Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
27 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
ความเห็นหนึ่งถึงปัญหาบาทแข็งโจทย์ใหญ่อยู่ที่จุดลงตัวของไทยในเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่

กลับหลังหัน
ปกป้อง จันวิทย์







ถ้าเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยเป็นคนป่วย ค่าเงินบาทแข็งเป็นอาการป่วย ประเด็นที่ในวงการเศรษฐศาสตร์ ในสื่อ เถียงกันขณะนี้ เหมือนกับเถียงกันว่า จะบรรเทาความปวดหัวตัวร้อนอย่างไร กินยาอะไรดี กินกี่เม็ดดี จะรักษาอาการไม่ให้ลุกลามบานปลายจนเป็นโรคที่ร้ายแรงขึ้นอย่างไรได้บ้าง

จะลดดอกเบี้ยหรือไม่ จะลดเท่าไหร่ดี ก็เป็นแค่การบรรเทาอาการของโรคชั่วคราวเท่านั้น เช่นเดียวกับมาตรการแก้ปัญหาบาทแข็ง 6 ประการ ของแบงก์ชาติและรัฐบาล ที่เล่นกับ demand และ supply ของดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความต้องการซื้อดอลลาร์ ลดความต้องการซื้อเงินบาทลง หรือให้ supply ของดอลลาร์ในเศรษฐกิจน้อยลง เช่น การผ่อนคลายการกำกับควบคุมเงินทุนไหลออก การให้ผู้ส่งออกถือครองรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศได้นานขึ้น ไม่ต้องรีบแลกเป็นเงินบาท หรือให้คนไทยฝากเงินในบัญชีเงินตราต่างประเทศได้มากขึ้น หรือข้อเสนอให้ถือโอกาสที่บาทแข็งใช้หนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศกันมากๆ

วิธีรักษาโรค บรรเทาอาการ พวกนั้นก็สำคัญ โดยเฉพาะในระยะสั้น ที่อาการคนป่วยไม่ค่อยดี แต่คำถามที่ต้องคิดต่อหรือสำคัญกว่าด้วยซ้ำคือ ในระยะยาว คนป่วยคนนี้ควรจะปรับวิธีใช้ชีวิตอย่างไรไม่ให้ป่วยบ่อยๆ แต่ให้ตัวเองแข็งแรงขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งหมอ จะดูแลรักษาตัวเองอย่างไร ถ้าเจอเชื้อโรค จะพัฒนาตัวเองอย่างไรให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น ป้องกันตัวเองได้ดีขึ้น หรือถ้าร่างกายคนป่วยพื้นฐานมันไม่แข็งแรง ก็ต้องถามว่าคนป่วยคนนี้ควรจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน จะได้ไม่ติดหวัดง่ายๆ

ผมคิดว่าปัญหาพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทยเกิดมาจาก การผูกเศรษฐกิจไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับเศรษฐกิจโลกในระดับสูง ด้านหนึ่ง เราใช้ภาคการส่งออกเป็นตัวนำหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกด้านหนึ่ง เราเปิดเสรีต้อนรับเงินลงทุนจากต่างประเทศ และให้ทั้งสองด้านเป็นหัวเรือใหญ่ในการพัฒนาเศรษฐกิจ

การพึ่งพิงและผูกติดเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจโลกทำให้ความสำเร็จหรือล้มเหลวของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยต้องผูกติดกับปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น รายได้ของต่างประเทศ ค่าเงินของประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งและคู่ค้าของเรา การเปลี่ยนแปลงการคาดการณ์ของนักลงทุน ซึ่งปัจจัยเหล่านั้น แม้เราควบคุมคาดการณ์ไม่ได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเศรษฐกิจเราโดยตรง

ขณะที่ อีกด้านหนึ่ง เราสูญเสียความสามารถในการดำเนินเศรษฐกิจตัวเองลงเรื่อยๆ เศรษฐกิจไทยผันผวนตามปัจจัยภายนอก ความผันผวนมากขึ้น ความเสี่ยงสูงขึ้น แต่เครื่องไม้เครื่องมือในประเทศที่เราจะใช้จัดการ ปกป้อง และเยียวยา ตัวเองได้ ก็ไม่มีพลังเพียงพอที่จะหยุดหรือจัดการกับความผันผวนนั้นได้

ความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายของเราก็ลดลง ต้องเดินตามกติกาของเศรษฐกิจโลก หรือกฎเหล็กที่เรียกกันว่านโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ จะทำอะไรขัดไปจากนี้ ก็ไม่กล้า กลัวต่างชาติไม่เชื่อมั่น กลัวทุนไม่ไหลเข้า นโยบายอย่างการบังคับสิทธิเหนือสิทธิบัตรยา นโยบายเพิ่มต้นทุนให้กับทุนต่างชาติระยะสั้นอย่างมาตรการ 18 ธันวาคม 2549 ของ ธปท. เลยมีชีวิตอยู่ในสังคมเศรษฐกิจไทยอย่างยากลำบาก

เมื่อก่อน คนมักเข้าใจว่า นโยบายส่งเสริมการส่งออกไปด้วยกันได้กับนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน แต่ปรากฏการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมานี้แสดงให้ถึงความขัดกันของสองนโยบายนี้ คือเงินทุนที่ไหลเข้ามาก ทำให้ค่าเงินแข็ง และกระทบภาคส่งออก มันมีความเชื่อมโยงระหว่างภาคการเงินกับภาคเศรษฐกิจจริง ที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อกัน

โจทย์สำคัญที่ต้องคิดกันก็คือ ถ้าประเทศไทยจะยังยึดกุมยุทธศาสตร์ส่งออกเพื่อการพัฒนาต่อไป เราควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อการไหลเข้าของเงินระหว่างประเทศ ถ้าเราปล่อยให้ทุนเคลื่อนย้ายโดยเสรี เราก็ต้องรับผลกระทบจากความผันผวนไร้เสถียรภาพจากระบบการเงินโลก ซึ่งประสบการณ์ในขณะนี้ ก็ชี้ชัดว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดเงิน ในค่าเงิน มันกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงด้วย ผลมันไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แต่ในภาคการเงินหรือตัวแปรที่เป็นตัวเงินเท่านั้น

ลดดอกเบี้ยไม่ช่วยแก้ปัญหา

การวิวาทะกันเรื่องลดดอกเบี้ยเท่าไหร่ดี จึงเป็นแค่ปลายเหตุมากๆ ไม่ได้ช่วยให้เราหายขาดจากโรค ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่เหตุแห่งทุกข์

แต่ถ้ามองแค่บรรเทาอาการ ผมก็ไม่แน่ใจว่า ลดดอกเบี้ยแล้ว จะช่วยชะลอการแข็งตัวของเงินบาทได้แค่ไหน

ต้องเข้าใจว่า นักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาลงทุนในไทยนั้น ผลตอบแทนรวมที่เขาได้คือ ดอกเบี้ยบวกกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่าเงินในประเทศที่เขามาลงทุนแข็งขึ้น กนง. ลดดอกเบี้ย 0.25% นักวิชาการเศรษฐศาสตร์บางกลุ่มบอกว่าน้อยไป ต้องลด 1-1.5% ทั้งหมดนั้นยังน้อยมากเมื่อค่าเงินบาทขณะนี้แข็งขึ้นประมาณ 11% เมื่อเทียบกับค่าเงินเฉลี่ยของเดือนกรกฎาคม 2549 หรือแข็งขึ้น 15% เมื่อเทียบกับค่าเงินเฉลี่ยของเดือนมกราคม 2549 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าการแข็งค่าของค่าเงินสกุลอื่นๆในภูมิภาค

การลดดอกเบี้ยคงไม่ช่วยสร้างแรงจูงใจด้านลบ ให้นักลงทุนต่างชาติไม่อยากมาลงทุนในประเทศไทยได้มากนัก เป็นมาตรการที่ยังเบาเกินไปที่จะส่งผลต่อจิตวิทยาของนักลงทุน ไม่ช่วยเปลี่ยนการคาดการณ์ค่าเงินบาทของนักลงทุน ไม่เหมือนกับมาตรการกันสำรองเมื่อปลายปีที่แล้ว

นอกจากนั้น ในมุมกลับ ถ้าดอกเบี้ยในประเทศลดลง เงินจะไหลไปตลาดหุ้นมากขึ้น มูลค่าของหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นก็สูงขึ้นด้วย ก็คิดได้เหมือนกันว่า การลดดอกเบี้ยก็ส่งผลในทางดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นมากขึ้นไปอีก ยิ่งถ้านักลงทุนคาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีการลดดอกเบี้ยลงอีก ก็จะยิ่งอยากเข้ามาลงทุน เพราะหวังจะได้ capital gain สูงขึ้น ค่าเงินอาจจะยิ่งแข็งขึ้น

เมื่อไม่กี่ปีก่อน วิทยานิพนธ์ชิ้นหนึ่งที่คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ก็ชี้ให้เห็นว่า ค่าเงินบาทถูกกำหนดจากปัจจัยภายนอกประเทศมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ และความสามารถในการจัดการความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนของ ธปท. มีจำกัด ปัจจัยที่ ธปท.คุมได้ มีเพียงตัวแปรด้านนโยบายการเงินอย่างอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนไม่มากและส่งผลแค่ระยะสั้นเท่านั้นเอง

เศรษฐกิจไทยต้องมีมาตรการกำกับความคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ

ปรากฏการณ์บาทแข็งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอาการของโรคเท่านั้น การแก้ปัญหาที่เราคุยๆ เถียงๆ กันก็เป็นแค่การบรรเทาอาการของโรคชั่วคราวเท่านั้น สาเหตุแห่งทุกข์ของเศรษฐกิจไทยตอนนี้ โจทย์ใหญ่ก็คือ เราจะจัดการกับทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่อย่างไร

ผมคิดว่า เศรษฐกิจไทยต้องมีมาตรการกำกับควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศในบางระดับ เพื่อเป็นกันชนต่อความผันผวนของระบบการเงินโลก มาตรการที่ว่าควรมุ่งไปในทางเพิ่มต้นทุนให้กับ ‘เงินร้อน’ หรือเงินทุนเคลื่อนย้ายระยะสั้น ที่ไหลเข้าได้มากและเร็ว และไหลออกได้มากและเร็วด้วยเช่นกัน ซึ่งสร้างความผันผวนให้กับระบบเศรษฐกิจจนกระทบภาคเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะเงินระยะสั้นที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้น มาตรการนี้เป็นการป้องกันตัวเอง สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง จะได้ไม่เจ็บป่วย หรือไม่ป่วยหนัก ไม่ใช่แค่การรักษาอาการหลังป่วย เหมือนการลดดอกเบี้ย

เราก็เห็นว่าตอนนี้ปัญหาอยู่ที่ตลาดหุ้น ควรจะมีมาตรการบางอย่างมาจัดการกับเงินร้อนเหล่านี้ ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ผมไม่ให้ความสำคัญกับตลาดทุน แต่ผมเห็นว่าการพัฒนาตลาดทุนควรอยู่บนพื้นฐานที่เข้มแข็งและมั่นคง ไม่ใช่มุ่งหวังแต่ด้านปริมาณโดยไม่คำนึงถึงด้านคุณภาพ

มาตรการกันสำรอง 18 ธันวาคม 2549 ของแบงก์ชาติ เป็นหนึ่งในมาตรการที่ผมเห็นว่าเหมาะสมในการจัดการปัญหาบาทแข็ง และผมก็สนับสนุนเมื่อแบงก์ชาตินำมาใช้เมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน เพราะนอกจากจะช่วยบรรเทาอาการป่วยเฉพาะหน้าแล้ว โดยปรัชญาพื้นฐานของมาตรการดังกล่าวก็ยังตอบโจทย์ไปที่เหตุแห่งปัญหาด้วย เป็นมาตรการป้องกันที่ช่วยลดโอกาสที่จะป่วยในอนาคตด้วย

แม้ผมเห็นด้วยกับหลักการพื้นฐานของมาตรการกันสำรอง แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการประกาศกันสำรองถึง 30% ในคราวแรก ผมคิดว่า เศรษฐกิจไทยมีประวัติศาสตร์ของการต้อนรับการลงทุนจากต่างชาติเต็มที่มาตลอด แค่แบงก์ชาติประกาศกันสำรองสัก 5% ก็เป็น shock ที่แรงพอจะกระทบการคาดการณ์เรื่องค่าเงินของนักลงทุนได้แล้ว หยุด one-way bet ได้แล้ว แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ค่อยๆ เพิ่มระดับการกันสำรองให้สูงขึ้นต่อไปก็ได้

ปัญหาก็คือ แบงก์ชาติไม่ใจแข็งพอที่จะใช้มาตรการนี้อย่างเต็มรูปแบบ แต่กลับประกาศถอยหลังในเย็นวันแรกที่ใช้หลังหุ้นตกขนาดหนัก โดยยกเลิกการบังคับใช้กับตลาดหุ้น ผมคิดว่ามาตรการกันสำรองยังไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเองในเศรษฐกิจไทยอย่างเพียงพอ การตัดสินมาตรการนี้โดยดูจากผลของมันในวันแรกที่เกิด shock ไม่ค่อยเป็นธรรมนัก และเมื่อแบงก์ชาติกลับลำกลางคันเช่นนี้ก็ทำให้ความน่าเชื่อถือในการดำเนินนโยบายทำนองนี้หมดไป นักลงทุนจึงคาดการณ์ไปทางเดียวกันว่าบาทจะแข็งไปตามกลไกตลาดโดยที่แบงก์ชาติจะไม่กล้าออกมาตรการรุนแรงหรือขัดต่อนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่เช่นนั้นอีก โดยเฉพาะไม่กล้าแตะตลาดหุ้น จึงยิ่งทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นมาก

ผมจึงรู้สึกเสียดายที่เครื่องมือนี้หมดโอกาสที่จะนำมาใช้และพิสูจน์ตัวเองในการจัดการกับปัญหาค่าเงินแข็ง ทั้งที่หากเริ่มต้นดีอย่างอ่อนๆ และหนักแน่นมั่นคงกับมัน จะช่วยแก้ปัญหาได้มาก ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ถึงวันนี้ผมไม่คิดว่าจะมีใครกล้าใช้มาตรการนี้อีก เพราะกลายเป็นปีศาจไปแล้ว โดยเฉพาะในหมู่นักเล่นหุ้น

อย่าโยนบาปให้แบงก์ชาติ

กระนั้น ที่ผ่านมา ผมเห็นว่าแบงก์ชาติก็พยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ มากมาย ผมไม่อยากเห็นแบงก์ชาติเป็นแพะรับบาปของปัญหาค่าเงินแข็ง สังคมไทยชอบหาแพะ เพื่อผลักปัญหาออกจากตัวเอง และชอบเหยียบคนอื่นให้ตัวเองดูสูงขึ้น อย่างความผิดพลาดเรื่องการปกป้องค่าเงินบาทจนทุนสำรองหมดในสมัยวิกฤต 2540 เราก็ให้คุณเริงชัยเป็นแพะคนเดียว มันไม่ใช่ ผู้กำหนดนโยบายก็ผิดพลาดได้ ถ้าเรามี incentive structure ที่กำหนดกติกาการลงโทษไม่เหมาะสม ผู้กำหนดนโยบายก็จะไม่กล้าตัดสินใจ อยากปกป้องตัวเอง หนีความเสี่ยง ไม่ตัดสินใจทำอะไรเพราะจะได้ไม่ผิด ถ้าเป็นอย่างนี้ ประเทศชาติอาจเสียประโยชน์มากกว่า

ถึงเปลี่ยนผู้ว่าแบงก์ชาติก็ไม่ช่วยแก้ปัญหา กลับยิ่งทำให้ปัญหาสะดุด เราต้องเน้นการปฏิรูปเชิงสถาบัน อย่างปฏิรูปกระบวนการกำหนดนโยบาย มากกว่าปัญหาเรื่องตัวบุคคล ปัญหาที่เราเผชิญมันใหญ่กว่านั้น มันไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค เรากำลังสู้กับอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ กำลังหาจุดลงตัวของการรักษาสุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศเล็กๆ ที่มีระดับการเปิดประเทศสูงและพึ่งพิงภาคต่างประเทศ ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวน และอำนาจต่อรองที่ไม่เท่าเทียมกัน ค่าเงินแข็งเป็นอาการโรคหนึ่งในอีกหลายโรคเท่านั้นเอง

เราต้องช่วยกันระดมภูมิปัญญาใหม่ๆ ต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ในระยะสั้น ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ให้รัฐบาลไทยถือโอกาสลงทุนในกิจการที่เสริมสร้างผลิตภาพ (productivity) ของประเทศ ที่มีสัดส่วนของการนำเข้าสูง เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ลงทุนในโครงข่ายคมนาคม ที่ช่วยลดต้นทุนในการขนส่งสินค้า ซึ่งจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไป และลดภาระหนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ แม้มาตรการเหล่านี้จะไม่ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด อาจช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้บ้างเล็กน้อย แต่ตอบโจทย์การพัฒนาคุณภาพของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวได้ด้วย

นอกจากนั้น ภาคส่งออกก็ต้องปรับตัวเองเช่นกัน เพราะทิศทางค่าเงินบาทคงแข็งขึ้นกว่าในอดีตช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ เราจะมาหวังขายของถูกตลอดไปไม่ได้ จะหวังพึ่งรัฐให้ต้องแทรกแซงค่าเงินบาทอยู่ร่ำไปไม่ได้ ต้องมีการพัฒนาตัวเอง เพิ่มพูนผลิตภาพในการผลิต ต้องลดต้นทุนการผลิต เพื่อแข่งขันในเชิงคุณภาพให้ได้

แม้การส่งออกจะยังคงมีความสำคัญเสมอ แต่เราจะหวังพึ่งการส่งออกภาคเดียวไม่ได้ ควรพยายามเพิ่มความสำคัญของสัดส่วนการลงทุนใน GDP มากขึ้น เพราะเป็นรายจ่ายที่ส่งผลในการยกระดับความสามารถในการผลิตของประเทศ




ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม 2550 เผยแพร่ใน //www.onopen.com/




Create Date : 27 กรกฎาคม 2550
Last Update : 27 กรกฎาคม 2550 15:40:37 น. 0 comments
Counter : 852 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.