Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
2 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
รัฐธรรมนูญชาวบ้าน: พื้นที่วัฒนธรรมทางการเมืองในชีวิตประจำวัน

Dr. Andrew Walker : เขียน
Resource Management in Asia-Pacific Program
The Australian National University
พรรณพิไล กิจสุดแสง : แปล
(ชื่อเดิม: "รัฐธรรมนูญชาวบ้าน" และการเมืองในชีวิตประจำวันของการเลือกตั้งในภาคเหนือของไทย)


เกริ่นนำ "การเมืองในชีวิตประจำวันนั้นสำคัญไฉน?"

"ผมสงสัยว่าคนไทยหลายคนยังขาดความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตย ประชาชนยังต้องเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ของตน บางคนยังต้องเรียนเกี่ยวกับวินัย ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องให้การศึกษาประชาชนในเรื่องประชาธิปไตย มันเป็นสิ่งท้าทายที่จะให้คนไทย 60 ล้านคนเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องประชาธิปไตย สิทธิ หน้าที่และกฎระเบียบ ประชาธิปไตยจะเติบโตเมื่อประชาชนได้เรียนรู้ความหมายที่แท้จริง"
(สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร, 2550)

การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สืบทอดความชอบธรรมทางอุดมคติที่ว่า รัฐบาลทักษิณนั้นขาดความชอบธรรมเพราะมาจากการเลือกตั้งที่"ถูกซื้อ" มาจากผู้มีสิทธิที่ขลาดเขลาและถูกชักจูงได้ง่าย นี่ไม่ใช่เหตุผลเดียวเท่านั้น แต่การปฏิเสธความชอบธรรมในการเลือกตั้ง ถูกใช้เป็นฐานในการทำให้การล้มเลิกรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งมาแล้วถึงสามครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ปลายปี 2549 นั้น ก็ถูกพวกที่ปกป้องการทำรัฐประหารโต้แย้งว่า คนที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนั้น ก็ใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินที่เหมาะสมไม่ได้ ต่อการที่รัฐบาลทักษิณอันมีความผิดที่รู้กันไปทั่วจะได้รับการเลือกตั้ง และเมื่อต้องเผชิญกับแนวโน้มว่าพรรคไทยรักไทยของทักษิณจะชนะการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น คณะรัฐประหารจึงกล่าวอ้างว่า การแทรกแซงของทหารเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ภาวะชะงักงันทางการเมืองได้ และในสายตาของฝ่ายตรงข้ามทักษิณ ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะยังคงสนับสนุนทักษิณต่อไปนั้น เป็นหลักฐานที่ชัดเจนอันแสดงความไร้เหตุผลของผู้มีสิทธิลงคะแนนและความล้มเหลวของกระบวนการเลือกตั้ง

ข้ออ้างดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือแม้แต่การที่ข้ออ้างนั้นถูกนำมาใช้สนับสนุนการแทรกแซงโดยกองทัพ นักวิจารณ์การเมืองกล่าวว่า คนไทยโดยเฉพาะชาวชนบท ขาดคุณสมบัติพื้นฐานของการเป็น "พลเมือง" ในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ (Conners, 2003) งานศึกษาที่ว่าด้วยความไม่พอหรือ"ขาด" ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมุ่งไปที่ประเด็นหลัก ๓ ประการ

ประการแรก ผู้มีสิทธิ์ในชนบทด้อยการศึกษา คับแคบ ไม่ค่อยสนใจในข้อเสนอนโยบาย ขาดความเข้าใจในประเด็นนโยบายระดับชาติ เลือกตัวแทนเพียงผลประโยชน์เฉพาะหน้า

ประการที่สอง เนื่องจากยากจน ขาดการพัฒนาตนเอง จึงมักถูกชักจูงง่ายด้วยอำนาจเงิน การขายเสียงเป็นเสมือนโรคเรื้อรัง มีการแจกเงินจากผู้สมัครโดยผ่านเครือข่ายของหัวคะแนน ซึ่งเล่นบทสำคัญในการรักษาเสียงสนับสนุน

ประการที่สาม การเคลื่อนไหวเลือกตั้งในชนบท ผ่านโครงข่ายอุปถัมภ์ที่ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นสามารถที่จะควบคุมเสียงโหวตให้กับเจ้านายของตัวได้ มีงานศึกษาที่ให้ภาพการก้าวขึ้นมาของนักธุรกิจและเจ้าพ่อ (McVey,2000) ที่ช่วยเสริมความเข้มแข็งของความสัมพันธ์แบบ นาย-ลูกน้องในพฤติกรรมการเมืองของชนบท ส่วนงานเขียนของเกษียร (2006:14-15) "ระบอบการเลือกตั้ง" ในไทย ฉายภาพองค์ประกอบสำคัญของมุมมองเกี่ยวกับผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในชนบท

"ที่ฐานของระบอบเลือกตั้งนั้นมีผู้มีสิทธิ์อยู่ 40 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจน ด้อยการศึกษาและอยู่ในชนบท สิทธิในการเลือกตั้งของเขาเหล่านั้นมักโดนย่ำโดยเจ้าหน้าที่ผู้หยิ่งยโส เจ้าพ่อท้องถิ่นและนักการเมืองมาตลอด พวกเขาเหล่านั้นจึงต้องหาทางเอาประโยชน์จากสิ่งที่ยังเหลืออยู่ก็คือ ขายเสียงให้นักการเมืองท้องถิ่นเพื่อเงิน, งาน, การคุ้มครองหรือสวัสดิการนอกระบบ นักการเมืองที่ทำหน้าที่วางนโยบายหลักก็ไม่เคยใส่ใจถึงผลประโยชน์ของคนในชนบท ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นก็ถูกทั้งรัฐและเอกชนใช้จนหมดสิ้น คนเหล่านี้ถูกบังคับให้กลับกลายเป็นผู้สมคบคิดที่เต็มใจในการคอร์รัปชั่นอย่างเป็นระบบของประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง"

ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในชนบทสลัดภาพพจน์ดังกล่าวออกไปได้ยากเต็มที และมักกล่าวหากันว่า การปฏิรูปการเลือกตั้งโดยเพิ่มกฎเกณฑ์ให้มากขึ้น ส่งผลน้อยมากกับการเลือกตั้งที่หล่อลื่นด้วยเงิน คำตอบเดียวที่เราได้ยิน ได้ฟังกันมาโดยตลอด ก็คือต้องมีการรณรงค์ให้การศึกษาทางการเมืองกับผู้มีสิทธิ์ในชนบท เพื่อให้เข้าใจวัตถุประสงค์ของการเลือกตั้งอย่างถูกต้องเหมาะสม และเป็นการกระตุ้นสำนึกทางการเมืองด้วย(Suchit,1996)

ในบรรยากาศหลังรัฐประหาร การให้ความรู้ทางการเมืองได้รับการสานต่ออย่างมีสำนึกโดยสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำขบวนต่อต้านทักษิณ ซึ่งมองการณ์ในอนาคตว่า ต้องเริ่มด้วยให้สำนึกทางการเมืองเกี่ยวกับประชาธิปไตยที่ปราศจากการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนแก่คนชั้นกลางในเมือง ให้ค่อยๆ แผ่ขยายไปสู่คนชนบทส่วนใหญ่ที่ยังยึดติดอยู่กับความคับแคบและมุ่งแต่ตัวเงิน (Walker, 2006)

จากงานเขียนเกี่ยวกับพฤติกรรมการเมืองชนบทในประเทศไทยและที่อื่นๆ ในภูมิภาค ได้เสนอทางเลือกหลัก ๒ แนวทางให้กับมุมมองด้านลบของพฤติกรรมการเมืองชนบทนี้

แนวทางแรก เน้นที่การเคลื่อนไหวที่ไม่ต้องเลือกตั้งของคนชนบท เป็นการร่วมแนวไปกับกลุ่ม NGOs เพื่อต้านการเข้าไปรวมอยู่กับการกำกับของรัฐและทุนธุรกิจการตลาด มีงานศึกษาจำนวนมากรวมทั้งบทวิเคราะห์ของนักเคลื่อนไหวสังคม ที่บันทึกการต่อสู้ที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งของท้องถิ่น (ประชาธิปไตยทางตรง) เพื่อต้านกระแสการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, นโยบายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ใช้มาตรการบังคับกดขี่และการนำทรัพยากรมาแปรเป็นสินค้า การเข้าร่วมของชาวบ้านในขบวนการประท้วง และการร่วมรณรงค์ และความมุ่งมั่นที่จะจัดการทรัพยากรโดยชุมชน และการส่งเสริมการใช้ความรู้ท้องถิ่นอย่างแพร่หลาย

ทั้งหมดนี้ได้รับการกล่าวถึงในฐานะที่เป็นหลักฐานที่แสดงถึงกระบวนการประชาสังคมชนบทที่มีจุดยืนอยู่ตรงข้ามกับทิศทางการพัฒนาหลักที่ถูกกำหนดโดยรัฐไทย แต่ทว่างานเหล่านี้เป็นฐานที่มั่นคงพอที่จะช่วยทบทวนวัฒนธรรมการเมืองท้องถิ่นหรือไม่? ผู้เขียนคิดว่า ไม่พอ มุมมองของผู้เขียนในประเด็นนี้ได้รับอิทธิพลจากลักษณะเฉพาะของพื้นที่วิจัยของผู้เขียนเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วกล่าวได้ว่า การเคลื่อนไหวขององค์กร"รากหญ้า"มีอยู่ไม่มากนัก ทั้งที่มีประเด็นปัญหาทางสังคมโดยพื้นฐานอยู่มากเช่นกัน การมีส่วนร่วมในองค์กรเหล่านี้มีไม่มากนัก ผลกระทบจากการเคลื่อนไหวขององค์กรเหล่านี้มีอยู่เฉพาะเขตที่มีความขัดแย้ง ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติค่อนข้างแหลมคม ที่สำคัญก็คือการรณรงค์ในชนบทที่ขับเคลื่อนโดยองค์กรประชาสังคม มีฐานมาจากสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า "ความชอบธรรมแบบจำกัด" ที่ขึ้นอยู่กับ จินตภาพของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่น, การเกษตรกรรมแบบพอเพียง, และการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายสอดคล้องกับวิถีธรรมชาติ. (Walker, 2001; 2004)

นี่ถือว่าเป็นกรอบการเสริมสร้างพลังของท้องถิ่น ซึ่งยากที่จะนำมาผสานเข้ากับนโยบายรัฐบาลทักษิณที่ได้รับการสนับสนุนจากการเลือกตั้งอย่างกว้างขวาง เนื่องจากนโยบายรัฐบาลทักษิณมุ่งส่งเสริมเงินจากภายนอกสู่การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ด้วยการแปรทรัพยากรเป็นทรัพย์สินและเงินตรา เมื่อนักชุมชนนิยมและองค์กรประชาสังคมต้องเผชิญกับ"การหักหลังของชนบท" ก็เลยติดป้ายให้กับคนชนบทอย่างง่ายๆ ว่าเป็นพวกที่ถูกดึงดูดได้ด้วย "ธนกิจการเมือง" (Walker, 2007)

แนวทางที่สอง แนวทางการวิเคราะห์พฤติกรรมการเมืองแนวทางที่สอง เน้นการเมืองในชีวิตประจำวัน แนวทางนี้ได้รับความสนใจน้อยกว่ามากในบริบทของไทย แนวคิดนี้มีที่มาจากงานของScott (1985) ที่สังเกตความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการ, ชีวิตประจำวัน และอาการปกปิดซ่อนเร้นของคนที่เป็นเบี้ยล่าง แสดงความไม่พอใจต่อโครงสร้างอำนาจ และระบบการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม

งานศึกษาชิ้นสำคัญของ Kerkvliet (2002) ในฟิลิปปินส์ที่เน้นการเมืองในชีวิตประจำวัน (เพื่อต้านกับมุมมองที่แพร่หลายกว่า) ว่า พฤติกรรมการเมืองก็คือการเข้าใจการปฏิบัติการของกลุ่มพวกพ้อง(ที่จัดชั้นตามลำดับโครงสร้าง) ในการเคลื่อนไหวให้ผู้ใช้สิทธิ์สนองความต้องการทางการเมืองของชนชั้นสูง. ในความพยายามที่จะขยายมุมมองการเมืองในชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นการพิจารณาว่า พฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรม"การเมือง" Kerkvliet เสนอให้ใส่ใจกับรูปแบบของการเมืองในชีวิตประจำวันที่อยู่นอกเหนือการวิเคราะห์การเมืองแบบเดิม มุมมองที่กว้างขึ้นนี้ระบุรวมไปถึง การพูด, ถกเถียง, ความขัดแย้ง, การตัดสินใจ, และการร่วมมือระหว่างบุคคล กลุ่มและองค์กร โดยคำนึงถึง การควบคุม การจัดสรร และการใช้ทรัพยากร รวมทั้งคุณค่าและความคิดที่เป็นฐานของกิจกรรมเหล่านั้นด้วย

การถกเถียงและคุณค่าเหล่านี้ ควรได้รับการสำรวจผ่านความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการและการเมืองในชีวิตประจำวันในรูปของ หนังสือประท้วง, การลักขโมย, การนินทา, การหลีกเลี่ยง, การวินาศกรรม, การประณาม และการประท้วงอย่างเปิดเผย. มิติหลักของการวิเคราะห์นี้อยู่ที่ชุดคุณค่าที่แสดงในกิจกรรมการเมืองในชีวิตปกติ โดยอาศัยงานของ Scott (1976) "เศรษฐศาสตร์ศีลธรรม" Kerkvliet จำแนกชุดของคุณค่าที่เกี่ยวกับ การช่วยเหลือกัน ความต้องการพื้นฐาน ความปลอดภัยและศักดิ์ศรี ที่มี "ปฏิสัมพันธ์ " และ "แย่งชิง" กับคุณค่าที่ค้ำจุนเศรษฐกิจทุนนิยมและความสัมพันธ์การตลาด

นี่เป็นแนวทางการวิเคราะห์ที่ผู้เขียนเห็นว่า เป็นประโยชน์ในการช่วยทำความเข้าใจวัฒนธรรมการเมืองท้องถิ่นของไทย จุดแข็งของมุมมองนี้อยู่ที่การเน้นการถกเถียงในวิถีชีวิตปกติ เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรในระดับท้องถิ่น มากกว่าที่จะเป็นการศึกษากรณีศึกษาที่มีความเฉพาะตัวของการเคลื่อนไหวภายใต้ร่มธงขององค์กรประชาสังคม และเป็นการท้าทายมุมมองที่เห็นว่า การเมืองชนบทสามารถเข้าใจได้ด้วยการติดตามการเคลื่อนไหวของชาวนาผู้รู้น้อยและสมองทึบ ที่ทำไปเพื่อสนองผลประโยชน์ทางการเมืองของนายที่เป็นชนชั้นสูงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การประยุกต์ใช้แนวทางการศึกษานี้ในพื้นที่ภาคเหนือ ผู้เขียนเสนอให้มีการปรับแนวทางของ Kerkvliet โดยที่ผู้เขียนมีแนวโน้มที่จะไม่ลากเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่าง "การเมืองในชีวิตประจำวัน (นอกระบบ)" กับ "การเมืองแบบเลือกตั้ง (ในระบบ)" การเลือกตั้งที่มีอย่างสม่ำเสมอและระดับการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งที่ค่อนข้างสูง มีผลต่อลักษณะเฉพาะของการศึกษาครั้งนี้ ในพื้นที่วิจัยของผู้เขียนนี้มีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติถึง 7 ครั้งในรอบสองปี (ระหว่างพ.ศ.2547 ถึง พ.ศ.2549) ยอดผู้ไปใช้สิทธิ์มีอยู่สูง (ประมาณ 80%) และที่สำคัญมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสนามการเมืองในระบบ

จากการที่มีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับสูงอย่างนี้ การพูดคุยในประเด็น "การเลือกตั้ง" "ผู้สมัคร" "นโยบาย" และ"การรณรงค์หาเสียง" เป็นเรื่องปกติของชีวิตประจำวัน การแข่งขันเลือกตั้งพัวพันเข้าเป็นส่วนของความสัมพันธ์ทางสังคมท้องถิ่น และคุณค่าที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของชุมชนนั้นขยายเข้าสู่ปริมณฑลของการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว

คุณค่าท้องถิ่นที่สื่อผ่านการเมืองในชีวิตประจำวันของการเลือกตั้ง เป็นประโยชน์ในฐานะที่เป็น "รัฐธรรมนูญชาวบ้าน" ได้ โดยทั่วไปคำว่ารัฐธรรมนูญกำกับการกระทำของรัฐบาล จำแนกโครงสร้างรัฐบาล กำหนดหน้าที่และกระจายอำนาจ ผลโดยรวมคือการกำกับความชอบธรรมในการใช้อำนาจของรัฐบาลและควบคุมการแสดงความไม่ชอบธรรม ซึ่งมักจะมีการคุ้มครองคนที่อยู่ภายใต้ปกครองด้วย ขณะที่ความสนใจเพ่งไปที่รัฐธรรมนูญที่เป็นทางการ นักรณรงค์ทางการเมืองและนักวิชาการรัฐธรรมนูญยอมรับว่า บทบัญญัติที่เขียนในรัฐธรรมนูญนั้นจำหลักอยู่ท่ามกลางปริมณฑลอันกว้างขวางทั้งในแง่ประเพณี หลักศีลธรรมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลง

นักประวัติศาสตร์ไทย นิธิ เอียวศรีวงศ์ (2003) ได้อ้างถึงในฐานะ "รัฐธรรมนูญวัฒนธรรม" และซึ่งที่ผู้เขียนอ้างถึงในฐานะ"รัฐธรรมนูญชาวบ้าน" ในปริบทภาคเหนือของประเทศไทย รัฐธรรมนูญแบบไม่เป็นทางการนี้มีคุณค่าและความสำคัญเทียบเท่ากับฉบับที่เป็นลายลักษณ์อักษร ในแง่การสร้างความชอบธรรมให้แก่การใช้อำนาจทางการเมือง โดยการเสนอคุณสมบัติของผู้แทนทางการเมืองในอุดมคติ พฤติกรรมทางการเมืองเชิงอุดมการณ์ และประณามการใช้สิทธิอำนาจอย่างบิดเบือนหลากรูปแบบขององค์กรสาธารณะ บทบาทในทางธรรมนูญ(ที่เป็นข้อกำหนด)นี้ มีหลักฐานปรากฏทั้งในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและการประเมินการเลือกตั้งรัฐบาลในระดับชาติ

จุดเน้นทางการเขียนแบบชาติพันธ์วรรณาของบทความชิ้นนี้ อยู่ที่หมู่บ้านเตียมที่อยู่ห่างจากเชียงใหม่ "เมืองหลวง" ของภาคเหนือของประเทศไทย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงโดยทางรถยนต์ที่สะดวก บ้านเตียมเป็นหมู่บ้านคนเมืองอยู่ในหุบเขาแคบๆ ไปทางทิศตะวันตกของตัวอำเภอผาเสี้ยวไป 2-3 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านขนาดกลางมีครัวเรือนประมาณ 100 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ปลูกข้าวในหน้าฝนและปลูกพืชเศรษฐกิจในหน้าแล้ง รวมกับการทำงานรับจ้างจำนวนหนึ่ง ประมาณครึ่งหนึ่งของชุมชนมีรายได้จากนอกภาคเกษตร และส่วนใหญ่มีสมาชิกในครัวเรือนไปทำงานที่อื่น นับได้ว่าเป็นเศรษฐกิจชนบทที่หลากหลาย

วัฒนธรรมการเลือกตั้งของท้องถิ่น:
ท้องถิ่นนิยม การเกื้อหนุนและการบริหารจัดการท้องถิ่นนิยม
มีนักวิพากษ์วัฒนธรรมการเมืองไทยจำนวนหนึ่ง ที่ชูประเด็นความต้องการอย่างเร่งด่วนของ
'ท้องถิ่นนิยม' การปรับทิศทางทางการเมืองที่เน้นการใช้ชุมชนท้องถิ่นเป็นเสมือนกำแพงกั้นการ
บุกรุกของรัฐสมัยใหม่ (Pasuk, 1999; Hewison, 2002). สถาบันชุมชนท้องถิ่นและความสามารถของชุมชนถูกนำเสนอในฐานะทางเลือกของโครงสร้างมาตรฐานของรัฐราชการสมัยใหม่ ในบางแง่มุมก็เหมือนกับท้องถิ่นนิยมฉบับที่ผู้เขียนกำลังอธิบายอยู่นี้ ซึ่งมีจุดเน้นอยู่ที่ความต้องการทางศีลธรรมที่เฉพาะและผูกติดกับท้องถิ่น แต่ก็ยังมีความต่างที่สำคัญอีกด้วย

ท้องถิ่นนิยมที่"บ้านเตียม" ที่ผู้เขียนบรรยายถึงนี้เป็นสิ่งที่ต่างออกไปจากแนวเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ความต้องการที่จะต่อต้านรัฐ แต่เป็นการดึงเข้าสู่กรอบของความหมายทางสังคมวัฒนธรรมที่เข้าใจได้ง่าย ที่สำคัญในท้องถิ่นนิยมที่"บ้านเตียม" ก็คือความสัมพันธ์ต่างๆ กับรัฐนั้นถูกประสานโดยคนท้องที่ที่ฝังตัวอยู่ในโครงสร้างชุมชนอย่างเหมาะสม

ความเห็นหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นเรื่องที่รับรู้เข้าใจกันโดยทั่วไปของ "รัฐธรรมนูญชาวบ้าน" ที่บ้านเตียมก็คือ ความเห็นที่ว่า "เลือกคนท้องถิ่นดีกว่าเลือกคนต่างถิ่น" และมักจะแสดงออกถึงการที่จะชอบผู้สมัครรับเลือกตั้งจาก "บ้านเฮา". "บ้านเฮา" ตามตัวหนังสือแล้วก็คือ "หมู่บ้านของเรา" แต่ "บ้าน" เป็นคำที่ถูกปรับแต่งให้เหมาะให้เข้ากับปริบทแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เฉพาะความหมายของการเป็น"บ้าน" หรือ "หมู่บ้าน" เท่านั้น แต่ปรับขนาดหรือฐานได้ตามความต้องการแข่งขันในการเลือกตั้ง

ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นนั้น ท้องถิ่นนิยมสนับสนุนกรอบที่ชัดเจนในการเจรจาปรึกษาหารือทางการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งถูกประเมินก่อนแล้วในแง่ของการมีหรือไม่มีสายโยงใยที่เข้มแข็งในท้องถิ่น ซึ่งเป็นเรื่องอยู่ในวงที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ง่ายมากในการเลือกตั้ง ความสำคัญของท้องถิ่นนิยมเพิ่มมากขึ้น จากการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการจัดสรรส่วนแบ่งของทรัพยากรต่างๆ มากขึ้น (ผลมาจากการกระจายอำนาจจากส่วนกลาง) ทำให้เกิดการแข่งขันในด้านงบประมาณระหว่างหมู่บ้าน เหมือนที่ชาวบ้านคนหนึ่งบอกกับผู้เขียนว่า การที่เห็นสภาหมู่บ้านของตัวเองอยู่ในการปกครองของคนบ้านอื่น ก็เหมือนกับ"การกำลังรอคอยการส่งอาหารช่วยจากทางอากาศ แล้วในขณะนั้นก็เห็นร่มชูชีพที่ผูกอาหารลอยลงไปยังเชิงเขาอีกฟากหนึ่ง"

จริงๆ แล้ว "บ้านเตียม"เป็นผู้สมัครที่ประสบผลสำเร็จในการแข่งขันระดับท้องถิ่นเหมือนกัน กำนันคนก่อนก็เป็นคนจาก"บ้านเตียม" และก็ยังได้เป็นตัวแทนในสภาจังหวัดอีกด้วย ผู้สนับสนุนส่วนใหญ่บอกว่า ต้องการ"ช่วย"คนที่มาจากบ้านเดียวกัน เหมือนที่แม่อุ้ยมอน บอกก่อนที่จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดในช่วงต้นปี 2547 ว่า " ฉันกำลังช่วยคนของพวกเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็เป็นพวกเรา" ผู้สมัครชิงนายกเทศมนตรีในการเลือกตั้งปี 2549 ก็เป็นคน"บ้านเตียม"และได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากทัศนคติที่ว่า เป็นการสมเหตุสมผลที่จะเลือกลงคะแนนให้คนที่มาจากบ้านเดียวกัน ผู้สมัครรายนี้ยังสามารถขยายเครือข่ายการสนับสนุนในหมู่ญาติได้อีกอย่างน้อยในหมู่บ้านอื่นอีกสองบ้านในเขตเทศบาล ซึ่งต่างจากผู้สมัครรายอื่นๆ ที่ด้อยกว่าในแง่การมีเครือข่ายสนับสนุนในท้องถิ่น

ตัวอย่างเช่น ผู้สมัครที่เคยรับราชการในท้องถิ่นประมาณ 3 ปี หรือถึงแม้กรณีคนที่อยู่ในท้องถิ่นมานาน แต่เป็นคนจากที่อื่นก็อาจจะถูกตัดสินว่าเป็นคนนอกมาจากที่อื่นเช่นกัน เช่น กรณีของ ดร. ธเนศร์ ผู้ที่แจกผ้ากันเปื้อนที่มีโฆษณาเกี่ยวกับธุรกิจของเขาให้แก่พวกคนขายของในตลาด เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ คนหนึ่งตอบผู้เขียน เมื่อถูกถามว่าผ้ากันเปื้อนของเธอเป็นสัญญลักษณ์ของการสนับสนุน ดร. ธเนศร์หรือไม่ เธอตอบว่า:

"เมื่อเขามาแจก เราก็ตัดสินใจว่าจะใช้ เขาลงสมัครรับเลือกเป็นนายกเทศมนตรี แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้หรือไม่ เขาไม่ใช่คนท้องถิ่น เขาอยู่ที่นี่มา 20 ปี คนรู้จักเขาเยอะ แต่เขาก็เป็นคนมาจากที่อื่น"

นัยยะและการเปลี่ยนผ่านของเส้นแบ่งของท้องถิ่นนิยม แสดงให้เห็นในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในปี 2548 จากการเลือกตั้งทั้งหมดที่กล่าวมา การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งที่มีความเป็นท้องถิ่นน้อยที่สุด และยังเป็นการท้าทายโดยตรงกับแนวทางแบบท้องถิ่นในการเลือกตั้ง มีผู้สมัคร 39 คนต่อ 5 ที่นั่ง และมีจำนวนเพียงไม่กี่คนที่มีเครือข่ายสายสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่น ข้อวิจารณ์ในกรณีนี้ก็คือ"ไม่มีตัวแทนสักคนที่มาจากอำเภอผาเสี้ยว มีแต่คนมาจากที่อื่นทั้งนั้น"

โดยไม่มีการแนะนำถึงความสัมพันธ์กับท้องถิ่นทำให้ผู้ไปเลือกตั้งใช้เวลานานมากในการตัดสินใจว่าจะลงคะแนนให้ผู้สมัครคนไหนดี หลายๆ คนยืนอ่านป้ายประกาศคุณสมบัติผู้สมัครเป็นเวลานานๆ เจ้าหน้าที่บางคนทำนายว่าจะมีบัตรเสียจำนวนมาก แล้วคะแนนที่จะลงจริงๆ จะมีน้อย ในความเป็นจริงการเลือกตั้งเป็นไปด้วยดี ถึงแม้ว่าจะมีการลงคะแนนแบบไม่ออกเสียงเป็นจำนวนสูงมากกว่าปกติ แต่การทำนายและข้อวิจารณ์นั้นสท้อนให้เห็นถึงข้อกังวลเกี่ยวกับการไร้ความเชื่อมโยงทางสังคม และทางพื้นที่ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง

ผู้มีสิทธ์เลือกตั้งนั้นปรับตัวยืดหยุ่นและเป็นรูปธรรม อารมณ์ของการเป็นท้องถิ่นก็ถูกปรับแต่งเป็นอย่างสูง โดยรวมแล้วผลการเลือกตั้ง สว.ตรงกันกับการอธิบายตรรกะอย่างกว้างๆ ของแนวท้องถิ่นนิยม ผู้สมัครรับเลือกตั้ง 2 คน ได้รับคะแนน คนละ 38 เสียงจากการนับคะแนนในหมู่บ้าน หนึ่งในสองนั้น ถูกทำนายว่าจะทำหน้าที่ได้ดีเพราะเป็นที่รู้จัก มีชื่อสียง เนื่องจากเป็นน้องชายของผู้แทนคนก่อน (มีคนว่าเขาน่าจะเป็นคนของทักษิณ) อีกคนเป็นคนมาจากอำเภอและเป็นสมาชิกสภาจังหวัด ในฐานะที่เป็นผู้สมัครคนเดียวที่อยู่ที่อำเภอผาเสี้ยวเขาน่าจะได้คะแนนดี แต่ความรู้สึกในช่วงก่อนการเลือกตั้งว่า ความผูกผันกับท้องถิ่นของผู้สมัครคนนี้มีค่อนข้างจำกัดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงผลงานในฐานะสมาชิกสภาจังหวัด ก็ไม่ก่อประโยชน์ให้กับท้องถิ่นอย่างแท้จริง

ผู้สมัครรายที่ได้คะแนนรองลงมา (36 คะแนน) เป็นโยมอุปปัฏฐากสำคัญของวัดใกล้ๆ ประวัติการทำบุญในท้องถิ่นของผู้สมัครรับเลือกตั้งรายนี้ ได้รับการยอมรับอย่างสูงพอๆ กับความเกี่ยวเนื่องอย่างใกล้ชิดของเธอกับสมาชิกอาวุโสของพรรคฝ่ายค้าน ผู้สมัครรายอื่นๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่นก็มีสถานะในท้องถิ่นที่ต่างกันไป เช่นคนหนึ่งก็มีเส้นสายโยงใยผ่านธุรกิจการปล่อยเงินกู้ ("มีเครือข่ายดี เงินมากมายแต่อาจจะไม่น่าเชื่อถือ") อีกคนหนึ่งเป็นนักจัดรายการวิทยุชื่อดัง ("มีคนมากมายรู้จักและอยากช่วยเขา") ผู้สมัครอีกรายมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีความสัมพันธ์ที่ดีในหมู่พวกนักชนไก่ของอำเภอ (และยังได้สนับสนุนการสร้างบ่อนไก่ในอำเภอใกล้เคียงอีกด้วย) ที่น่าสนใจก็คือน้องสะใภ้ของทักษิณ ซึ่งใช้นามสกุลชิณวัตรที่โด่งดังแต่ไม่มีสายสัมพันธ์ในท้องถิ่นได้รับคะแนนเสียงเพียง 3 คะแนนเท่านั้นจาก"บ้านเตียม"

แรงบันดาลใจหนึ่งที่มีอยู่ลึกๆ สำหรับสิ่งที่ผู้เขียนอ้างถึงในฐานะท้องถิ่นนิยมก็คือความต้องการความชัดเจนทางการเมือง ไม่ใช่เฉพาะแต่รัฐเท่านั้นที่จะต้องพยายามสร้างโครงสร้างทางการปกครองที่ถูกปรับให้ง่ายและชัดเจน (Scott, 1998) ผู้มีสิทธ์เลือกตั้งเองก็ต้องแสวงหาผู้สมัครในกรอบของภายใน (บ้านเฮา) กับภายนอก นี่คือกรอบที่เต็มไปด้วยศีลธรรม ซึ่งแนวคิดการยืดหยุ่นเชิงพื้นที่ของ"บ้านเฮา"นั้นสัมพันธ์กับการเข้าถึงได้ ความคุ้นเคยทางสังคม ความคล่องตัวทางภาษาและพันธะสัญญาต่อสถาบันท้องถิ่น

แต่ท้องถิ่นนิยมไม่ได้จัดหาแม่แบบอย่างง่ายๆ สำหรับการตัดสินใจทางการเมือง ที่เป็นเช่นนี้บางส่วนเนื่องมาจาก ท้องถิ่นนิยมดำเนินการอย่างกำกวม และมีการประชันขันแข่งในสิทธิข้อเรียกร้องในต่างระดับกันของความเป็นท้องถิ่น ภายใน"บ้านเตียม"มีข้อกังวลมากก็คือ มีคนที่เกี่ยวข้องทางการเมืองจำนวนมากที่จะแยกเสียงสนับสนุนในท้องถิ่น และลดทอนอิทธิพลทางการเมืองของหมู่บ้านเมื่อเข้าไปถึงในระดับเทศบาล เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อมี"ท้องถิ่น"จำนวนมากให้เลือก

อีกปัจจัยหลักที่ลดทอนอิทธิพลของท้องถิ่นก็คือ การที่รู้ชัดถึงจุดอ่อนในฐานะมนุษย์ธรรมดาของบรรดาผู้ลงแข่งขันนั่นเอง พลังของสัญญลักษณ์ของ"บ้านเฮา"สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้เมื่อจัดไปคู่กับความเป็นจริงในการขัดแย้งระหว่างบุคคล ความอิจฉาริษยา ความรังเกียจเดียดฉันท์ และการนินทากัน ความเป็นจริงในท้องถิ่นในเรื่องความขัดแย้งระหว่างบุคคลทำให้เกิดการแตกแยก ซึ่งจะเป็นฐานของแบบแผนที่ไม่เป็นท้องถิ่นในแนวทางการเมือง สรุปอย่างย่อ ท้องถิ่นนิยมทำให้เกิดกรอบที่ปรับเปลี่ยนได้สำหรับการตัดสินใจทางการเมือง แต่ชีวิตทางสังคมนั้นซับซ้อนเกินกว่าที่จะเอามุมมองนี้ไปใช้เป็นแบบแผนแง่มุมเดียว สำหรับการเคลื่อนไหวทางการเมือง

การเกื้อหนุน
มีงานศึกษาเกี่ยวกับท้องถิ่นนิยมในประเทศไทยมากมาย ที่เน้นทรัพยากรและระบบดำรงชีพท้องถิ่นเป็นเสมือนยาแก้พิษที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจภายนอก การคิดเช่นนี้ดึงจังหวะได้อย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 และการเสนอทฤษฎี"เศรษฐกิจพอเพียง" ของพระเจ้าอยู่หัวในช่วงต่อมา "ท้องถิ่นนิยม"ฉบับนี้ไม่ใช่การชักจูงให้ถอนตัวออกมาจากระบบเศรษฐกิจภายนอก แต่เกี่ยวข้องกับ "การมองกลับเข้ามาภายในเพื่อหาฐานที่จะต้านพลังในเชิงทำลายของกระแสโลกาภิวัฒน์" (Pasuk 1999:6) แต่รูปแบบของท้องถิ่นนิยมที่ผู้เขียนกำลังอธิบายอยู่นี้ ก็จะมีจุดเน้นที่ต่างไป

ที่"บ้านเตียม" ผู้แทนทางการเมืองของท้องถิ่นได้รับการยอมรับนับถือ จากความสามารถในการดึงเอาทรัพยากรจากภายนอกที่ตรงกับความต้องการของท้องถิ่นที่จะใช้ประโยชน์ และเป็นเหมือนรูปลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมที่ชาวบ้านเชื่อมั่นว่า จะสามารถต่อรองเพื่อผลประโชน์ทางด้านวัตถุได้ การเข้าถึงแหล่งทรัพยากรภายนอกได้ เป็นเหมือนปัจจัยสำคัญของท้องถิ่นนิยมของ"บ้านเตียม"ที่มุ่งออกข้างนอก

รัฐธรรมนูญชาวบ้านของ"บ้านเตียม" นั้นมีการคาดหวังอย่างมากว่า ผู้แทนทางการเมืองจะต้องให้การเกื้อหนุนทางการเงินแก่ผู้สนับสนุน ประเด็นเรื่องการเกื้อหนุนทางการเงินนี้ส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่คลุมเครืออยู่ในแวดวงของการซื้อเสียง ผู้เขียนไม่มีข้อติดใจสงสัยใดๆ เลยว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งจ่ายเงินโดยตรงให้กับผู้ลงคะแนนใน"บ้านเตียม" ผู้เขียนเองยังได้รับเงิน 100 บาทเมื่อเข้าร่วมประชุมกับพรรคไทยรักไทย แต่ทว่าที่สำคัญกว่าการจ่ายเงินก็คือ ความคาดหวังต่อพวกนักการเมืองและพวกผู้มีอันจะกินก็คือ การที่คนเหล่านี้ได้แสดงจุดยืนทางสังคมและการมีพันธะต่อแวดวงท้องถิ่น ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมในการช่วยเหลือทางวัตถุธรรมนี้รวมไปถึง การให้กู้ยืมเงินส่วนตัว เงินถวายวัด เงินช่วยงานพิธีต่างๆ ของครอบครัวในชุมชน เงินช่วยสนับสนุนการประชุมต่างๆ กองทุนการศึกษาเด็กๆ การจัดหาบริการพาหนะเดินทางราคาถูก และการสนับสนุนช่วงเวลาที่งบประมาณของโครงการพัฒนาต่างๆ ในชุมชนไม่เพียงพอ ดังสามตัวอย่างเคร่าๆ ต่อไปนี้

1. ฝนได้เงินกู้ส่วนตัวจากผู้สมัครฯพรรคไทยรักไทย เมื่อเธอประสบปัญหาผลผลิตเสียหาย มีเสียงลือว่า นี่เป็นเครื่องมือที่จะดึงเธอเป็นหัวคะแนนให้กับพรรคไทยรักไทย ต่อมาฝนได้โทรศัพท์มือถือไว้ใช้ ในการเตรียมการเลือกตั้งระดับชาติ ฝนก็ได้ช่วยหาเสียงอย่างกระตือรือล้นให้แก่พรรคไทยรักไทย และในขณะเดียวกันก็วิ่งหาทุนจากพรรคฝ่ายค้านมหาชน เพื่อเอามาสนับสนุนในโครงการของหมู่บ้านที่เธอกำลังริเริ่มอยู่

2. เครือวัลย์สมัครรับเลือกตั้ง สว.ในปี 2549 ก่อนหน้านี้เครือวัลย์พยายามสร้างฐานเครือข่ายในอำเภอฯ ด้วยการอุปถัมภ์วัดดังๆ และช่วยการก่อสร้างต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ในเดือนพฤศจิกายน 2548 ผู้เขียนได้ไปร่วมงานวัดที่สำคัญงานหนึ่งในหมู่บ้านที่ห่างจาก "บ้านเตียม" ไปราว 10 กม. เครือวัลย์เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ของงานนี้ แต่เงินช่วยงานวัดบริจาคในนามของสมาชิกสภาจังหวัดของอำเภอฯ ผู้เขียนได้รับการบอกเล่าว่า เครือวัลย์บริจาคเงินให้กับทุกๆ อำเภอ

3. ก่อนการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านในปี 2547 กลุ่มแม่บ้านได้รับเชิญให้เป็นตัวแทนของหมู่บ้านไปในงานแสดงวัฒนธรรมที่ตำบลใกล้เคียง จักรกฤษณ์หนึ่งในผู้สมัครรับเลือกตั้งและเป็นเจ้าของรถกระบะบรรทุกคันหนึ่งในจำนวน 2-3 คันในหมู่บ้าน ก็ได้เป็นผู้สนับสนุนการเดินทางของกลุ่มแม่บ้านและยังช่วยออกค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นจำนวนเล็กน้อยอีกหนึ่งวัน ซึ่งพวกแม่บ้านเห็นว่าน้อยเกินไป และรู้สึกว่าจักรกฤษณ์ขี้เหนียว จึงได้ติดต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งรายใหญ่อีกรายเพื่อให้ร่วมบริจาค แต่ผู้สมัครรายนั้นปฏิเสธพร้อมทั้งบอกว่า ถ้าทำเช่นนี้ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นการซื้อเสียงด้วยเหมือนกัน

การช่วยเหลือในหลากหลายรูปแบบนี้ ถูกประเมินในระดับท้องถิ่นในระดับของการเชื่อมโยงใยคุณค่าทางการเมือง ซึ่งระบุประเด็นของสถานภาพของบุคคล ความสามารถ และหลักศีลธรรม มีมุมมองที่รู้กันไปทั่วว่า ใครที่มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงก็น่าที่จะอยู่ในวิสัยที่ได้รับตำแหน่งทางการเมืองด้วย ในส่วนนี้เป็นเพราะข้อเรียกร้องที่โจ่งแจ้งในเรื่องสถานะทางการเงินกับบรรดานักการเมือง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติทั้งหลาย การเป็นนักการเมืองรวมไปถึงการสร้างบารมี และการแสดงออกตลอดเวลาว่า"พวกเขาไม่เคยลืมชาวบ้าน" ทั้งหมดนี้ เป็นกระบวนการที่มีราคาแพง ต้องการการลงทุนอย่างสม่ำเสมอในรูปของการบริจาค การให้กู้เงิน และการไปร่วมงานสังคมต่างๆ

การที่คนเห็นดีงามไปกับนักการเมืองที่มีฐานะดีนั้น เป็นเพราะมุมมองทั่วไปว่า คนที่มีฐานะดีมักจะมีแนวโน้มที่จะโกงกินเงินส่วนรวมน้อยกว่าคนที่ยากจน ชาวบ้านคนหนึ่งให้คุณค่าของความมั่งมีเหนือกว่าการมีสัมพันธ์โยงใยกับท้องถิ่น พูดอย่างกระตือรือล้นเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของผู้สมัครรับเลือกตั้ง สว.คนหนึ่งว่า:

เขาเป็นคนดีและซื่อตรง ผมไม่คิดว่าเขาจะโกงเงิน เพราะว่าเขาได้เงินค่าจ้างเยอะมากแล้ว ประมาณ 40,000 (บาท ต่อเดือน) เขาไม่น่าที่จะต้องการโกงมากไปกว่านี้ บางคนบอกว่าเขาเป็นคนนอก แต่ก็ไม่สำคัญเพราะคนจากข้างนอกก็จะไม่มีพรรคพวกพิเศษในชุมชน แล้วอีกอย่างเขาก็เป็นคนมีการศึกษาดีด้วย

คุณค่าทางการเมืองอีกอย่างก็คือ ประเด็นการให้การสนับสนุน คือคนที่จะเป็นนักการเมืองที่ดีที่สุดได้ก็ต้องเป็นคนที่"อุทิศตน"ต่อชุมชนในวงกว้าง การอุทิศตนมีได้หลายรูปแบบเช่น ร่วมเป็นคณะกรรมการ ช่วยโครงการพัฒนาต่างๆ เป็นตัวแทนของคนยากจน หรือช่วยเหลืองานเทศกาลต่างๆอย่างกระตือรือล้น การบริจาคเงินช่วยเหลือต่างๆ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งที่คนไม่มีเวลาไปร่วมงานในแบบอื่นๆ แต่ว่ามีอีกมุมหนึ่งก็คือเงินที่บริจาคนี้ ควรเป็นเงินส่วนตัวมากกว่าเงินจากกองทุนสาธารณะ แน่นอนที่มีวิธีมากมายที่นักการเมืองพยายามทำให้ความต่างตรงนี้ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะผู้ที่สามารถเข้าถึงเงินงบประมาณประเภทต่างๆ ได้แล้ว แต่ถ้าเกิดรู้กันไปทั่วว่าเงินกองทุนสาธารณะถูกเอาไปใช้เพื่อสร้างภาพว่าเป็นการบริจาคส่วนตัว ก็จะก่อให้เกิดปฏิกริยาต่อต้านจากผู้เลือกตั้งได้

พันธสัญญาต่อการพัฒนาท้องถิ่น เป็นองค์ประกอบหลักในการประเมินการสนับสนุนเชิงบวกต่อรัฐธรรมนูญชาวบ้าน เกณท์มาตรฐานในการวัดคุณธรรมของผู้สมัครก็คือ ระดับความสามารถที่จะนำความเจริญมาสู่ท้องถิ่นนั่นเอง ความสำคัญของคุณค่านี้สะท้อนให้เห็นไปทั่วในการใช้คำต่างๆเช่น พัฒนา เจริญ และ ก้าวหน้า ในเอกสารหาเสียงต่างๆ ผู้สมัครคนหนึ่งเน้นในเพลงโมษณาหาเสียงถึงความสำเร็จในการพัฒนาของเขา ที่ออกอากาศก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลในเดือนมีนาคม 2549 มีเนื้อความสรุปถึง ความก้าวหน้าในงานพัฒนาของเทศบาล เรื่องน้ำไหลไฟสว่าง หนทางดีทั่วถึง ทั้งคนรวยและคนจนเท่าเทียมกัน เราจะทำงานร่วมกันเพื่อความสุข และความปลอดภัยในเขตเทศบาลของทุกคน

พลังที่ซ่อนเร้นของ"การพัฒนา"ในวัฒนธรรมการเลือกตั้งนั้นซับซ้อน ในทางหนึ่งพลังนั้นลงตัวเป็นอย่างดีกับภาพของการเป็นคนดีมีจิตใจดีของผู้อุปถัมภ์ ซึ่งอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม การบริจาคเงินก่อนการเลือกตั้งเป็นการแสดงถึงความเต็มใจ และความสามารถของผู้สมัครที่จะก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อผู้ออกเสียงลงคะแนนให้ ในขณะเดียวกัน ความต่างของการช่วยเหลืออย่างใจบุญ แสดงออกโดยผ่านความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ และในอีกทางคือรูปแบบต่างๆ ของความช่วยเหลือในการพัฒนา ซึ่งโยงโดยตรงกับวาทกรรมสังคมสมัยใหม่ถึงความก้าวหน้า การบริหารจัดการ และการเข้าถึงที่มีฐานกว้างขึ้น ในขณะที่การใจดีใจบุญโดยส่วนตัวได้รับการยอมรับอย่างสูงและโยงกับการพัฒนาในนัยยะแรก แต่ในนัยยะหลังเน้นไปที่ความสามารถในการจัดการทุนและทรัพยากรของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์โดยตรงต่อโครงการต่างๆ ในท้องถิ่น

บางแง่มุมของการเน้นท้องถิ่นในเรื่องของการเกื้อหนุนและการพัฒนาชุมชนนั้น ดูได้จากตัวอย่างการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี นายสมศักดิ์ผู้สมัครเป็นคน"บ้านเตียม"มาจากตระกูลที่มีญาติพี่น้องมากมาย ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมอยู่ในระดับสูง น้องสาวได้รับเลือกเป็นหัวหน้ากลุ่มแม่บ้าน2-3 เดือนก่อนหน้า ผู้สมัครร่วมทีมก็เป็นน้องชายของผู้ใหญ่บ้าน แต่ทว่าทุนทางสังคมที่มีมากนี้ ก็ไม่ได้กลายเป็นเครื่องสนับสนุนการเลือกตั้งโดยอัตโนมัติ โดยรวมก็มีการรับรู้กันว่า สมศักดิ์ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสาธารณูปโภคของท้องถิ่น ถึงแม้จะช้าไปกว่าที่พวกชาวบ้านได้คาดหวังไว้ ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ ทางดินเฉอะแฉะหลายเส้นได้กลายเส้นทางคอนกรีตหลายสาย ในขณะที่มีโครงการก่อสร้างย่อยๆ อีกหลายโครงการได้รับงบสนับสนุนจากเทศบาล

แต่มีเสียงบ่นว่าคนที่ได้รับประโยชน์รายใหญ่ของงานพัฒนานี้ก็คือลูกเขยของสมศักดิ์ ซึ่งได้สัญญาก่อสร้างมากมาย สมศักดิ์ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อีกว่าชักช้าในการประสานความช่วยเหลือในคราวที่หมู่บ้านถูกน้ำท่วมอย่างเฉียบพลันครั้งนั้น และที่เสียหายที่สุดก็คือคำวิจารณ์ที่ว่าเขาไม่ได้ใช้เงินเดือนของเขาที่ว่ากันว่าก้อนใหญ่พอควร มาสนับสนุนโครงการในท้องถิ่นเลย. ชื่อเสียของสมศักดิ์ถูกเน้นให้ชัดขึ้นเมื่อชาวบ้านคนหนึ่งเล่าว่า เมื่อชาวบ้านของบประมาณสนับสนุนกลุ่มชลประทานหมู่บ้าน สมศักดิ์ขอให้ทางกลุ่มยื่นเสนอโครงการเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการในระดับท้องถิ่น ซึ่งตามความจริงก็มีเหตุผลดี แต่เป็นการดำเนินงานแบบอืดอาดยืดยาด ในแง่นี้สมศักดิ์ขาดคุณสมบัติของการเป็นผู้อุปถัมภ์ที่ดำเนินการพัฒนาอย่างรวดเร็วว่องไวนั่นเอง

คู่แข่งของสมศักดิ์คือ ดร.ธเนศร์ ซึ่งมีข้อแตกต่างที่น่าสนใจ เขาเป็นคนนอก ถึงแม้ว่าจะอยู่ที่นั่นมานานกว่า 20 ปีก็ตาม ก็ยังคงมีความเหินห่างในความสัมพันธ์ทางสังคม โดยสังเกตได้จากการที่ยังมีการเรียกว่าดร. แต่ว่าดร.ธเนศร์ ก็มีชื่อเสียงเป็นเสมือน"มิสเตอร์ซ่อมได้" ในเรื่องการสนับสนุนโครงการพัฒนา การลงทุน และงานสวัสดิการต่างๆ ด้วยเงินส่วนตัวของเขาเอง ตัวอย่างเช่นเมื่อเขาได้ยินเรื่องการเสนอขอจากกลุ่มชลประทานในหมู่บ้าน เขาก็จัดการในทันทีทันควัน"ควักเงินออกจากกระเป๋าของเขาเอง" แล้วก็มอบให้กับชูศักดิ์ รองหัวหน้ากลุ่มฯไปดำเนินการทันที

เมื่อเทียบกับนายกฯสมศักดิ์ ที่ช่วยโดยการรอเอางบประมาณจากรัฐมาให้ ซึ่งกว่าจะได้มาก็ช้าเกินไปกว่าที่ชาวบ้านต้องการ การกระทำเช่นนี้ประทับใจชูศักดิ์จนถึงกับตกลงเป็นหัวคะแนนให้ ดร.ธเนศร์. ดร.ธเนศร์ยังแจกจานดาวเทียมให้กับผู้ที่สนับสนุนรายใหญ่ๆ อีกด้วย โดยรวมแล้วชื่อเสียงของ ดร.ธเนศร์ คือผู้ที่มีเครือข่ายและฐานะดี และสามารถผันงบประมาณมาช่วยความต้องการ และความจำเป็นของชาวบ้านได้ดี

แต่การแสดงออกถึงความสามารถและความเต็มใจที่จะช่วยชาวบ้านทางการเงินนี้ ก็มีผลเสี่ยงในการหาเสียงเลือกตั้งเหมือนกัน การที่ ดร.ธเนศร์ แสดงการช่วยสนับสนุนด้านการเงินแก่ชาวบ้า นก็ก่อให้เกิดความรู้สึกว่าการรณรงค์หาเสียงของเขานั้น"มาก"เกินไป และก็ไม่ได้โยงสู่เป้าหมายการพัฒนาในวงกว้าง คนจำนวนมากเห็นว่า เขาน่าจะชนะการเลือกตั้งด้วยการใช้เงิน พร้อมทั้งมี"เรื่องราวสกปรก" เกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงอีกด้วย ส่วนใหญ่คิดได้ว่าคนที่ลงทุนไปมากก็ต้องพยายามเก็บคืนเมื่อได้ตำแหน่งและอำนาจ

กรณี ดร.ธเนศร์ เรื่องที่ทำลายชื่อเสียงเขามากที่สุดคือ เรื่องการยึดบ้านและที่ดินของลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ เหมือนที่ชาวบ้านคนหนึ่งบอกกับแม่ของเธอว่า "อย่าไปเลือกไอ้บ้านี่เลย มันจะรวบที่ดินทั่วไปหมดละ" เมื่อบวกเข้ากับความรู้สึกที่ว่า ดร.ธเนศร์ ลงสมัครรับเลือกตั้งก็เพราะจะได้ใช้ตำแหน่งและอำนาจทางการเมืองจดทะเบียนที่ดินที่ยึดมานั้น ให้กลายเป็นที่ดินที่มีโฉนด

ถ้าจะพูดอีกอย่าง สำหรับผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนแล้ว การที่ ดร.ธเนศร์ เสียสละช่วยเหลือเกื้อกูลชาวบ้านนั้น ก็ไม่ได้เหลือเครดิตอะไรเลย เพราะเป็นการทำเพื่อชื่อเสียงและประโชน์ส่วนตัว ในกรณีนี้ความช่วยเหลือทางการเงินที่เขาให้แก่ชาวบ้าน ได้มีการตีความโดยบางคนว่าเป็นความพยายามในการใช้"อิทธิพล" ซึ่งส่วนมากถือว่าเป็นด้านลบของพลังอำนาจ





Create Date : 02 กรกฎาคม 2550
Last Update : 26 สิงหาคม 2550 14:28:39 น. 4 comments
Counter : 7043 Pageviews.

 
การบริหารจัดการ
ข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้อิทธิพลทางการเงินอย่างไม่เหมาะสม ชี้ให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของรัฐธรรมนูญชาวบ้านว่า ในบางขอบเขตได้ท้าทายจุดเน้นทางการเมืองในการให้การสนับสนุนแก่ท้องถิ่น ความเห็นในทางเลือกใหม่ เน้นการเริ่มที่การบริหารจัดการที่ดี และทำตามความตระหนักรู้แบบสมัยใหม่นิยม คนในท้องถิ่นที่รณณรงค์ในเรื่องนี้มักนำเสนอตัวเองว่าเป็น"คนรุ่นใหม่" และมักจะอ้างอย่างเปิดเผยอยู่บ่อยๆ ถึงหลักเกณท์โดยทั่วไปของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และความจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนให้พ้นจากระบบเดิมที่ล้าสมัยของอำนาจอุปถัมภ์ และเผด็จการท้องถิ่น

ความเห็นนี้ได้ก่อให้เกิดการคำนึงถึงอย่างมากในคุณภาพของการศึกษา ซึ่งเป็นการท้าทายอย่างเปิดเผยต่อระบบคุณค่าของท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่นส่วนมากอยู่ในรุ่นที่คนชนบทส่วนใหญ่เรียนจบไม่เกินชั้นประถมปลาย สำหรับผู้ลงคะแนนเสียงแล้วข้อนี้ถือเป็นข้อจำกัดในแง่ของการบริหารจัดการและการแข่งขันทางกฎหมาย ประเด็นนี้เป็นกรณีในการเลือกนายกเทศมนตรี ซึ่งมีคนชูประเด็นว่านายกฯสมศักดิ์จบชั้นประถมสี่ ซึ่งหมายความว่า จะไม่สามารถปกครองเจ้าหน้าที่ในการบริหารจัดการซึ่งส่วนใหญ่จบปริญญาตรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สมัครรายอื่นๆ ที่มีการศึกษาดีกว่า มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการอย่างเป็นแบบแผนมามากกว่า ถูกคาดหวังว่าจะสามารถ"ลดบทบาท" เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาแบบไม่ได้ผ่านการคัดเลือก

มีข้อกังขาที่เด่นชัดเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องความสามารถของนายกฯสมศักดิ์ ในการจัดการดูแลเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ทำตัวเป็นนักเลงโต และมีชื่อในด้านการสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองจากการพลิกแพลงสัญญารับเหมาก่อสร้างต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก นายกฯสมศักดิ์ตอบโต้โดยการอ้างอารมณ์ร่วมของความห่างไกลความเจริญ และองค์ความรู้ในการเป็นท้องถิ่น ที่ไม่อาจได้จากการศึกษาในระบบได้ เขากล่าวว่า:

ดร.ธเนศร์ อาจจะมีปริญญาจากมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะจัดการดูแลงานได้ การที่นั่งออกคำสั่งอยู่แต่ในสำนักงานติดแอร์ก็เป็นเรื่องนึง แต่ออกไปเดินท้องนาไม่ได้ แล้วจะช่วยชาวบ้านได้ยังไงล่ะ มีคนคิดแบบนี้เยอะ ก็นี่แหละเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงจะลงคะแนนให้ผม

นอกเหนือไปจากความต้องการเรื่องคุณสมบัติทางการศึกษาอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีองค์ประกอบของสมัยใหม่นิยมที่เน้นเรื่องความสามารถในการบริหารจัดการ ซึ่งรวมไปถึงความสามารถที่จะพูดในที่ประชุมได้ดี ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จัดการงบประมาณได้อย่างลงตัว และสามารถที่จะเป็นตัวแทนของท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการประชุมเจรจากับนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง แต่ที่สำคัญที่สุดคือการบริหารจัดการโดยเฉพาะการดำเนินการโครงการที่โปร่งใส คำขวัญในการรณรงค์หาเสียงของนายกฯสมศักดิ์ก็คือ "มุ่งสู่การพัฒนาอย่างซื่อสัตย์ โปร่งใส ตรวจสอบได้" ถูกต่อท่อติดไปกับวาทกรรมการเมืองท้องถิ่นได้อย่างเหมาะเจาะ

การสนทนาเหล่านี้ก็มักวนเวียนอยู่รอบๆ หัวข้อเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนาต่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนหัวข้อหลักที่ครอบงำการเมืองในชีวิตประจำวันของ "บ้านเตียม" โครงการต่างๆ มักจะถูกทำให้มีหลักการและเหตุผลเดียวกัน ในแง่การจัดการโครงการโดยรวมและผลประโยชน์ที่จะได้รับ แต่โครงการเหล่านี้มักเป็นตัวนำการรวมตัวเฉพาะกิจของกลุ่มผลประโยชน์ และกลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในการจัดสรรทุนทรัพยากรและผลประโยชน์ต่างๆ โครงการต่างๆ มีแนวโน้มที่จะมีแต่คำวิจารณ์และเสียงซุบซิบนินทาที่ลอยไปลอยมาตามลม รวมไปถึงการที่คนที่มีส่วนร่วมในโครงการ ยอมผ่านกับเรื่องการเงินที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม โดยไม่มีการถามหาหลักฐานใดๆ มารับรอง. ในปริบทเช่นที่ว่านี้คำว่าโปร่งใสกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญยิ่ง ที่จะปกป้องความคิดริเริ่มของตัวเองแต่ละคนและโยนข้อกล่าวหาที่เสียๆ หายๆ ไปให้กับผู้ที่สนับสนุนโครงการอื่นๆ

สำหรับบางคนการเน้นที่การบริหารจัดการอย่างโปร่งใสนี้ เป็นการให้คุณค่าใหม่แก่กระบวนการเลือกตั้ง ในกรอบทางเลือกนี้ การพัฒนาอย่างเร่งด่วนดังกล่าวแสดงให้เห็นในรูปของการใช้งบประมาณแบบรีบเร่ง และตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งมักจะเป็นโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์คุณค่าทางเศรษฐกิจที่คลุมเครือ ไม่อาจระบุให้ชัดเจนได้. การพัฒนาอาจถูกทำให้อยู่ในรูปของการจัดการบิดเบือนการเลือกตั้ง การใช้จ่ายงบประมาณที่สูงมากๆ ของโครงการต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงใกล้ๆ ก่อนการเลือกตั้งนั้น อาจถูกมองเหมือนความพยายามที่ชัดแจ้งในการรักษาคะแนนเสียง

ผู้สนับสนุน ดร. ธเนศร์ พูดอย่างเจ็บปวดถึงการที่นายกฯสมศักดิ์ ใช้งบฯไปถึง 11 ล้านบาทในช่วงเดือนท้ายๆ ที่เขาอยู่ในตำแหน่ง เสริมกับคำวิจารณ์ที่ว่านายกฯสมศักดิ์ไม่ใช่นักบริหารที่สามารถและการพัฒนาสำหรับเขาก็แค่การอนุมัติโครงการและก็เทคอนกรีตเท่านั้น และแน่นอนที่สุดวาทกรรมในการบริหารจัดการที่โปร่งใส ย่อมโยงไปอย่างชัดเจนกับการคอร์รับชั่น แง่มุมหนึ่งที่อันตรายของการคอร์รับชั่นก็คือ การทำลายภาพพจน์ในการอุทิศตนซึ่งสำคัญยิ่งต่อการเลือกตั้ง

การอุทิศผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวมนั้นได้รับการยอมรับอย่างสูงในแวดวงการเลือกตั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการยอมรับกันไปในวงกว้างว่า คนที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนรวมนั้นอาจได้รับผลประโยชน์ต่อตนเอง หรือญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิทบ้างก็ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกมองว่าเกือบจะเป็นธรรมดา ที่นักการเมืองจะหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองจากกิจกรรมที่ป็นเรื่องส่วนรวม จุดใหญ่ใจความก็คือทำอย่างไรถึงจะดำรงการหาผลประโยชน์ให้อยู่ในระดับพอเหมาะพอควร อะไรคือการเหมาะควรก็ยากที่จะตัดสิน ทั้งยังอยู่ในโทนสีเทาที่แยกถูกผิดชัดเจนได้ลำบาก แต่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่ก่อให้เกิดการกล่าวโทษเอาผิดโดยไม่ต้องมีหลักฐานชัดเจน โดยเฉพาะถ้ามีแง่มุมที่ว่ามีการเอาทรัพยากรส่วนรวมไปหาประโยชน์ส่วนตัวโดยทำให้ผู้อื่นเสียประโยชน์

ตัวอย่างจากการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านที่"บ้านเตียม" ผู้ลงสมัครรายหนึ่งถูกถอดถอนจากการสมัคร ด้วยข้อกล่าวหาว่าโยกเงินกองทุนชุมชนไปใช้ในการให้กู้เงินส่วนตัวของเขาเอง จากความจริงที่ว่าเงินงบกองทุนชุมชน ถูกเอาไปใช้ขูดรีดดอกเบี้ยจากชาวบ้านกันเอง เป็นการทำลายเส้นแบ่งทางศีลธรรมระหว่างประโยชน์ทางเศรษฐกิจส่วนรวมและส่วนตัวอย่างรับไม่ได้ นี่คือการ


โดย: Darksingha วันที่: 2 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:41:12 น.  

 
คุณค่าของการเมืองในชีวิตประจำวัน และรัฐบาลทักษิณ
การเลือกตั้งใน พ.ศ.2544 ที่นำทักษิณขึ้นสู่อำนาจ ผู้สมัครพรรคไทยรักไทย ชนะโดยได้รับคะแนนโหวต 48% ส่วนในการเลือกตั้ง ปี 2548 คะแนนที่ได้รับไต่ขึ้นไปเป็น 66%แต่เมื่อไม่มีคู่แข่งในปี 2549 เขาได้รับคะแนนเพียงครึ่งหนึ่ง ขณะที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ ลงคะแนนไม่เลือกใคร และเลือกที่จะ "โนโหวต" หรือในทางหนึ่งตลอดช่วงการปกครองของทักษิณ มีความแปรผันในการสนับสนุนการเลือกตั้งอยู่ไม่น้อย

การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ก็มีข้อน่าคิดเกี่ยวกับภาพพจน์ของการครอบครองความเหนือกว่าของพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้งสภาจังหวัดในปี 2004 ผู้สมัครที่มีการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากไทยรักไทย แพ้ให้คู่แข่งแบบมีลุ้น และในการแข่งขันเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ผู้สมัครจากไทยรักไทย ดร. ธเนศร์ แพ้อย่างฉวดเฉียด ทั้งที่พร้อมทั้งกำลังทุน และการประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึง ดังนั้นแทนที่จะสรุปว่า การลงคะแนนสนับสนุนทักษิณจากภาคชนบทนั้นเป็นเรื่องตายตัว และไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือผ่านเครือข่ายอุปถัมภ์ที่หล่อลื่นด้วยเงิน น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าหากจะมีการสำรวจตรวจสอบว่า รัฐบาลทักษิณได้รับการประเมินอย่างไร ในแง่ของคุณค่าทางการเมืองท้องถิ่นในกรอบของรัฐธรรมนูญชาวบ้าน

ท้องถิ่นนิยม: "นายกเป็น จาวเจียงใหม่"
ในการเลือกตั้งระดับชาติ ท้องถิ่นนิยมมีบทบาทน่าสนใจแต่ค่อนข้างกำกวมในทางการเมือง ทักษิณนั้น แน่ละมาจากเชียงใหม่และอยู่ในสายตาของคนในภาคว่า เป็นหนึ่งใน "คนบ้านเฮา"ด้วย หนึ่งในสโลแกนของพรรคสะท้อนคำพังเพยว่า "คนเชียงใหม่ภูมิใจนายกเป็นคนเชียงใหม่ ไทยรักไทยเป็นพรรคเดียว" ส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์การเมืองท้องถิ่นของอำเภอผาเสี้ยว กลายเป็นส่วนสำคัญของพรรคไทยรักไทย ที่ขยายเอาความเป็น "บ้านเฮา" ให้รวมเอาไทยรักไทยเข้าไปด้วย อารมณ์ร่วมที่แสดงออกนี้ ได้ถูกสรุปอย่างชัดเจนโดยหัวคะแนนท้องถิ่นคนหนึ่ง

"นโยบายของทักษิณมาพัฒนาเชียงใหม่ เราก็เป็นคนเชียงใหม่ ทำไมเราไม่เลือกเขาล่ะ คนเหนือก็ต้องช่วยคนเหนือด้วยกันแล้วไทยรักไทยก็จะชนะ เราต้องช่วยทักษิณเพราะคนใต้จะเลือกประชาธิปัตย์ เขาไม่เลือกคนเหนือหรอก ถ้าไทยรักไทยชนะงบก็จะมาที่นี่ มิฉะนั้นงบก็จะถูกระงับไป"

ความต่างกับประชาธิปัตย์ในภาคใต้ถูกนำมาเปรียบเทียบ โดยที่ทางใต้มีเหตุความขัดแย้งทางศาสนา ความรุนแรงที่ต่อเนื่องและในช่วงก่อนการเลือกตั้งก็เกิดเหตุการณ์ซึนามิ ในช่วงอภิปรายที่หอประชุมอำเภอ การเปรียบเทียบคนใจดีของเชียงใหม่กับคนใต้ของประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่า ทักษิณยกเลิกการผูกขาดปลูกยางของภาคใต้ โดยนำมาปลูกในภาคเหนือและอีสาน ที่ในช่วงต้นนี้ก็แสดงให้เห็นว่า เกษตรกรภาคเหนือปลูกยางได้คุณภาพกว่าทางภาคใต้เสียอีก

ดังนั้นอารมณ์รักถิ่นจึงเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อไทยรักไทย และก็ถูกปลูกฝังตลอดช่วงการรณรงค์หาเสียง แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหากแต่ว่าซับซ้อนเมื่อหวนพิจารณาตัวผู้สมัครเอง ตัวผู้สมัครของไทยรักไทย ที่เป็นตัวเก็งในการเลือกตั้งปี 44 เป็นคนเชียงใหม่ คนท้องถิ่น แต่กลับไม่เป็นประเด็นหลัก สิ่งที่คนเขาพูดถึงก็คือ เป็นคนในวงราชการมานานบวกกับบุคลิกแบบหนอนหนังสือ ทำให้ดูเป็นทางการและมองไม่เหมือนคนท้องถิ่น ข้อวิจารณ์ของผู้คนก็คือว่าเขาไม่เป็นที่รู้จักในอำเภอ ส่วนการเจรจาพาทีกับคนชนบทก็ไม่คล่องแคล่ว

แตกต่างอย่างชัดเจนจากคู่แข่งของพรรคตรงข้ามที่เคยเป็นผู้แทนราษฎรคราวที่แล้ว ที่เป็นที่รู้จักอย่างดี เขามาจากอำเภอใกล้เคียงที่ซึ่งคนในบ้านเตียมมีญาติอยู่มาก ไม่ดูเป็นทางการ พบง่ายท่าทางเป็นมิตร พูดคุยด้วยภาษาถิ่นอย่างง่ายๆ อยู่บนเวทีหาเสียงก็สร้างความสนุกสนานได้ รวมไปถึงการใช้ภาษากะเหรี่ยงเมื่อเวลาพูดกับพวกกะเหรี่ยง การใช้ภาษาถิ่นในที่ที่ภาษามีความสำคัญถือว่าเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่ง ผู้สมัครรายนี้รู้จักเล่นกับการเป็นคนท้องถิ่นของเขา โดยที่เขาเน้นเสนอว่าให้เลือกคนท้องถิ่นแทนที่จะเลือกพรรค (ตรงข้ามกับแคมเปญ ของไทยรักไทย) ก่อนการเลือกตั้งคาดกันว่า เขาควรได้รับคะแนนมาอันดับหนึ่ง แต่เมื่อเขาพ่าย ผู้เขียนก็เชื่อว่าเขาต้องได้คะแนนเสียงพอควร โดยเฉพาะที่บ้านเตียมที่มีผู้สนับสนุนเขาอย่างหนาแน่น

การเกื้อหนุน "มีดีในบางด้าน"
ไทยรักไทยนั้น หากพิจารณาด้านการเกื้อหนุนเรื่องเงินทอง ในเชิงคุณค่าแบบรัฐธรรมนูญชาวบ้าน นั้นมีผสมปนเปกันไป มีเสียงบ่นเรื่องที่ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยไม่ค่อยมีส่วนร่วมสนับสนุนด้านการเงินแก่ท้องถิ่น หรือเสียงบ่นไม่พอใจเรื่องค่าใช้จ่ายที่ได้รับจากการประชุม ในบ้านเตียมเองหัวคะแนนของพรรคถูกกล่าวหาว่า ไม่สู้เต็มร้อยในการขับเคลื่อนงานของพรรค บางคนเห็นว่าการที่เลือกหัวคะแนนท้องถิ่นด้อยคุณภาพมานั้น เพื่อจะได้ประหยัดให้มีเงินเหลือเข้ากระเป๋าพวกเจ้าหน้าที่พรรคที่อยู่ตามอำเภอ โดยรวมแล้วแม้จะมีการสนับสนุนเป็นส่วนตัวอยู่บ้างแต่ผู้สมัครของไทยรักไทยนี้ ได้ชื่อว่าไม่ใช่คนใจกว้างอะไร

ที่จริงผู้สมัครพรรคคู่แข่งนั้นดูเหมือนว่าจะมีความกรุณาในเชิงอุปถัมภ์มากกว่า หากพิจารณาจากแง่มุมของคุณค่าแบบรัฐธรรมนูญชาวบ้าน การเข้ามามีส่วนร่วมกับหมู่บ้านอย่างแข็งขันทำให้เขาได้รับความสิเหน่หา(ซึ่งบางคนก็ล้อเลียนอย่างนั้น) ดูได้จากเต้นท์ที่พิมพ์ทั้งชื่อและโลโก้ของพรรคที่เขาบริจาคให้ส่วนรวม ในการหาเสียงเต้นท์ของ สส. ก็เป็นที่โฆษณาถึงงานส่วนรวมที่เขาเคยสนับสนุนมา ที่เด่นๆ ก็เช่น การก่อสร้างโครงการชลประทานไฟฟ้าขนาดเล็ก และอาคารสหกรณ์การเกษตรหลังใหม่. ความเมตตาการุณย์ของเขาได้รับการเสริมด้วย คำกล่าวของท้องถิ่นที่ว่า " มหาชนนั้นใจดีกว่าไทยรักไทยนะ" เมื่อดูจากการจ่ายค่าเบี้ยประชุม และเบี้ยเลี้ยงในการมาร่วมการหาเสียง

แต่การด้อยกว่าของไทยรักไทยในแง่บุคลิกส่วนตัวของผู้สมัครนั้น ถูกถ่วงน้ำหนักโดยการสนับสนุนโดยหน่วยราชการในพื้นที่ ซึ่งได้มาจากการริเริ่มนโยบายของทักษิณ ที่นี่รัฐบาลทักษิณได้รับการยอมรับว่าปฏิบัติงานได้อย่างเข้มแข็งมีผลงาน "เขาช่วยเหลือพวกเราหลายอย่างนะ รัฐบาลทักษิณมีโครงการมากมายที่เกิดประโยชน์ต่อชาวไร่ชาวนา รัฐบาลที่แล้วมาไม่ได้ช่วยเราแบบนี้" โดยเฉพาะเสียงที่ชื่นชมต่อการริเริ่มโครงการพัฒนาเศรษฐกิจรากหญ้า กองทุนหมู่บ้าน หรือ SML ที่บ้านเตียมถึงจะมีปัญหาบ้าง แต่โครงการกองทุนหมู่บ้านหนึ่งล้านบาทก็ค่อนข้างสำเร็จ หากดูในแง่ของอัตราการคืนเงินที่ค่อนสูง ถึงกับมีการเพิ่มทุนเรือนหุ้นเนื่องจากสมาชิกมีเงินฝากสม่ำเสมอและซื้อหุ้นเพิ่ม

โครงการออกทุนก่อสร้างโรงสีที่รับสีข้าวในราคาต่ำกว่าโรงสีเอกชนทั้งสามแห่ง ชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้รับวัวเลี้ยงตามโครงการวัวล้านตัว "ชาวบ้านยังชอบทักษิณอยู่มาก โครงการเลี้ยงวัวพยายามแก้ปัญหาความยากจนด้วยการช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้" นอกจากนั้น มีชาวบ้านประมาณยี่สิบคน ที่ร่วมโครงการสร้างเสริมรายได้ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรณรงค์แก้ไขความยากจนของรัฐบาล โครงการนโยบายประกันสุขภาพของรัฐ (สามสิบบาทรักษาทุกโรค) ก็ได้รับการสนับสนุนจากคนพื้นที่เช่นกัน

แรงหนุนการเลือกตั้งของท้องถิ่นนั้น มาจากการที่คนเห็นว่ารัฐบาลมีความริเริ่มหลายๆ อย่าง ที่ทำได้รวดเร็ว ลัดขั้นตอนที่เยิ่นเย้อของระบบราชการ ความรวดเร็วของการสนับสนุนทางด้านเงินทุนของรัฐบาลเป็นเสมือนกุญแจสำคัญ ที่นำมายกเป็นตัวอย่าง โครงการกองทุนหมู่บ้านถูกนำเสนอในฐานะนโยบายในเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงเลือกตั้ง จากนั้นเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน หมู่บ้านก็ได้รับเงินและกรรมการกองทุนก็ตัดสินใจได้ว่า จะอนุมัติโครงการใดบ้าง แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันว่า จะให้มีการตัดสินใจใช้ทุนอย่างไร แต่นโยบายที่ให้การตัดสินใจอยู่ที่หมู่บ้านเป็นก้าวสำคัญที่สร้างความต่างกับระบบบริหารงานแบบเดิม นับจากวันที่ชาวบ้านได้ยินเรื่องโครงการกองทุนหมู่บ้านเพียงปีเศษ การตัดสินใจสร้างโรงสีของบ้านเตียมก็สำเร็จสมบูรณ์

อาจจะเป็นการกล่าวอ้างอย่างผิดๆ ถ้าจะว่ารัฐบาลทักษิณไม่ต้องเสี่ยงกับอะไรเลย ในประเด็นการสนับสนุนท้องถิ่น คำครหาอย่างต่อเนื่องของคนท้องถิ่นนั้นมีว่า รัฐบาลนี้ช่วยภาคเกษตรไม่พอ ในจุดนี้ต้องทำความเข้าใจถึงความไม่แน่นอนของราคาพืชผลที่คนบ้านเตียมต้องเผชิญเสียก่อน การประสบภาวะทางธรรมชาติทำให้ผลผลิตกระเทียมซึ่งเป็นพืชสำคัญของคนที่นั่น ลดลง กระนั้นก็ตามรัฐบาลไม่อาจเลี่ยงความรับผิดชอบ เกษตรกรหลายคนโยงว่า การที่ราคากระเทียมปักหัวดิ่งนั้น มีผลมาจากการทำสัญญาการค้าเสรีระหว่างไทยกับจีน

เกษตรกรก้าวหน้าบางคนสะท้อนว่า "ทักษิณเก่งในเรื่องระหว่างประเทศ แต่ไม่เท่าไหร่ในบ้านตัวเอง" ที่หนักหนากว่านั้นก็คือสิ่งที่ชาวบ้านเห็นว่า รัฐบาลทำน้อยไปในการช่วยแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรที่ย่ำแย่ มีข้อวิจารณ์ว่า โครงการพัฒนาการเกษตรบางโครงการ เช่นการเลี้ยงวัวนั้น ทำเพียงเป็นสัญญลักษณ์และไม่ยั่งยืน ชาวบ้านคอยเปรียบเทียบระหว่างโครงการพัฒนาเฉพาะด้าน (ที่ทักษิณโกยคะแนน) กับการส่งเสริมในภาพกว้างให้กับภาคเกษตรที่ดูเหมือนไม่เต็มใจทำ

แดง...เกษตรกรคนหนึ่งแสดงความเห็น เมื่อได้ยินที่ลือกันว่าจะมีราชการมาตรวจ ซึ่งชาวบ้านเรียกร้องไปว่า ที่รัฐจ่ายค่าช่วยเหลือนั้นก็เพื่อที่จะลดพื้นที่ปลูกกระเทียม

"เขาจะมาทำไม? จริงๆ แล้วชาวนาที่ปลูกกระเทียมก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี เราต้องลงทุนค่าปุ๋ยไปตั้งเยอะ แล้วก็ไม่อยากเป็นหนี้ แต่เราต้องปลูก มันไม่มีรายได้ทางอื่น ก็แล้วทำไมค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าน้ำมันต้องแพงขึ้นล่ะ แต่เงินที่จะช่วยเราและราคาผลผลิตกลับลดลง ก็ลองดูราคาข้าว ที่ขายได้สิ(จากน้ำท่วมปี 2548) แค่สามร้อย ถ้าข้าวไม่เสียและขายได้ก็จะได้เป็นหลายพัน รัฐบาลไม่ได้เลวร้ายไปทุกเรื่องหรอก แต่คำมั่นที่จะให้และช่วยภาคเกษตรนั้นน้อย แล้วเกษตรกรก็ยังลำบาก ไม่มีทางออกแล้ว ทุกคนติดหนี้หมด รัฐบาลจะช่วยเราอย่างสามสิบบาท(รักษาทุกโรค) อย่างงี้ แต่มันน้อยเกินแล้วก็ไม่โปร่งใส"

คำกล่าวของแดงที่โยงเอาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำกับการเป็นหนี้สินของชาวนา นั้นแสดงให้เห็นประเด็นทางเศรษฐกิจ สังคมหลักของบ้านเตียม กระเทียมต้องลงทุนสูง เมื่อประสบปัญหา(ราคาต่ำ ผลผลิตเสียหาย) ก็ทำให้เกษตรกรเป็นหนี้จำนวนมาก บางรายอาจสูงถึง 200,000 บาท "กระเทียมช่วยให้เรารวย ถึงคราวซวยก็ช่วยให้เราจน" โครงการพักชำระหนี้เกษตรกรของทักษิณได้รับความชื่นชม แต่ช่วยบรรเทาเพียงชั่วคราวมากกว่าจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้สินอย่างจริงจัง ที่สำคัญกว่านั้น มีคำติฉินจากพื้นที่ว่า กองทุนหมู่บ้านล้านบาทนั้นเพิ่มการเป็นหนี้ของเกษตรกรเท่านั้น

"การเมืองไทยมันแย่ ผมไม่ชอบทักษิณ เขาเอาเงินให้ชาวบ้านแต่ไม่เห็นมีใครรวยขึ้นเลย กลับเป็นหนี้เพิ่ม เขาเอาเงินงบประมาณและเงินกู้เพื่อให้คนจนสนับสนุนเขา แต่มันเป็นเงินรัฐบาลนะ ไม่ใช่เงินของเขา ชาวนาลำบาก ราคาพืชผลต่ำลงหมด ผมหยุดทำเกษตรมาสองสามปีแล้ว ทำร้านอาหารน่าจะดีกว่า"

การบริหารจัดการ: "ป้าเรียกเขาว่า'ทรัพย์สิน"
ไม่น่าสงสัยเลยที่ความสามารถส่วนตัวของทักษิณหลายๆ อย่างได้รับการยอมรับอย่างสูงในคุณค่าเชิงรัฐธรรมนูญของชาวบ้าน โดยเฉพาะความสามารถทางการบริหารจัดการ เนื่องจากความสำเร็จในการทำธุรกิจ การเป็นนักพูดในที่สาธารณะ และเป็นนักสื่อสารผู้ทรงภูมิรวมทั้งคุณสมบัติด้านการศึกษา ที่สำคัญสำหรับชาวบ้านแล้ว การที่เขาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่แสดงถึงสายสัมพันธ์ทางสังคม ความสง่าผ่าเผยและสติปัญญา ทั้งหมดนี้ก็หมายความว่า ทักษิณสามารถเป็นตัวแทนประเทศได้อย่างสมภาคภูมิในเวทีโลก "เมืองไทยมีชื่อเสียงแล้ว เดี๋ยวนี้" ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเตียมบอกผู้เขียน "ทุกคนรู้จักนายกทักษิณกันหมด"

มีประเด็นหนึ่งที่ช่วยสร้างภาพและมายาคติของความสามารถในการบริหารงานของทักษิณ ในฐานะผู้นำประเทศที่ประสบความสำเร็จในเวทีโลก ที่ผู้สนับสนุนในท้องถิ่นมักยกมากล่าวอ้างเสมอ ก็คือ เรื่องการที่ทักษิณสามารถใช้คืนหนี้ IMF ได้ นี่เป็นการเสริมสถานภาพของประเทศไทยในระดับนานาชาติ และในการที่จะสนับสนุนคนไทยกันเองได้ดียิ่งขึ้น บางคนถึงกับบอกว่าความสำเร็จของทักษิณครั้งนี้ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าเขาก็จะสามารถจัดการกับหนี้ครัวเรือนได้ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งที่"บ้านเตียม" พูดเปรียบถึงผลประโยชน์ระหว่างของชาติและของส่วนตัว ที่แบ่งได้ไม่ชัดเจนนั้นไว้อย่างน่าฟังว่า:

แต่ก่อนเด็กไทยเกิดมาก็มีหนี้คนละ 60,000 บาท แต่เดี๋ยวนี้ปลอดหนี้ IMF แล้ว เด็กเกิดใหม่ก็พอจะได้พักบ้าง เงินก็คงจะกลับมาสู่หมู่บ้าน ทักษิณเป็นคนเก่ง แต่ถ้าพูดถึงพวกอื่น ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไร

ปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการนิยมชมชอบทักษิณ คือการที่เขามีแผนปฏิบัติการพิเศษในการจัดการปัญหาที่ดูท้าทายในสายตาของชาวบ้าน เช่นสงครามต่อต้านยาเสพย์ติด ซึ่งมีการกวาดล้างโดยวิสามัญฆาตกรรมผู้ค้ายากว่า 2000 ราย เหตุการณ์นี้ถูกยกขึ้นมาเป็นหลักฐานแสดงความมีประสิทธิภาพ และการเป็นผู้นำที่กล้าตัดสินใจของทักษิณอยู่เสมอ เหตุการณ์นี้เชื่อมโยงกันอย่างเหมาะกับความวิตกกังวลของคนในชุมชน เกี่ยวกับการใช้ยาบ้าอย่างแพร่หลายในหมู่เยาวชน และทั้งยังเป็นเรื่องที่ไปกันได้ดีกับอารมณ์ความรู้สึกที่ให้คุณค่ากับการแก้ปัญหาอาชญากรรม

ดูจากความเห็นของลุงแมนที่ขอออกจากโรงพยาบาลในวันเลือกตั้งปี 2549 เพื่อจะได้มาทันลงคะแนนให้พรรคไทยรักไทย (ถึงแม้ว่าจะไม่มีคู่แข่งจากฝ่ายตรงข้ามเลยก็ตาม):

ที่ผมชอบมากที่สุดเกี่ยวกับทักษิณก็คือ สงครามต่อต้านยาบ้า มันมีประโยชน์จริงๆ นา แต่ก่อนมีคนติดยาเยอะ เด็กวัยรุ่นในบ้านนี้ก็เยอะ สองปีหลังมานี่ถึงกะมีพวกวัยรุ่นพยายามขโมยคอมพิวเตอร์จากโรงเรียนเชียวนา เป็นเด็กในหมู่บ้านเรานี่แหละ ไอ้ผมก็ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งหรอก แก่แล้ว พวกมันอาจจะฆ่าผมซะก็ได้ ทางหมู่บ้านก็จัดตั้งคณะกรรมการรักษาการณ์ตอนกลางคืน เป็นคณะกรรมการลับ รวมเอาชาวบ้านจากหลายหมู่บ้าน ตอนนี้เหตุการณ์สงบลง ผมรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นโขเลย

ในขณะที่มีความชื่นชมในการบริหารงานของทักษิณ ก็มีความกังวลเกี่ยวกับการคอร์รับชั่นของเขาด้วย ความร่ำรวยอย่างผิดปกติและการใช้อำนาจทางการเมืองอำนวยประโยชน์ต่อธุรกิจส่วนตัว ทำให้ทักษิณล่อแหลมต่อข้อกล่าวหาว่า "โลภมาก" และ"หลอกลวง" และมีคนแวดล้อมที่เป็นคนไม่ดี นี่เป็นข้อวิจารณ์โดยทั่วไป แต่สำหรับบางคนนี่ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะในขณะที่ทักษิณ"หาประโยชน์ให้ตัวเอง" เขาก็ยัง "แบ่งปัน"ผลประโยชน์ให้กับชาวชนบทด้วย

หรือถ้าจะพูดอีกทางหนึ่งก็คือการเบี่ยงเบนประโยชน์ของสาธารณะ สู่ประโยชน์ส่วนตัวของทักษิณนั้นไม่ได้ทำให้คนในชนบทที่ลงคะแนนให้เขานั้นเสียประโยชน์โดยตรง แต่เหตุผลนี้ไม่ใช่สากล แล้วก็มีบางคนที่มองเห็นว่า การที่เขาช่วยเหลือคนจนนั้นไม่ใช่ของจริง เพราะเงินช่วยเหลือนั้นเป็นของรัฐบาลไม่ใช่ทุนส่วนตัวของทักษิณ:

พูดถึงทักษิณ ป้าเรียกเขาว่า"ทรัพย์สิน" ป้าไม่ชอบวิธีการที่เขาหลอกลวงเงินมากมาย ญาติป้าที่อยู่ในกรุงเทพไม่ชอบเขาเลย แล้วไม่เคยเห็นดีเห็นงามไปกับเขาแม้แต่เรื่องเดียว เพราะเขาผลาญเงินอย่างเดียว เงินที่ทักษิณใช้เป็นของประเทศ ไม่ใช่เงินจากกระเป๋าเขา เขามีเงินเยอะ แต่เราไม่เคยเห็นเขาบริจาคเงินส่วนตัวเลย เมื่อเขาตายเขาจะแบกทรัพย์สมบัติไปได้ด้วยหรือเปล่าน้อ

การคอร์รับชั่นและการบริหารงานที่ผิดพลาดของทักษิณ ได้ถูกชูเป็นประเด็นสำคัญต่อผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนในการเลือกตั้งปี 2549 โดยที่มีการคว่ำบาตรจากพรรคฝ่ายค้าน ที่บ้านเตียมจึงมีผู้ลงสมัครแข่งขันจากเพียงพรรคเดียว คือ ไทยรักไทย บางคนแย้งว่าโดยการเลือกตั้งเองแล้ว ก็เป็นการสูญเปล่าของงบประมาณแผ่นดิน ("เงินของชาวบ้านทุกคน") และเท่ากับเป็นการตีขลุมเอาว่าให้เลือกโดยไม่มีตัวให้เลือก

ฉันคิดว่าน่าจะเลื่อนการเลือกตั้ง ทำแบบนี้ก็ไม่ยุติธรรมกับพรรคการเมืองทั้งหมด ฉันไม่ชอบรัฐบาลทักษิณเพราะว่าหลอกลวงมาก แล้วก็"โกงกิน"มาก แต่ที่นี่เรามีแต่ไทยรักไทย แล้วอำเภอนี้ก็เป็นฐานเสียงของเขาด้วย โดยส่วนตัวแล้วฉันอยากให้มีรัฐบาลอื่นมาบริหารประเทศ


โดย: Darksingha วันที่: 2 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:43:55 น.  

 
อ่านต่อที่ //www.midnightuniv.org/midnight2544/0009999638.html


โดย: Darksingha วันที่: 2 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:44:51 น.  

 
ตอนนี้มีรัฐบาลประยุทธ์ละครับสบายใจได้


โดย: รักทักษิณ IP: 180.183.155.150 วันที่: 24 มกราคม 2559 เวลา:17:58:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.