|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ความเสี่ยงในระบบการเงินยุคโลกาภิวัตน์
สฤณี อาชวานันทกุล
แม้ว่ากระแสโลกาภิวัตน์ด้านการเงินกำลังเอื้ออำนวยให้ผู้คนจำนวนมากกว่าที่เคยในอดีตสามารถเข้าถึงแหล่งทุนราคาถูกที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการยกระดับฐานะหรือคุณภาพชีวิต และนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ก็ช่วยให้สถาบันการเงินและระบบเศรษฐกิจสามารถรองรับและกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าเดิม ก็ยังมีปรากฏการณ์จำนวนไม่น้อยในโลกการเงินที่ทำให้เราสงสัยว่า ระบบการเงินโลกในปัจจุบันนั้นมีระดับความเสี่ยง น้อย กว่าเดิมจริงหรือ และ ผู้จัดการการลงทุน ยุคใหม่ โดยเฉพาะผู้จัดการกองทุนเก็งกำไรระยะสั้น (hedge fund) นั้น มีพฤติกรรมที่ช่วยลดความเสี่ยงหรือเพิ่มความเสี่ยงให้กับระบบการเงินกันแน่
ปรากฏการณ์ในโลกการเงินมักเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ในทางที่เราอาจคาดเดาผลกระทบไม่ได้ตั้งแต่แรก ตัวอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2549 และต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันคือปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้สินเชื่อบ้านราคาถูกในอเมริกา ส่งผลให้มูลค่าของ collateralized debit obligations (ซีดีโอ) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ทางการเงินที่อ้างอิงกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้เหล่านั้นลดลงอย่างฮวบฮาบ ทำให้กองทุนจำนวนมากที่ลงทุนในซีดีโอเหล่านี้ต้องขายเงินลงทุนในตลาดอื่นๆ เช่นตลาดหุ้นไทย เพื่อหาเงินไป โปะ ผลขาดทุนจาก CDO และในเมื่อ นักลงทุนเหล่านี้จำนวนมากเป็นสถาบันการเงินตัวกลางเสียเอง ก็ทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดสินเชื่อตกวูบ เพราะในกรณีอย่างนี้นักลงทุนรายอื่นๆ ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าสถาบันการเงินเหล่านี้จะขาดทุนจากธุรกรรมดังกล่าวมากน้อยเพียงใด ความไม่มั่นใจนี้ส่งผลให้นักลงทุนกล้าเสี่ยงน้อยกว่าเดิม เลือกเก็บเงินไว้กับตัว (หรือในบัญชีเงินฝากธนาคาร) สบายใจกว่า ทำให้สภาพคล่องในระบบลดลง อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นพุ่งสูงขึ้น เกิดเป็นภาวะที่ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า เงินกู้ฝืด (credit crunch) ทำความลำบากให้กับบริษัทและบุคคลธรรมดาที่ต้องการใช้เงินกู้โดยสุจริต เช่น เพื่อขยายธุรกิจ ผ่อนบ้าน ส่งลูกเรียนสูงๆ ฯลฯ
ในบรรดานักเศรษฐศาสตร์การเงินที่ติดตามพฤติกรรมของผู้จัดการกองทุนควบคู่ไปกับนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ผู้เขียนคิดว่ามีน้อยคนที่มีความคิดแหลมคมและมีวิสัยทัศน์ดีเท่ากับ รากุราม ราจัน (Raghuram Rajan) อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยชิคาโก ผู้เขียนบทความชิ้นเอกเรื่อง พัฒนาการด้านการเงินทำให้โลกเสี่ยงกว่าเดิมหรือไม่ ? (Has Financial Development Made the World Riskier ?) ในปี พ.ศ.2548 ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ในบทความชิ้นนี้ซึ่งตีพิมพ์ก่อนเกิดปัญหาซีดีโอนานนับปี ราจันชี้ให้เราเห็นความเสี่ยงของระบบการเงินโลกที่มีรากมาจากแรงจูงใจของสถาบันการเงินตัวกลางที่ไม่ตรงกับความต้องการของเจ้าของเงินที่พวกเขาเก็บรักษาให้หรือลงทุนแทน ทำให้ธนาคาร เคยตัว กว่าเดิมจนปล่อยกู้แบบ หละหลวม มากขึ้น ส่วนด้านผู้จัดการกองทุนเองก็มีแรงจูงใจที่จะแบกรับเสี่ยงมากกว่าเดิมเพื่อตามล่าหาผลตอบแทนสูงๆ ให้กับเจ้าของเงิน ในภาวะที่ระบบการเงินโลกมีสภาพคล่องสูงมาก (ซึ่งถ้าอธิบายแบบภาษาชาวบ้านก็คงแปลได้ว่า เป็นภาวะที่คนมี เงิน มากกว่ามี ของ ให้ซื้อ ก็เลยต้องไปซื้อ กระดาษ ที่ไม่ใช่ ของ จริงๆ เช่น ตราสารอนุพันธ์ที่มีมูลค่าอ้างอิงกับมูลค่าที่ดิน)
เนื่องจากบทความของราจันช่วยให้เราเข้าใจลักษณะของระบบการเงินโลกที่ เปราะบาง กว่าที่เราคาดคิด และทำให้เข้าใจพฤติกรรมของสถาบันการเงินตัวกลางสมัยใหม่ที่ เสี่ยง กว่าที่เราคาดหวัง ผู้เขียนจึงขอแปลและเรียบเรียงบางตอนจากบทความของราจันลงคอลัมน์ในวันนี้
......
ที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงหลายประการช่วยพลิกโฉมหน้าของโลกการเงิน และทำให้ตลาดการเงินมีทั้งความลึกและความกว้างมากขึ้นกว่าเดิม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นโยบายเปิดเสรีทางการเงิน และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างสถาบันที่ก่อให้เกิดสถาบันการเงินใหม่ๆ เช่น กองทุนร่วมลงทุน (private equity) และกองทุนเก็งกำไรระยะสั้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์มีบทบาทน้อยลงในฐานะผู้จัดสรรทุน จนทำให้หลายคนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การปลดล็อกสถาบันตัวกลาง (disintermediation) แต่ชื่อนี้ไม่ค่อยถูกต้องทีเดียวนัก เพราะถึงแม้ว่าคนจำนวนมากจะไม่เก็บเงินส่วนใหญ่ไว้ในบัญชีเงินฝากธนาคารอีกต่อไป พวกเขาก็ยังลงทุนทางอ้อมในตลาดทุนผ่านกองทุนรวม บริษัทประกัน และกองทุนบำนาญ และลงทุนทางอ้อมในบริษัทเอกชนผ่านกองทุนเก็งกำไรระยะสั้น กองทุนร่วมลงทุน และกองทุนประเภทอื่นๆ ผู้จัดการสถาบันการเงินเหล่านี้ ซึ่งรวมกันเรียกว่า ผู้จัดการการลงทุน ได้เข้ามาแทนที่ธนาคารพาณิชย์ กลายเป็นสถาบันตัวกลางประเภทใหม่ที่คั่นกลางระหว่างบุคคลธรรมดากับตลาด
ในขณะเดียวกัน นวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ โดยเฉพาะกระบวนการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถ ขาย ความเสี่ยงส่วนใหญ่ที่ติดมากับผลิตภัณฑ์สินเชื่อ พื้นฐาน ทั้งหลายของพวกเขาออกไปนอกงบดุลได้ (เช่น ด้วยการแปลงสินเชื่อบ้านเป็นหลักทรัพย์เพื่อขายต่อให้กับนักลงทุน) ทำให้ได้เงินสดและบันทึกกำไรจากการขายได้ทันที ประโยชน์ข้อนี้ทำให้ธนาคารพาณิชย์นิยมทำธุรกรรมนี้กันอย่างกว้างขวาง แต่อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารยังต้องแบกก้อนที่เป็น ความเสี่ยงสูงสุด ของสินเชื่อซึ่งเป็นส่วนที่นักลงทุนไม่ต้องการไว้ในงบดุล ทำให้สินทรัพย์ความเสี่ยงสูงและสภาพคล่องต่ำของธนาคารพาณิชย์ทั่วโลกมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ
ในอดีต ค่าตอบแทนของผู้จัดการธนาคาร (สถาบันการเงินตัวกลางแบบดั้งเดิม) อยู่ในรูป เงินเดือนเป็นหลัก ผู้ถือหุ้นธนาคารไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะเสนอค่าตอบแทนสูงลิบลิ่วให้กับผู้จัดการ เพราะการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดของภาครัฐทำให้การแข่งขันระหว่างธนาคารในสมัยนั้นไม่ค่อยรุนแรง และการเสนอค่าตอบแทนสูงๆ ก็อาจบิดเบือนแรงจูงใจของผู้จัดการให้วิ่งเข้าหาความเสี่ยงมากกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้โครงสร้างเงินทุนของธนาคารที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อสภาพตลาดและความเชื่อมั่นของประชาชน (เช่น ถ้าประชาชนขาดความมั่นใจในธนาคาร จนแห่ถอนเงินฝาก ธนาคารก็จะประสบปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง หรือที่เรียกว่า bank run) เปรียบเสมือนกลไกควบคุมผู้จัดการไม่ให้เสี่ยงมากเกินไป ทั้งหมดนี้แปลว่าผู้จัดการธนาคารมีแรงจูงใจที่จะทำงานแบบอนุรักษนิยมค่อนข้างมาก ผู้ฝากเงินก็สบายใจที่ธนาคารไม่เอาเงินฝากไปเสี่ยง ผู้ถือหุ้นธนาคารก็ไม่เดือดร้อนเพราะธนาคารจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ ในภาวะที่การแข่งขันยังไม่รุนแรงมาก ธนาคารมีบทบาทสูงในการจัดสรรทุน ไม่ต้องแย่งลูกค้ากับตลาดทุนและตลาดเงินดังเช่นในปัจจุบัน
แต่ในโลกการเงินสมัยใหม่ ผู้จัดการการลงทุน (สถาบันการเงินตัวกลางแบบใหม่) ไม่สามารถรับเงินเดือนแบบ น้อยแต่มั่นคง เหมือนผู้จัดการธนาคารได้ เพราะพวกเขามีหน้าที่แสวงหาแหล่งลงทุนที่ได้กำไรสูงสุดสำหรับเจ้าของเงิน ทำให้ต้อง ผูก ค่าตอบแทนของพวกเขาเข้ากับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ทำได้ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง (คือกองทุนรายอื่นๆ) แรงจูงใจดังกล่าว ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่า เจ้าของเงินสามารถโยกย้ายเงินลงทุนไปให้กองทุนรายอื่นบริหารแทนได้อย่างง่ายดาย ทำให้อัตราผลตอบแทนที่นักลงทุน (เจ้าของเงิน) ได้รับ ยิ่งเกี่ยวโยงกับระดับค่าตอบแทนของผู้จัดการการลงทุนมากขึ้นไปอีก
ลักษณะแรงจูงใจของผู้จัดการการลงทุนแตกต่างจากแรงจูงใจของผู้จัดการธนาคารใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ ประเด็นแรก เนื่องจาก ผู้จัดการการลงทุนจะได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าเดิมถ้าทำกำไรได้สูงๆ ผู้จัดการการลงทุนจึงมีแรงจูงใจที่จะเสี่ยงมากกว่าปกติ (เพราะหลักการพื้นฐานในโลกการเงินคือ ยิ่งเสี่ยงมาก ยิ่งมีแนวโน้มจะได้กำไรมาก) ประเด็นที่ 2 ผลการดำเนินงานเชิงเปรียบเทียบของผู้จัดการการลงทุน (คือเปรียบเทียบกับผลงานของกองทุนอื่นๆ) เป็นปัจจัยสำคัญที่ถูกใช้เป็นเกณฑ์กำหนดค่าตอบแทนของผู้จัดการการลงทุน ดังนั้นจึงอาจทำให้พวกเขามีแรงจูงใจที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม เช่น ลงทุนในหลักทรัพย์ที่อาจประสบผลขาดทุนร้ายแรง แต่ความเป็นไปได้ (probability) ของกรณีร้ายแรงนั้นอยู่ในระดับต่ำ (ในสายตาของผู้จัดการการลงทุน) ในขณะที่หลักทรัพย์นั้นให้อัตราผลตอบแทนงามๆ ในกรณีส่วนใหญ่ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่า นอกจากนี้ ผู้จัดการการลงทุนจำนวนมากก็เลือกลงทุนแบบ แห่ตาม (herd mentality) คู่แข่ง ซึ่งเปรียบเสมือนการ ซื้อประกัน ว่าผลการดำเนินงานของพวกเขาอย่างน้อยจะไม่ด้อยไปกว่าคู่แข่ง (เพราะถ้าด้อยกว่าก็หมายความว่าจะได้รับค่าตอบแทนส่วนตัวน้อยลง) พฤติกรรมลงทุนแบบ แห่ตามกัน แบบนี้อาจทำให้ราคาสินทรัพย์ที่ไปลงทุนปรับตัวสูงขึ้นกว่ามูลค่าที่แท้จริง (fundamental value) ค่อนข้างมากและอย่างรวดเร็ว
พฤติกรรมทั้ง 2 ประเภทของผู้จัดการการลงทุน (เสี่ยงมากกว่าปกติ และลงทุนแบบแห่ตาม) อาจส่งผลกระตุ้นซึ่งกันและกันในช่วงที่ราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น (asset price boom) ซึ่งเป็นภาวะที่ผู้จัดการการลงทุนจำนวนมากรู้สึกว่าพวกเขา รับได้ กับความเสี่ยงผลกระทบสูงที่มีความเป็นไปได้ต่ำ (low probability tail risk) ว่า ราคาสินทรัพย์อาจตกวูบลงสู่ระดับที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างเฉียบพลัน และการที่พวกเขาเห็นคู่แข่งจำนวนมากลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจว่าอย่างน้อยผลดำเนินงานของพวกเขาก็คงไม่ย่ำแย่ไปกว่า คู่แข่ง (underperform) ในช่วงที่ภาวะตลาดขาขึ้นกลับกลายเป็นขาลง
แรงจูงใจทำนองนี้ของผู้จัดการการลงทุนจะพุ่งสูงกว่าเดิมในภาวะดอกเบี้ยต่ำ เพราะสถานการณ์แบบนั้นทำให้พวกเขายิ่งต้อง วิ่งหาผลตอบแทน สูงๆ ในตลาด และก็สามารถกู้เงินไป ต่อยอด กำไรได้ด้วยต้นทุนต่ำ แปลว่าสถานการณ์แบบนี้ยิ่งเอื้อต่อการเกิดภาวะ ฟองสบู่ (ราคาสินทรัพย์พุ่งสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงหลายเท่า) มากกว่าเดิม
ประเด็นที่น่าขบคิดคือ ในโลกแบบนี้ ธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายจะสามารถทำหน้าที่เป็น ผู้มอบสภาพคล่อง ให้กับระบบการเงินอย่างเพียงพอได้หรือไม่ ในกรณีที่ความเสี่ยงผลกระทบสูงที่มีความเป็นไปได้ต่ำ (tail risk) นั้นเกิดปะทุขึ้นมาจริงๆ เพราะธนาคารพาณิชย์ปัจจุบันได้ ยกความเสี่ยง บางส่วนออกไปนอกงบดุลของตัวเองด้วยการใช้นวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ดังที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาสภาพคล่องในตลาดเสียเองเพื่อป้องกันหรือกำจัดความเสี่ยง (hedge) จากนวัตกรรมเหล่านั้นให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แปลว่างบดุลของธนาคารมีความอ่อนไหวต่อตลาดมาก ซึ่งหมายความว่า ในช่วงวิกฤตที่สภาพคล่องในตลาดเหือดหาย ธนาคารพาณิชย์อาจไม่สามารถทำหน้าที่เป็นผู้มอบสภาพคล่องได้อย่างที่เคยในอดีต เพราะเป็นผู้ต้องการสภาพคล่องไม่ต่างจากนักลงทุนรายอื่นๆ (นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ธนาคารกลางอาจจำเป็นต้องแทรกแซงตลาดยามวิกฤต ในฐานะผู้มอบสภาพคล่องขั้นสุดท้าย (liquidity provider of last resort) ให้กับระบบการเงิน)
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หมายความว่า ถึงแม้ว่าระบบการเงินปัจจุบันจะมีจำนวนผู้เล่นมากกว่าเดิมที่สามารถรองรับความเสี่ยงได้ ความเสี่ยงโดยรวมของระบบกลับอยู่ในระดับสูงกว่าในอดีต ตามทฤษฎีการเงิน ผู้เล่นในตลาดควรมีความหลากหลายทั้งด้านความเห็น (เช่น ระดับความเสี่ยงที่ รับได้) และการกระทำ ทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของระบบถูก กระจาย อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในความเป็นจริง การแข่งขันระหว่างผู้จัดการการลงทุนและรูปแบบค่าตอบแทนที่อธิบายไปแล้วข้างต้น ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้จัดการการลงทุนมีความคล้ายคลึงกันมากกว่าที่ทฤษฎีพยากรณ์ไว้ ระบบการเงินอิงกับวัฏจักรธุรกิจ (procyclicality) มากกว่าในอดีต และทำให้เราไม่สามารถกำจัดความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตการเงินขึ้นรุนแรงได้ทั้งหมด (ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้ของกรณีนั้นอาจมีระดับต่ำมาก)
ราจันเสนอว่า วิธีหนึ่งที่ผู้กำกับดูแลภาครัฐควรใช้เพื่อลดระดับการบิดเบือนแรงจูงใจของผู้จัดการการลงทุน เพื่อพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพวกเขาให้เป็นไปในทางที่สอดคล้องกับประโยชน์ส่วนรวมมากขึ้น (ความเสี่ยงของระบบการเงินลดลง) คือให้ภาครัฐเริ่มกำกับดูแลวิธีการจ่ายค่าตอบแทนของผู้จัดการการลงทุน (compensation regulation) เช่น บังคับให้ค่าตอบแทนส่วนหนึ่งของพวกเขาอยู่ในรูปหุ้นของสถาบันที่พวกเขาทำงานให้ แล้วเก็บเงินนั้นไว้ในบัญชีธนาคาร (escrow account) และจ่ายให้ผู้จัดการการลงทุนหลังจากเวลาผ่านไป 3-4 ปี เพื่อพยายามกระตุ้นให้พวกเขาลงทุนแบบ สายตายาว มากกว่าเดิม ไม่ใช่พยายามวิ่งหาผลตอบแทนระยะสั้นด้วยการ แห่ลงทุน ในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเป็นหลัก
ในเมื่อระบบการเงินโลกมีความเสี่ยงสูงขนาดนี้ดังที่ราจันชี้ให้เราเห็น คำถามที่น่าคิดต่อไปคือ เหตุใดจึงยังไม่มีประเทศใดหรือองค์กรโลกบาลใดรับเป็น เจ้าภาพ ในการร่วมกันคิดหาทางออกจากภาวะล่อแหลมต่างๆ ในปัจจุบัน ที่อาจนำไปสู่วิกฤตทางการเงินระดับโลกรอบใหม่ เช่นปัญหาขาดดุลการค้าอย่างมหาศาลของสหรัฐอเมริกา และความลักลั่นระหว่างตลาดทุนกับภาคเศรษฐกิจจริงในประเทศกำลังพัฒนามากมายที่ต้องพึ่งพา เงินร้อน ที่เคลื่อนไหวข้ามพรมแดนในชั่วพริบตา ?
ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 24 กันยายน 2550 เผยแพร่ต่อใน //www.onopen.com/2007/01/2196
Create Date : 24 กันยายน 2550 |
Last Update : 31 ตุลาคม 2550 18:52:13 น. |
|
2 comments
|
Counter : 809 Pageviews. |
|
|
|
โดย: bekira IP: 83.226.251.141 วันที่: 31 ตุลาคม 2550 เวลา:2:29:19 น. |
|
|
|
โดย: Darksingha วันที่: 31 ตุลาคม 2550 เวลา:18:52:19 น. |
|
|
|
|
|
|
|