... มื้อนี้จัดหนัก หกคอร์ส ค่ะ ...
ปกติร้านส่วนใหญ่ในฝรั่งเศสจะปิดวันจันทร์นะคะ แต่วันนี้โอกาสพิเศษวันวาเลนไทน์
ร้านดังๆก็เปิดแทบจะทุกร้าน แต่คิวก็ยังเต็มเหยียดทุกร้านเลยค่ะ
เราเลือกทานร้านมีดาวการันตีกันนิดนึงนะคะวันนี้
(สำหรับคนที่อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดอันดับ ตามลิงค์นี้เลยจ้า)
More info about Michelin Guideฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีเชฟมิชาลินเยอะที่สุดในโลกค่ะ แล้วก็มีทุกดาวเลยตั้งแต่หนึ่งดาวไล่ไปถึงสามดาว
(นอกจากนั้นส่วนใหญ่จะหาชิมได้ในประเทศฝั่งยุโรปและอเมริกา เอเชียบ้านเราเยอะหน่อยก็ที่ญี่ปุ่นและที่ฮ่องกงค่ะ)
อยู่เมืองไหนประเทศอะไร ลองคลิกดูเล่นๆได้ค่ะ
Which city, Which Country? เคยลองหากันเล่นๆต่อเฉพาะในแคว้นที่อินดี้อยู่ (เบอกันดี) ก็มีทุกดาวเลยค่ะ
Michelin star restaurants in Burgundy
แล้วก็ขอลองเชคราคาขำๆแบบสามดาวมิชาลินดูเพราะความอยากรู้อยากเห็น
...เล่นเอาแทบช๊อค...
วันธรรมดาๆจานหลักเริ่มต้นที่ ห้าสิบยูโร !!!
โอกาสพิเศษอย่างฟูลคอร์สวาเลนไทน์แบบนี้ปาไป สามสี่ร้อยยูโร ต่อหัว
...ม่ายไหว ลิ้นไม่ถึงอ่ะค่ะ และรู้สึกเกินตัว(เพราะยังเป็นนักเรียนอยู่เลย)...
สรุปแล้วเหมาะสมที่สุด(สำคัญที่เงินในกระเป๋า :P) ขอชิมดาวเดียวก่อนละกันนะคะ 555+
วันนี้ทางร้าน
Le France เสิร์ฟพิเศษเฉพาะ
Valentine’s Menu เมนูนี้เพียงเมนูเดียวเท่านั้น
ทุกโต๊ะทุกคน ราคาเดียวที่ 75 ยูโรต่อหัว
ราคานี้ไม่รวมเครื่องดื่มทุกชนิด (น้ำแร่ยัง 12 ยูโรเลยค่ะ ราคาเห็นแล้วหนาว
เราเลยพร้อมใจกันงด Apéritif เครื่องดื่มก่อนเข้ามื้อ และชากาแฟตอนปิดมื้อด้วย อิอิ)
เชฟเลือกสรรเมนูเด็ดของร้านมาให้เราได้ชิมตลอดมื้อนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ
วันนี้โต๊ะเต็มเอียด สอดสายตาดูพบว่าเราเป็นคู่ที่อายุน้อยที่สุดเลยค่ะ
อินดี้น่าจะเป็นเอเชียคนเดียวตามเคย
เรื่องการแต่งกาย อินดี้ก็แต่งมาพิเศษระดับหนึ่งนะคะแต่มาเจอแขกคนอื่นแล้ว
เอ่อ...แบบว่าผู้ชายสูทเต็มยศ ผู้หญิงเดรสแบบจริงจัง
...อินดี้เลยเสียเซวฟ์ไปสองวิ 55 ...
โม้ยาวเลย...มาเข้าร้านกันเลยดีกว่าค่ะ
ร้านนี้มีชื่อว่า Le France อยู่ที่เมือง Montceau Les Mines แคว้น Burgundy นะคะ
โดยเชพหนุ่ม Jérôme Brochot (JB)
เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม แต่หลักๆคิดว่าเค้าตั้งใจทำร้านอาหารแล้วก็โรงเรียนสอนทำอาหารมากกว่าอ่ะค่ะ
(อินดี้สนใจไปเรียนอยู่นะคะเนี่ย)
เข้าไปในโรงแรมก็แต่งเก๋ๆค่ะ อุปกรณ์ทำครัวต่างๆนานา
ไอเดียน่ารักแล้วก็ทำออกมาสวยดีทีเดียว มีสัญลักษณ์ JB ชื่อย่อคุณเชฟตลอดเลย
อาจจะเป็นของเก่าที่เชฟเคยใช้จริง(รึเปล่า):P
ต่อไปมาชมส่วนห้องอาหารกันบ้างค่ะ
อย่างที่บอกไปว่าแขกภูมิฐานมากๆเลยไม่กล้าเก็บภาพนอกเหนือจากอาหารบนโต๊ะตัวเองซักเท่าไหร่
ได้มาภาพเดียวจริงๆค่ะ Snapshot ตอนเดินออก แค่นั้นเลยจริงๆ
มาต่อที่โต๊ะกันค่ะ
มีเทียนเพิ่มบรรยากาศโรมานซ์ ^^
แต่ไฟสลัวๆแบบนี้ถ่ายรูปยากจริงๆ
ขนมปังเราเลือกมาลองสองแบบค่ะ (ทางร้านเตรียมไว้ให้เลือกถึง 7 แบบ)
เลือกเป็นแบบ Herb กับ แบบ whole-wheat
และเนย ที่หอมนุ่มสุดๆ ไม่แน่ใจว่าโฮมเมดหรือแบรนด์อะไรนะคะ
มาเริ่มจานแรกกันเลย (ยังไม่นับเป็นคอร์สแรกนะคะ)
… Amuse Bouche ...เสริฟมาบนจานหินสีดำ มาแบบเล็กๆน่ารักๆ
สี่ชิ้นนี้ประกอบไปด้วย
Jambon persillé อันนี้เป็นอาหารท้องถิ่นของแคว้นเบอกันดีเลยนะคะ
เป็นคล้ายๆเจลลี่ที่ฝังด้วยแฮมคุณภาพ กระเทียม พาสลีย์ ประมาณนี้ค่ะ
สีสวยชมพูๆจากแฮมแล้วก็เจลลี่สีเขียว เค็มๆอร่อยยยยดี แต่คำเล็กไปนิด :P
ถัดไปเป็น Onion Mousse ก็จะมีขนมปังปิ้งรองก้นสุดต่อด้วยมูสหอมใหญ่แล้วก็หอมใหญ่หมักในน้ำส้มสายชูฝรั่ง
ชิ้นนี้ละมุนละไมมากๆค่ะ ละลายในปากเลยแหละ
ส่วนที่อยู่ในแก้วคือ Topinambour Mousse อันนี้เฉยๆค่ะ แบบครีมนุ่มๆแนว creamy แต่ไม่มีอะไรโดดเด่น
Note: ต้องบอกว่าไม่รู้ศัพท์นี้มาก่อนเลยค่ะ ตอนทานไปมันก็คล้ายๆมันฝรั่งแต่ไม่ใช่ซะทีเดียว
กลับมาเลยหาในเนตดูได้ความรู้ใหม่
ฝรั่งเศส: Topinambour
อังกฤษ: Jerusalem artichoke หรือ sunchoke
ไทย: แก่นตะวัน ไม่เคยได้ยินมาก่อนเล้ยย
และสุดท้ายเป็น ไก่ห่อ Caviar de hareng อันนี้ก็ธรรมดาค่ะ
คำเล็กๆทานไปยังไม่ทันรับรสหมดปากซะแล้ว 55
เอาหละค่ะ เดี๋ยวจะยาวมาเข้า
… 1st Course ...Sur le thème du bœuf Charolais.
Filet de Bœuf Charolais confit aux aromates et fines tranches de comté à la presse.
La noix coupée au couteau préparée comme un tartare.
Micro-végétaux en vinaigrette d’herbes aromatiques.
เริ่มต้นคอร์สด้วย Theme เนื้อวัวคุณภาพ Charolais
ที่จัดเป็นสี่เหลี่ยมคือเนื้อวัวปรุงเฮิร์บแล้วที่เห็นแทรกสีขาวๆนั่นคือชีท comté ค่ะ
ส่วนที่เป็นทรงกระบอกก็คือเนื้อดิบ แบบทาร์ทาร์นั่นเอง จิ้มด้วยเนื้อแห้งสไตล์ cold cut ด้านบน เก๋ซะ
จานแรกมาก็ถูกใจมากค่ะ ชอบเมนูเนื้อดิบอยู่เป็นทุนเดิม
ต้องบอกว่าเค้าหมักเฮิร์บรสชาติออกมาดีมากๆ
ตัวเนื้อที่เป็นสอดไส้ชีสก็ไม่มีเลี่ยนเลยค่ะ ทั้งนุ่มทั้งหนึบ เนื้อคุณภาพดีจริงๆค่ะ...
… 2nd Course ...Coquilles Saint-Jacques de Bretagne.
Saint Jacques saisies sur plaque. Julienne d'Ormeaux et jeunes légumes à l'étuvée.
Velouté mousseux d'artichaut au caviar de hareng fumé.
Tartine de pain brioché au beurre salé.
คอร์สที่สองเป็น Brittany Scallop ค่ะ
คอร์สนี้เป็นซุปบ้างนะคะ มีหอยเป๋าฮื้อและผักนึ่งรองก้นถ้วย ตัวซุปทำจากอาร์ติโชก
แล้วก็ไฮไลท์ด้านบนที่เห็นเป็นหอยเชลล์ไซด์ใหญ่ที่จี้ไฟซะสีสวยเชียว กับ คาเวียร์ของปลา herring ค่ะ
จานนี้คนที่ไปด้วยปลื้มมาก เนื้อหอยเชลล์นี่แบบเต็มปากเต็มคำมากเลยค่ะ
เคี้ยวไปเนื้อแน่นรสชาติหอมหวาน ซุปเป็นแบบทานสบายๆผักนุ่มๆทานแบบเบาๆน่ะค่ะ
ส่วนไอ้ไข่ปลาด้านบนนั่นสารภาพว่ากินเข้าไปแบบงงๆ รสชาติไม่ชัดเจนค่ะ…
ก่อนจะเข้าคอร์สสาม ขอเบรคพาไปชมสิ่งที่น่าสนใจซักนิดนึงนะคะ
(พูดเหมือนตอนตัดเข้าโฆษณา อิอิ)
...ครัว...นั่นเองค่ะ
ที่นี่เดินไปอีกห้องนึงจะมีที่ให้ส่องดูการทำงานก้นครัวกันด้วยค่ะ
ไม่น่าเชื่อว่าแขกวันนั้นน่าจะเกิน 60 คนกับอาหารหลายๆคอร์สแบบนี้
แต่ครัวทำอาหารรสชาติสแตนดาร์ดแล้วก็ไม่ได้ดูวุ่นวายอะไรเลย
มืออาชีพมากๆค่ะ
เห็นจะมีก็แต่คุณเชฟของเรา Jérôme Brochot ที่ดูจะง่วนคุมผลงานโดยรวมอยู่ตลอดเวลา
ดีใจได้เห็นเชฟตัวเป็นๆ อิอิ
แอบเห็นเค้าเริ่มเตรียมจานชีสแล้วค่ะ ตื่นเต้นๆ
มาต่อ
… 3rd Course ...Bar de ligne « Côte Bretonne ».
Dos de bar poché sur l’arête dans un bouillon iodé légèrement safrané.
Croustillant de langoustine aux épices d’Ethiopie.
Pomme ratte et brunoise de poire cuites à l’étouffée.
ถึงจานปลาแล้วหล่ะค่ะ
เป็นปลา Bar มาจาก Brittany Coast ทางตอนเหนือของประเทศ
คร่าวๆคือปรุงด้วยวิธี poaching ตัวซอสเป็นซอสหญ้าฝรั่น
เคียงคู่มากับ Langoustine กรุบกรอบ (ตระกูลเดียวกับลอปเตอร์)ปรุงด้วยเอธิโอเปียสไปซ์
เสริฟพร้อมมันฝรั่งขี้หนูกับลูกแพร์
จานปลาปกติตามร้านอาหารฝรั่งเศสก็จะอร่อยอยู่แล้วนะคะ เนื้อแน่นตามคาด
แต่จานนี้มาแปลกคือซอสค่ะ คำแรกเข้าไปผิดคาดนิดนึง รสเผ็ดร้อนนิดๆ
แปลกใหม่ ไม่เคยชิม แฮะๆ
แต่เมื่อทานร่วมไปกับปลาเป็นคำๆไป กลับพบว่ารสชาติเข้ากันมากเลยค่ะ…
… 4th Course ...Pigeon « Ferme des Guerreaux ».
Le pigeon farci au foie gras de canard et laitue braisée.
Purée de topinambour, pointes d’asperges vertes à la Française.
Jus de pigeon corsé aux baies de genièvre.
มาถึงคอร์สที่สี่แล้วนะคะ เนื้อไปแล้ว ซุปหอยไปแล้ว ปลาไปแล้ว
จานนี้มาทานนกพิราบกันค่ะ
สังเกตจากในจานนี้เดาว่านกแถวฝรั่งเศสจากฟาร์ม Guerreaux คงจะตัวใหญ่น่าดูเลยนะคะ ^^
จานนี้เด็ดมากเพราะนอกจากนกพิราบเนื้อแน่นอร่อยๆแล้วยังยัดไส้ด้วยฟัวกราส์เข้าไปอีก
เสิร์ฟมากับ หน่อไม้ฝรั่งเขียว และ Topinambour บด
คอมเม้นสำหรับจานนี้ อินดี้จัดไปเต็ม 10 เลยค่ะ อร่อยลงตัวมากถึงมากที่สุด
เนื้อแน่นและรสสัมผัสไม่เหมือนเนื้อชนิดอื่นจริงๆ ยิ่งสอดไส้ฟัวกราเข้าไป
โอ้ย…นึกในใจจะอร่อยไปขนาดไหนคะคู๊ณณณณ
ซอสก็กำลังดีเข้ากันสุดๆ ปลื้มๆ เก็บมานอนฝันหนึ่งคืนเลยทีเดียว ฮ่าๆ
โชว์อุปกรณ์สำหรับคอร์สนี้ซะหน่อย
สลักชื่อร้าน Le France และตัวย่อชื่อเชฟ JB ด้วยค่ะ
ลองสังเกตดูนะคะ ทุกจานจะมี Signature หมดเลยค่ะ
แหม...ชักอยากจะมีจานที่บ้านเขียน Indy แบบนี้บ้างซะจริงๆ อิอิ
เอาหละค่ะ หมดของหนักแล้ว เริ่มอิ่มจริงจังนิดนึงแล้วด้วย
… 5th Course ...Notre sélection de fromages. Maison Mons. M.O.F.
Vache, chèvre et brebis : Saint Nectaire, Chèvre du Charolais et Bleu des Causses.
En accompagnement fruits du mendiant et confiture au Chardonnay.
คอร์สนี้ชีสสสสสสสสส
เป็น Fromage blanc à la crème และ/หรือชีสอีกสามตัว
จากนมวัว นมแพะ และนมแกะ
คนที่ไปด้วยชอบบลูชีส Bleu des Causses ค่ะทำจาก milk of Sheep
ส่วนอินดี้ชอบ Saint Nectaire ค่ะแนวเบสิคทานง่ายๆจาก Milk of Cow
ทานกับผลไม้แห้ง ขนมปัง ก็อร่อยแล้วหล่ะค่ะ
อีกอย่างที่ชอบมากๆเลยคือที่เป็นเจลลี่ตรงมุมจานน่ะค่ะ
มันเป็น White Wine (Chardonnay) Jelly กินเพลินมากๆ รสเปรี้ยวหวานมึนนิดๆ 55+
คอร์สสุดท้ายแล้วนะคะ
… 6th Course ...Le Dessert de la Saint Valentin.
Dôme de chocolat « Jivara », praliné feuillantine au coulis de framboise.
Barbe à papa fruits rouge, cœur de guimauve.
Spiral de miel et feuille d’or.
เป็นโดมชอคโกแลตค่ะ ตัวชอคโกแลตนี้เป็น Jivara แบรนด์ Valrhona
(Wikipedia: Valrhona focuses mainly on high-grade luxury chocolate marketed for professional
as well as for private consumption)
รับประกันความอร่อยเพราะแบรนด์นี้หละค่ะที่สนับสนุนและถูกเลือกใช้
เวลาเวลามีงานแข่ง Pastry Championship ต่างๆ
ส่วนในขนมของเรานะคะ ไส้ด้านในมีพราลีนด้วยค่ะ
แล้วก็ตัวแกนกลางจะเป็นซอสราสเบอร์รี่ มีภาพเลเยอร์ให้ชมกันด้วย
ส่วนหัวใจสีแดงเป็น Marshmallow
แล้วสีชมพูคล้ายๆร่มสุดน่ารักนั่นเป็นสายไหมรสเบอร์รี่ค่ะ
สุดท้ายเจ้าเกลียวทองนั้นทำมาจากน้ำผึ้ง
แอบหรูนิดๆมีทองคำเปลวแปะเล็กน้อย
ของหวานจานนี้ถูกใจมากๆค่ะ น่ารักดีเข้ากับวาเลนไทน์มากๆ
องค์ประกอบหลักเป็นชอคโกแลตของโปรดอยู่แล้ว
ชอบตรงที่ทำสดๆเดี๋ยวนั้น ชอคโกแลตยังเยิ้มๆอยู่เลยค่ะ ไม่ได้เป็นแบบโคทแข็งๆ
อร่อยล้ำทุกๆคำที่ตักเลยหล่ะค่ะ...
สุดท้ายจริงๆแล้วค่ะ อันนี้ก็ไม่นับเป็นหนึ่งในหกคอร์สนะคะ
… Mignardises ...ถึงจุดนี้ อิ่มก็อิ่มนะคะ แต่ก็ยังอยากชิมของอร่อยๆ อิอิ
จานนี้มาแบบจุ๋มจิ๋มห้าชิ้นห้าแบบ น่าทานทั้งน้าน
แน่นอนว่ามี Macaron สีจมพูหวานๆ
แล้วข้างๆก็คล้ายๆกันน่ะค่ะไม่รู้เรียกอะไรแต่มะพร้าวชัดมาก
แท่งๆเป็น Caramel stick
ต่อด้วยกลมๆ เป็น Chocolate ball ข้างในมีแอลกอฮอลล์ด้วยค่ะ (เดากัน ว่าเป็น marc de bourgogne)
และสีขาวสุดท้ายที่ก่อนชิมนึกว่าเป็นเมอแรงค์แต่จริงๆแล้วเป็น Lokum หนึบๆ
อร่อยๆแบบนี้ไม่มีเหลือซักอย่าง ภาพพิสูจน์หลักฐาน อิอิ
ท้ายสุดมีเซอร์ไพรซ์จากทางร้านด้วยค่ะ น่ารักจริงๆเลย
เป็นของขวัญพิเศษสำหรับแขกวันนี้ทุกๆคู่
ฝ่ายชายรับ แชมเปญสีหวาน Champagne Deutz Brut Rosé
เปิดดูขวดน่ารักสีจมปู สวยคลาสิก แบบนี้น่าขนเก็บกลับเมืองไทยซะจริงๆ
เลยทำทีขอยืมมาถ่ายรูป ป่านนี้อินดี้ยังไม่เอาไปคืนเลยค่ะ อิอิ
ส่วนอินดี้ได้เป็นน้ำหอมขวดน่ารัก ของแอร์เมส (Hermès Paris) ซะด้วย ไฮโซ จริงๆ
เป็นรุ่น Voyage d'Hermès ค่ะ ยังไม่ได้แกะออกมาลองกลิ่นเลย :P
สรุปนิดนึงว่าร้านนี้คุณภาพค่ะ แพงหน่อยแต่คุ้มค่าคุ้มราคา
เชฟตั้งใจสรรสร้างเมนูอาหาร วัตถุดิบคุณภาพเยี่ยม
แค่ดูจากของแถมก็ได้เงินคืนมาเกือบห้าสิบยูโรแล้วมั้งคะ อิอิ
คิดว่าคงจะกลับมาทานอีกนะคะร้านนี้ แต่เป็นมื้อ ตำ-มะ-ดา มากกว่า สบายกระเป๋านีสนึง
ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ
เจอกันบลอคหน้า
บายๆ