิ( Sashimi )ถาดใหญ่ ที่สำคัญสุด คือ เหล้าสาเก( Osake  โอสาเก )ขวดเบ้อเริ่มเทิ่มเลยครับ การศึกครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก แต่เราในฐานะชาวสยามมีหรือจะยอมแพ้ชาวบูชิโดได้เยี่ยงไรกัน สงครามน้ำเมาเริ่มขึ้นแล้ว โดยมรรยาทเจ้าของบ้านจะรินให้แขกก่อน จึงรินให้ภรรยา และรินให้ตัวเอง แล้ว ก็ คัมไป กระทบแก้วกัน ดื่มให้หมดแก้ว จากนั้น ยาสุยูกิซัง ก็ พนมมือและกล่าวว่า “ มินาซัง อิทาดาคิมัส : Minasan , Itadakimasu : ทุกคน ทานอาหารครับ ) มาซามิและผมก็พนมมือ “ อิทาดาคิมัส “ แล้วลงมือทาน ดื่มไป ทานไป ถ้อยทีถ้อยอาศัย เหล้าสาเกเลิศรสกับซาชิมิแสนสดมีทั้งแซลมอน มากุโระ( ทูน่า ) อีกะ( หมึกเล็ก ) ทาโกะ( หมึกยักษ์ )และเอบิ(กุ้ง ) แตะวาซาบิบางๆ จิ้มโชหยุ มันได้รับรสของความสวยงามของอาหารที่สดและอร่อย ทั้งทางสายตา ปาก และลิ้นจนผ่านลำคอลงไปเลย ถามว่า คาวไหม ขอตอบว่าไม่คาวและทานได้สนิทใจในความสดนะครับ สักพักนึง ผม ก็ ก้มลงหยิบถุงใบใหญ่ขึ้นมา “ Sumimasen Watashiwa Anata ni Omiyake O Akemasu : โทษนะครับ ผมจะขอมอบของฝากให้คุณนะครับ) แล้ว ก็ เชิญให้ภรรยาเค้าลองเบียร์ไทยพร้อมกับอธิบายวิธีหม่ำเงาะกระป๋องโดยควรผสมน้ำแข็งด้วยเพราะน้ำเชื่อมค่อนข้างจะหวานมาก ตอนนี้กลายเป็นว่า ผมจิบสาเกส่วนครอบครัวอิชิเกะดื่มเบียร์ไทยแกล้มหมูหยองกรอบๆ เวลาอยู่ที่ญี่ปุ่นบรรยากาศแสนจะเป็นใจกินอะไร ก็ อร่อยไปหมด ผมมาญี่ปุ่นทีไร พอกลับเมืองไทยน้ำหนักเพิ่มไม่ต่ำกว่าสามกิโลฯทุกที ตอนหลังๆ เดินห่างเครื่องชั่งเลยละครับ ใครไม่เชื่อ หากมีโอกาสมา ก็ ลองสังเกตตัวเองดูนะครับ  ดึกแล้ว งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ผมน่ะเมาแระ แต่เก็บอาการอยู่  มาซามิกับยาสุยูกิช่วยกันเก็บล้าง พลางโบกมือห้ามผมเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็ เลยอำลา “ โอยาสุมินาไซ(Oyasuminazai ) “ ไปแปรงฟันและเข้านอนเอาแรง วันนี้ เดินแค่น้ำจิ้ม ส่วนพรุ่งนี้ เดินจริงแน่ๆ เพราะเค้าจะพาผมไปเกียวโต รถออกสิบโมงเช้าอ่ะครับ






Create Date : 26 มิถุนายน 2558
Last Update : 10 กรกฎาคม 2558 8:19:51 น. 4 comments
Counter : 1016 Pageviews.

 
อยากไปมั่งค่ะ แบบแบคแพค


โดย: mariabamboo วันที่: 26 มิถุนายน 2558 เวลา:12:17:46 น.  

 


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 26 มิถุนายน 2558 เวลา:16:04:29 น.  

 
ตามไปเที่ยวด้วยครับ


โดย: แมวเซาผู้น่าสงสาร วันที่: 26 มิถุนายน 2558 เวลา:18:32:27 น.  

 

ถ้าชำนาญการใช้รถไฟฟ้าและรถใต้ดินใน กทม. แล้ว ผมว่าเพื่อนๆไปได้นะครับ เพราะเดี๋ยวนี้ชื่อสถานีและจุดสำคัญๆ เค้ามีภาษาอังกฤษกำกับด้วยครับ


โดย: ่jack happy (Jack Happy ) วันที่: 3 กรกฎาคม 2558 เวลา:18:57:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Jack Happy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add Jack Happy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.