แดนไร้รัฐ
แดนไร้รัฐ
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ 11 กรกฎาคม 2548
โดยดำริของกระทรวงศึกษาฯและโดยอนุวัตรของกระทรวงมหาดไทย บัดนี้ครูในสามจังหวัดภาคใต้ได้รับอนุญาตให้มีใบพกพาอาวุธปืน ในขณะที่สามารถซื้อปืนได้ในราคากระบอกละ 4,500 บาท แถมยังอาจผ่อนส่งได้ในระยะยาวด้วยสำหรับครูที่มีรายได้น้อย
หากการอำนวยความปลอดภัยแก่พลเมือง คือการอนุญาตให้พกอาวุธร้ายแรงเช่นปืน ยังมีคนในสามจังหวัดภาคใต้อีกมากที่ควรได้รับสิทธิอันนี้ เช่นเจ้าของสวนผลไม้, แรงงานรับจ้างกรีดยาง, ผู้ที่โดยตำแหน่งหน้าที่อาจถูกถือว่าเป็นคนของรัฐ นับตั้งแต่กำนันผู้ใหญ่บ้าน ไปจนถึงยามโรงพยาบาล นักเรียนในโรงเรียนของพวก"ซีแย" ไปจนถึงคนขายไอติม แม้แต่โต๊ะครูและโต๊ะอิหม่ามบางราย ยังถูกจดหมายขู่ว่าจะถูกทำร้ายหากให้ความร่วมมือกับรัฐ
และว่ากันไปแล้ว ทั้งประเทศไทย มีคนที่ควรพกปืนไว้ป้องกันตัวเกือบทุกคน เช่นสาวที่อยากสวมเสื้อสายเดี่ยวหรือเกาะอก ก็ควรคาดเข็มขัดปืนให้เห็นๆ ไปพร้อมกัน เด็กสี่ขวบในดงคนงานก่อสร้าง หรือหญิงชราอายุ 70 ซึ่งต้องอยู่คนเดียวในบ้านพัก ฯลฯ
อันที่จริง สิทธิในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของตนเองนั้นเป็นสิทธิพื้นฐาน หรือพูดแบบจอห์น ล้อค เป็นสิทธิตามธรรมชาติ คือทุกคนมีมาตั้งแต่เกิด เพราะเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ที่ไม่ต้องรอให้ร่างรัฐธรรมนูญเสียก่อนจึงเกิดสิทธินี้ขึ้นได้ ระบบกฎหมายโดยทั่วไปยอมรับสิทธินี้ เช่นในกฎหมายไทย หากพิสูจน์ได้ว่าการกระทำอันสมแก่เหตุนั้นเป็นไปเพื่อป้องกันชีวิตและความปลอดภัยของตนเอง ก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้นตามกฎหมาย แม้เป็นผลให้ผู้อื่นเสียชีวิตก็ตาม
ในสังคมที่ได้รับมรดกจากเคาบอยอย่างหนักเช่นอเมริกัน สิทธินี้ถูกแปรไปเป็นสิทธิการถืออาวุธ ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญอเมริกัน และแม้จะทำให้สังคมอเมริกันเป็นสังคมแห่งความรุนแรงอย่างบ้าเลือดสักเพียงไร ก็ยังไม่สามารถยกเลิกสิทธินี้ได้
อย่างไรก็ตาม ในสังคมอื่นๆ โดยส่วนใหญ่ทั้งโลกสิทธิธรรมชาตินี้ถูกเพิกถอนไปทั้งหมดหรือบางส่วน เช่นในประเทศไทย การที่เราต้องขออนุญาตครอบครองอาวุธปืนจากทางการ ก็หมายความว่าสิทธินี้ไม่มีต่อไปอีกแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับวินิจฉัยของบ้านเมืองว่า มีความจำเป็นและความเหมาะสมหรือไม่ที่จะได้รับอนุญาตให้ครอบครองหรือพกพาอาวุธร้ายแรงเช่นปืน
ว่ากันโดยหลักการ เมื่อเราพร้อมใจกันออกมาจากรัฐธรรมชาติ เข้ามาอยู่ร่วมกันในรัฐการเมือง เราต่างยอมสละสิทธิธรรมชาติข้อนี้เป็นส่วนใหญ่ให้แก่รัฐ เพื่อให้รัฐทำหน้าที่นี้แทนเรา และข้อใหญ่ใจความของการที่เราเข้ามาอยู่ในรัฐการเมือง ก็เพราะเราต้องการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินนั่นเอง รัฐการเมืองสามารถให้สิ่งนี้แก่เราได้ โดยไม่จำเป็นต้องเล่นกล้าม, ฝึกยิงปืน, หรือกลายเป็นพนม ยีรัม อย่างที่ทุกคนต้องเป็นในรัฐธรรมชาติ ในรัฐการเมืองเท่านั้นที่ชีวิตจะว่างพอสำหรับแต่งเพลงดีๆ และฟังเพลงดีๆ ได้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คืออารยธรรมเกิดได้ในรัฐการเมืองเท่านั้น
ฉะนั้น รัฐที่ไม่สามารถทำหน้าที่พื้นฐานนี้ได้ กลับติดอาวุธร้ายแรงเช่นปืนให้พลเมืองเพื่อดูแลความปลอดภัยของชีวิตเอาเอง ย่อมหมายความว่ารัฐการเมืองนั้นล้มละลาย ปิดกิจการ และปล่อยทุกคนกลับคืนไปอยู่ในรัฐธรรมชาติตามเดิม
ถ้าอย่างนั้น ต้องกลับมาถามว่า พฤติกรรมโหดร้ายป่าเถื่อนที่กลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้กระทำอยู่เวลานี้ จะเป็นความผิดได้อย่างไร ในรัฐธรรมชาติ เราต่างมีเสรีภาพที่จะใช้วิธีการทุกอย่างเท่าที่อยู่ในความสามารถตามธรรมชาติของเรา เพื่อบรรลุเป้าหมายที่เราต้องการไม่ใช่หรือ?
ว่ากันในทางผลของการปฏิบัติ การยกสิทธิธรรมชาติในการรักษาความปลอดภัยของชีวิตแก่รัฐมีประสิทธิภาพกว่าการรักษาเอาไว้เอง มีประสิทธิภาพกว่าแปลว่าทำให้ชีวิตของแต่ละคนปลอดภัยกว่า
ไม่ว่าจะติดอาวุธประจำกายแค่ไหนก็ตาม หากบุคคลนั้นถูกจ้องทำร้าย ก็ยากที่จะป้องกันตัวเองไว้ได้ ไม่อย่างนั้นตำรวจทหารคงไม่ถูกลอบทำร้ายอย่างที่ผ่านมาแล้ว อย่าลืมว่าผู้จ้องทำร้ายเป็นฝ่ายเลือกโอกาสและจังหวะ ไม่ใช่ผู้ถูกลอบทำร้ายซึ่งต้องดำเนินชีวิตตามปกติของตนเป็นธรรมดา
ถึงครูจะได้รับการฝึกยิงปืนจากทหาร (ตามคำสัมภาษณ์ของ รมต.กลาโหม) แต่ผู้ลอบทำร้ายย่อมเลือกโอกาสและจังหวะที่ครูไม่สามารถใช้อาวุธนั้นป้องกันตัวได้ ยิ่งไปกว่านี้ ยิ่งรู้ว่าตัวไม่ได้เป็นฝ่ายเลือกโอกาสและจังหวะในเสี้ยววินาทีเอง คำถามก็คือยิงก่อน (pre-emptive strike-อย่างที่อเมริกันทำกับอิรัก) ได้ไหม? ท่ามกลางความหวาดระแวงอย่างหนักในพื้นที่ทุกวันนี้ คนพกปืนทุกคนย่อมเลือกขอเป็นฝ่ายยิงก่อน
ใกล้เคียงเท็กซัสในหนังฮอลลีวู้ดไปทุกที
และหากครูเป็นฝ่ายยิงก่อน โดยค้นไม่พบอาวุธของผู้ถูกยิงเลย ตำรวจจะทำคดีอย่างไร?
ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายก่อความไม่สงบยังมีเหตุที่พึงทำร้ายครูเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง นอกจากทำให้เกิดความตระหนกกลัวแล้ว ยังได้อาวุธปืนพกไว้ใช้ปฏิบัติการเพิ่มอีกหนึ่งกระบอก ปืนจึงยิ่งลดระดับความปลอดภัยของครูลง
ทั้งนี้มิได้หมายความว่า เราไม่มีทางเพิ่มความปลอดภัยแก่ครูในสามจังหวัดภาคใต้เลย และควรปล่อยให้ครูเผชิญชะตากรรมเอาเอง
แต่เหตุใดจึงไปคิดว่าปืนคือความปลอดภัย ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของแฟนหนังเคาบอย ตัวเลขจากในทุกสังคมพบว่า การกระจายปืน โดยเฉพาะปืนพกในหมู่พลเมืองทำให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินลดลง แม้ในสภาพจลาจลอย่างที่สามจังหวัดภาคใต้เผชิญอยู่ ปืนก็ไม่ทำให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น ในระยะยาวแล้วปืนกลับจะไปตกอยู่ในมือคนที่ทำร้ายสังคมมากกว่าอยู่ในมือสุจริตชน
จะโดยวิธีใดก็ตาม รัฐต้องให้ความปลอดภัยแก่ครู (และแก่คนอื่นๆ ทุกฝ่ายที่ถูกทำร้ายอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะถูกทำร้ายโดยฝ่ายใดโดยขาดความเป็นธรรม) แม้ต้องทุ่มเทงบประมาณและกำลังคนไปเท่าไรก็ตาม หากมาตรการคุ้มครองครูอย่างที่ตำรวจและทหารใช้อยู่เวลานี้ไม่ได้ผล ก็ต้องปรับแก้และปรับปรุงจนกว่าจะได้ผล เป้าหมายสำคัญในการปฏิบัติการของรัฐก็คือ นำเอาชีวิตปกติสุขกลับคืนมาให้แก่ผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่แจกอาวุธให้เฉพาะคนที่ตัวไว้วางใจ แล้วต่างคนต่างไป ตัวใครตัวมัน
ในอีกด้านหนึ่ง ครูและผู้บริหารโรงเรียน(รวมไปถึงกระทรวงศึกษาฯ)ต้องร่วมกันคิดให้ดีว่า มีมาตรการรักษาความปลอดภัยให้แก่ครูด้วยวิธีอื่นอีกหรือไม่ เช่นการสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้นระหว่างโรงเรียนและบ้าน การเร่งสร้างบ้านพักครูในโรงเรียนหรือในชุมชนใกล้เคียง (เพื่อลดการเดินทาง และสะดวกแก่การอำนวจความปลอดภัยของฝ่ายเจ้าหน้าที่) การทำให้ครูมีบทบาทร่วมกับผู้นำท้องถิ่น ฯลฯ
ถ้าความปลอดภัยในชีวิตเกิดขึ้นได้จากปืนเพียงอย่างเดียว ยังเหลือรัฐไทยไว้ให้รักษาบุรณภาพอีกหรือ
ที่มา //www-unix.oit.umass.edu/~pokpongj/Interest/interest_nithi_a15.htm
Create Date : 03 กรกฎาคม 2550 |
Last Update : 3 กรกฎาคม 2550 16:16:26 น. |
|
0 comments
|
Counter : 832 Pageviews. |
|
|
|
|
|