Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
7 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 
เหล็กไหล วัดป่าบ้านขุมดิน จ.ขอนแก่น





มีโอกาสไปชมบารมีเหล็กไหลพึงเคยเห็นว่ามีอยูในโลกนี้จริง จากที่เคยฟังแต่คำบอกเล่าและอ่านในหนังสือ

ทางไปวัดป่าบ้านขุมดิน หรือวัดโสรยาขุมดิน





วัดป่าบ้านขุมดิน อ.มัจจาคีรี จ.ขอนแก่น เป็นวัดเก่าแก่มีมานาน เดินทางจากขอนแก่นไปเส้นทางอ.ชุมแพ ผ่านสนามบินขอนแก่น จนถึงควานันวิทยาลัย เตรียมเลี้ยวซ้ายตรงทางแยกใหญ่เพื่อมุ่งตรงไปอ.มัญจาคีรี

วัดอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองอ.มัญจาคีรีมากนัก พอเข้าเขตเมืองมัญจาฯเจอทางเลี้ยวให้เลี้ยวขวาผ่านโรงพยาบาลอ.มัจจาคีรีและปั้มปตท.
เป็นวัดป่าเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น หลวงปู่เขี่ยม สายหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่มั่น
ที่เคร่งในการปฎิบัติสมาธิกรรมฐาน ท่านมาบรูณะและสร้างเจดีย์ยังไม่เสร็จมรณะภาพเสียก่อน เจ้าอาวาสปัจจุบันเลยสานต่อ

ลิ้งค์ภาพวัดไปครั้งล่าสุด ปี2559 วัดพัฒนาขึ้นมากจากคนไปร่วมทำบุญสร้างวัดและของเก่าที่ได้มามีเพิ่มอีกเยอะเลย

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=imaginer&month=08-2016&date=04&group=14&gblog=30



ทางเข้าวัดสังเกตโขงประตู และรูปปั้นพญานาคเป็นเนื้อดินคล้ายศิลาแลง
ประตูโขงทางเข้าวัดขุมดินที่ได้ทำบุญกำลังก่อสร้าง






พอเข้าวัดขับตรงไปจนเจอป้ายให้เลี้ยวขวา เลี้ยวขวาเส้นแรกเป็นทางไปเจดีย์

เจดีย์







ถ้าอยากไปที่ศาลาก่อนเจดีย์ต้องตรงไปค่อยเลี้ยวขวาถนนเส้นที่สอง
ถึงจะขับขึ้นไปศาลา
(ไม่งั้นอาจหาไม่เจอเพราะวัดเป็นป่ากว้างมากหลายร้อยไร่จะวนหลงเป็นเขาวงกตได้ ฮ่าๆ)

ได้มีโอกาสไปทำบุญกับวัดแต่ไปตอนค่ำเลยไม่ได้เก็บภาพบริเวณวัดมาให้ชม มีแต่รูปภายในโบสถ์มาบอกบุญเผื่อท่านผู้มาดูอยากร่วมทำบุญกับทางวัด

ชาวบ้านไปทำวัตรเย็น











ชมบารมีเต่าที่พึ่งได้มาให้วัดในวันนั้น





















ฮือฮา! พระวัดป่า นิมิตเห็นภาพ แต่นักข่าวไม่เชื่อ ท่านกลับทำสิ่งนี้อย่างน่าอัศจรรย์


พระลูกวัดในจ.ขอนแก่น แสดงปาฏิหาริย์ พาผู้สื่อข่าวบุกพิสูจน์ความจริงให้เห็นกับตาว่า สามารถนั่งทางใน หรือนั่งนิมิตหาพระ หรือวัตถุโบราณสมัยต่าง ๆ ที่ฝั่งอยู่ใต้ดินได้ ซึ่งมีอายุกว่า 100 ปีมาไว้ในวัดแล้วเป็นจำนวนมาก



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับทราบข่าวจากประชาชนใน อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ว่า ที่วัดป่าโสรโย หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดป่าบ้านขุมดิน ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น มีการนำพระสมัยต่าง ๆ ที่ขุดได้จากใต้ดินมาเก็บไว้ที่วัด เพื่อให้ประชาชนได้ดูได้ศึกษา และบูชากราบไหว้ เพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ไม่สามารถระบุได้ หรือบอกได้ว่าเป็นพระอะไร สร้างสมัยใด และทำด้วยวัตถุอะไร


จากการสอบถามชาวบ้านทราบว่าพระจำนวนเกือบ 1000 องค์ รวมทั้งสิ่งของเครื่องใช้ ภาชนะต่าง ๆ ที่เป็นของคนโบราณยุคกว่า 100 ปี ที่นำมาเก็บไว้ที่วัดแห่งนี้ ได้มาจากใต้ดินที่คนโบราณเก็บฝังไว้ เนื่องจากอำเภอมัญจาคีรี เป็นหัวเมืองเก่า มีเจ้าเมืองผู้ครองนครปกครองต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย เดิมชื่อว่าเมืองเปงจานนคร มาถึงปัจจุบันชื่อเลยเพี้ยนมาเป็น เมืองมัญจานคร หรือ มัญจาคีรี จึงมีวัตถุโบราณและพระสมัยต่าง ๆ ฝังอยู่ใต้ดินจำนวนมาก


จากการสอบถามพระอาจารย์ สุวิทย์ ชินนะวะโร หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า "ครูบาไก่"พระลูกวัดของวักป่าแห่งนี้ ซึ่งเป็นผู้นั่งนิมิต หรือนั่งทางในเพ่งจิตหาพระทั้งหมดนี้จนสารถขุดเจอตามแหล่งต่าง ๆ เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนได้เล่าเรียนวิชาดังกล่าวมาจากพระไพฑูรย์ โชติธรรมโม เจ้าอาวาสวัดป่าที่นี่ แต่ก่อนที่จะไปนั่งนิมิตที่ไหนนั้น จะมีชาวบ้านในแถบนี้มาแจ้งกับตนว่า พบแสงไฟพุ่งลงมาตกตามที่นาบ้าง บางคนไปทำนาไปนอนอยู่ที่นาก็มีอาการป่วยไม่สบายอยู่เรื่อย ตนก็ไปทำพิธีนั่งทางในหรือนั่งนิมิตดูว่าที่นาผืนนั้นมีอะไรฝังอยู่ใต้ดินหรือไม่ เจ้าที่เจ้าทางเขาอาจไม่พอใจ ซึ่งจากการนั่งสมาธิเพื่อนิมิตดูก็พบวัตถุต่าง ๆ เหล่านี้ จึงได้ให้ชาวบ้านขุดขึ้นมาเก็บรวมไว้ที่วัด เพื่อให้ประชาชนได้บูชากราบไหว้


และเพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริงกลัวผู้สื่อข่าวไม่เชื่อ ครูบาไก่ และชาวบ้านที่มากราบไหว้บูชาพระจึงได้พา ผู้สื่อข่าวเดินทางไปกลางทุ่งนาของนางคัมภีร์ โสดาศรี อายุ61 ปี อยู่บ้านเลขที่ 224 ม.4 บ.ขุมดิน ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี เนื่องจากที่นาบริเวณดังกล่าวมีชาวบ้านพบลำแสงพุ่งขึ้นลงอยู่เป็นประจำ แต่ไม่มีใครทราบว่าเป็นลำแสงของอะไร


เมื่อครูบาไก่ไปถึง ก็ทำการปูเสื่อลงแต่งเครื่องบูชาเจ้าที่ และสิ่งศักดิ์ที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วยขัน 5 ขัน 8 ประกอบด้วยดอกไม้ ธูป เทียน หมาก พลู แล้วนั่งหลับตาบริกรรม ท่ามกลางความสนใจของประชาชนที่ทราบข่าวมาเฝ้าดูกันเป็นจำนวนมาก คูบาไก่ใช้เวลาบริกรรมคาถานานประมาณ 20 นาที แล้วก็เอาสมุด ปากกามาวาดภาพรูปพระที่ตนเองนั่งนิมิตเห็นว่าเป็นรูปร่างอย่างไรให้ ผู้สื่อข่าวกับชาวบ้านดูก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปใกล้หนองน้ำที่อยู่ใกล้ๆ กับที่ทำพิธี แล้วใช้ไม่ไผ่ทิ่มสักลงไปในหนองน้ำ แล้วให้ลูกศิษย์ และชาวบ้านช่วยกันลงขุดดินในหนองน้ำลงไปอีก เพราะพระที่นั่งนิมิตเห็นอยู่ตรงนี้


ชาวบ้านช่วยกันขุดดินใต้น้ำบริเวณดังกล่าวนานเกือบ 1 ชม.ไม่มีทีท่าว่าจะเจอ ครูบาไก่ ท่านจึงตัดสินใจลงไปในหนองน้ำด้วยตนเองแล้วช่วยกันค้นหา ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีชาวบ้านอีกคนก็พบพระคล้ายพระนารายณ์ มี 8 แขนตามที่คูบาไก่ได้วาดภาพไว้ก่อนหน้านี้ ประชาชนที่มาเฝ้าดูต่างดีใจ จากนั้นก็นำพระองค์ดังกล่าวไปถวายให้พระอาจารย์ไพฑูรย์ โชติธรรมโม เจ้าอาวาสวัด เพื่อที่จะได้เก็บรักษาไว้ในวัดให้ประชาชนได้บูชากราบไหว้ต่อไป


อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวนี้เป็นเรื่องลี้ลับ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ก็ไม่ควรลบหลู่ ผู้สื่อข่าวจึงได้สัมภาษณ์ประชาชนที่มาดูการขุดหาพระในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าคูบาไก่สามารถนั่งนิมิตเห็นจริง โดยนายเทียนทอง บุญทัน พนักงานบริษัทโฮมโปรซึ่งเป็นชาว อ.มัญจาคีรี บอกว่าในความรู้สึกส่วนตัวเชื่อในปาฏิหาริย์ เพราะตนเคยไปขุดหาร่วมกับชาวบ้านมาหลายครั้งแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะได้พระที่ฝังอยู่ใต้ดินมาจริง ๆ

//sv4.siamupdate.com/news-178405














รายการบันทึกลึกลับ " พิฆเนศใต้ดิน " | 06/06/58


https://www.youtube.com/watch?v=l53hdkbMU34







ข่าว : ครูบาไก่ ขุดพบปรางค์พระลาว ชาวบ้านแห่กราบไหว้

https://www.youtube.com/watch?v=ySjtiE3KiFs




facebook ครูบาไก่

https://www.facebook.com/suwit.chinnawaro.1?fref=ts




ค้นเนื้อหาข้อมูลเรื่องเหล็กไหลจากgoogleได้มาประมาณดังนี้



นอกจากความเชื่อที่ว่าแร่เหล็กไหลนี้มาจากธาตุลี้ลับที่อยู่ ใต้พื้นพิภพแล้ว ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อที่เกี่ยวกับกำเนิด เหล็กไหล บนโลกนั้นคือความเชื่อที่ว่าเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์เป็นธาตุชนิดพิเศษที่มาจากมิติอื่นเชื่อกันว่ามหาฤาษีใน ยุคก่อนๆ ได้เข้าฌานเพื่อทำการ ขอธาตุกายสิทธิ์โว้สำหรับปกป้องโลกให้พ้นจากภัยพิบัติ เมื่อพระเจ้าผู้สร้างโลก คือ พระศิวะ พระพรหมธาดา และพระนารายณ์ได้รับรู้ถึง แรงอธิษฐานจากกำลังฌานของพระฤาษี พระองค์จึงทรง ประทานธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งมาให้ในลักษณะของก้อนอุกกาบาต แต่การมาของก้อนอุกกาบาตในครั้งนี้มิได้พุ่งเข้า ชนโลกเหมือนอุกกาบาตโดยทั่วไป หากแต่เป็นการเดินทางโดยผ่านประตูแห่งมิติเวลาเข้ามายังโลก

การสร้างเหล็กไหล เมื่อครั้งแรกที่ธาตุนี้มาถึงโลกมันยังคงเป็นของเหลวที่มี ลักษณะสีดำข้นสามารถลื่นไหลไปตามที่ต่างๆได้ ต่อมาธาตุ เหล่านี้ได้แยกย้ายตัวเองไปตามล่วนต่างๆของโลก ทั้งใต้ดิน ในถ้ำ และ ในน้ำที่ห่างไกลจากผู้คน เพื่อรอคอยเวลา จนกว่าจะมีผู้ที่มีพลังจิต มาค้นพบและนำเอาไปใช้ประโยชน์ในการช่วยโลกให้พ้นจากภัยพิบัติ ต่างๆเหล็กไหลในยุค แรกนั้นได้เคลื่อนตัวไปตามสถานที่ต่างๆ และ ได้สร้างรังสร้างอาณาจักรของตนเองจนเกิดเป็นสายแร่และเป็นแร่ เหล็กไหลตระกูลต่างๆ ขึ้นบนโลก ในที่สุดก็ได้กลายเป็นตำนานของ ธาตุกายสิทธิชนิดต่างๆ

นอกจากนี้ยังมีบางตำราได้กล่าวถึงต้นกำเนิดของเหล็กไหล ไว้ว่าเกิดขึ้นจากการเล่นแร่แปรธาตุของมหาฤาษีในยุค ก่อนๆ ซึ่งพอ จะสรุปได้ว่าเหล็กไหลนั้นน่าจะมีในธรรมชาติมาแต่เดิม โดยเหล็กไหลอาจเป็นวัตถุธาตุชนิดพิเศษที่เดิน ทางมาจากนอกโลก หรือเดินทาง มาจากต่างมิติภพภูมิแล้วได้หลบซ่อนตัวอยู่ตามธรรมชาติ จวบจน เมื่อธาตุชนิดนี้ได้ ถูกค้นพบและศึกษาค้นคว้าโดยมนุษย์ผู้มีภูมิปัญญา ต่อมาเหล่าพระมหาฤาษีที่ทรงฌานอันแก่กล้าจึงได้คิดสูตรรวม ธาตุ เพื่อสร้างธาตุใหม่ที่มีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลตามธรรมชาติขึ้น

เซึ่อได้ว่าพระฤาษีในยุคโบราณท่านคงสำเร็จวิชาการรวมธาตุและ การเล่นแแต่นอกจากความเชื่อที่ว่าแร่เหล็กไหลนี้มาจากธาตุลี้ลับที่อยู่ ใต้พื้นพิภพแล้ว ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อที่เกี่ยวกับกำเนิด เหล็กไหล บนโลกนั้นคือความเชื่อที่ว่าเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์เป็นธาตุชนิดพิเศษที่มาจากมิติอื่นเชื่อกันว่ามหาฤาษีใน ยุคก่อนๆ ได้เข้าฌานเพื่อทำการ ขอธาตุกายสิทธิ์โว้สำหรับปกป้องโลกให้พ้นจากภัยพิบัติ เมื่อพระเจ้าผู้สร้างโลก คือ พระศิวะ พระพรหมธาดา และพระนารายณ์ได้รับรู้ถึง แรงอธิษฐานจากกำลังฌานของพระฤาษี พระองค์จึงทรง ประทานธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งมาให้ในลักษณะของก้อนอุกกาบาต แต่การมาของก้อนอุกกาบาตในครั้งนี้มิได้พุ่งเข้า ชนโลกเหมือนอุกกาบาตโดยทั่วไป หากแต่เป็นการเดินทางโดยผ่านประตูแห่งมิติเวลาเข้ามายังโลก





พอจะแบ่งแยกได้เป็ นสองประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกัน

1.ธรรมธาตุ กำเนิดของเหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากจิตของเทพพรหมใน อดีตอันไกลโพ้น ซึ่งเป็น ?อรูปพรหม? ที่ปรารถนาจะมาช่วยรักษา พระพุทธศาสนา จึงได้ลงมาบำเพ็ญฌาณในมนุษย์โลก ได้เข้ามาสัมผัส เข้ากับกลิ่นอันโอชะของง้วนดิน ที่เป็นธาตุ บริสุทธิ์มาแต่เดิม แล้วเกิด ติดใจในความโอชาของง้วนดินเข้า เมื่อเสพแล้วก็เลยหาที่พักพิงอาศัย อยู่ ตามเงื้อมเขา ตามถ้ำอันสงบ เป็นอยู่อย่างนั้ นตามสภาพของจิต ล้านปี บ้าง แสนปีบ้าง หมื่นปีบ้าง ร้อยปีบ้าง หนึ่งปีบ้าง

เมื่ออัธยาศรัยของจิตเริ่มเกาะรูปธรรม จึงได้เนรมิตรธาตุบริสุทธิ อัน ประกอบด้วย ธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยการเนรมิตรเอาด้วย กำลังแห่งฤทธิ์ขึ้นมาประกอบเป็นเรือนกาย ฝังตัวอยู่ในก้อนธาตุเหล่านั้น อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นเพศผู้ก็มี เพศเมียก็มี อยู่โดดเดี่ยวก็มี เป็ นคู่ก็ มี เป็นกลุ่มก็มี มีรังอาศัยอยู่ก็มี ที่ไม่มีรังอาศัยอยู่ก็มี โดยปกติแล้วปีหนึ่ง ๆ ประมาณเดือน 5 ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จะออกหาเสพง้วนดิน

แต่ในสมัยปัจจุบันโลกมนุษย์ของเรา ผิวพื้นโลกไม่มีความสะอาดเพียง พอ จึงไม่มีง้วนดินอยู่ ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จึงต้องอาศัย เสพน้ำผึ้งแทน เฉพาะในเวลากลางคืนโดยอาศัยป่าเขาต่าง ๆ ซึ่งบางคนอาจจะเคย พบเห็น

ลักษณะการเคลื่อนที่ของธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ จะปรากฏเป็นดวงกลม ใหญ่ เล็ก ลอยออกจากหน้าผาหรือถ้ำ ออกไปจับรังผึ้งตามต้นไม้ บาง ดวงก็ลอยหายไปในโพรงไม้เพื่อกินน้ำผึ้งโพรง บางดวงก็ลอยหายไปใต้ พื้นดินเพื่อกินน้ำหวานของแมงขี้สูตร

ถ้าผู้พบเห็นมีความสามารถพิเศษ ก็สามารถเชิญเขามาสนทนาได้เช่นกัน แต่ถ้าต้องการที่จะครอบครองของสิ่งนี้ ต้องมีวาสนาบารมีสั่งสมร่วมกัน มาตั้งแต่อดีต หรือมิเช่นนั้ นก็ต้องเป็ นผู้มีศีลธรรม จิตใจเป็ นบุญเป็ นกุศล ถึงพร้อมพรหมวิหารธรรม เจตนาเป็นกุศลจิต ก็อาจทำพิธีอัญเชิญท่าน ให้ปรากฏตนออกมาเพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ทรงคุณธรรมทั้งฝ่าย ฆราวาสและบรรพชิตที่ประสงค์จะช่วยกัน สืบพระศาสนาขององค์พระ ศรีศากยมุณี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาแต่อดีตชาติ แล้ว ได้จุติลงมาเป็นมนุษย์

เทพพรหมเหล่านี้มุ่งการบำเพ็ญบารมีทำความเพียรจนเข้าถึงอริยสัจจ ธรรม เพื่อที่จะได้น้อมนำชีวิตอุทิศตนเอง ถวายเป็ นพุทธบูชาเสริมสร้าง บารมีของตน จนเข้าสู่มรรคผลนิพพาน ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า และจรรโลงกอบกู้อุปถัมภ์ค้ำชู พระพุทธศาสนาที่เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิ ที่ ปฏิบัติถูกต้องตามความเป็นจริงแห่งธรรม

ดังนั้นฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลชนิดนี้จะสูงกว่าธาตุกายสิทธิ์ทุกประเภท สามารถทำปฏิกิริยาต่อเชื้อปะทุทุกชนิดและศาสตราวุธต่าง ๆ ให้หมด อานุภาพได้ เมื่อเทพนั้ นมีความประสงค์จะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดู หรือเพื่อ คุ้มครองรักษาเจ้าของเหล็กไหลนั้น คือจะแสดงฤทธิ์ก็ต่อเมื่อมีเหตุ จำเป็นเท่านั้น

นอกจากนี้ยังล่องหนหายตัวได้เมื่อต้องการ โดยการสลายรูปธาตุทั้งสี่ให้ เป็นอรูปธาตุ (วิญญาณธาตุ) แล้วประกอบขึ้นใหม่ได้ และเมื่อยังไม่ ประกอบรูปธาตุก็จะยังไม่กินน้ำผึ้ง ต่อเมื่อประกอบธาตุแล้วจึงจะกินน้ำ ผึ้ง และต้องเป็นน้ำผึ้งที่บริสุทธิ์อีกด้วย

ลักษณะพรรณสัณฐานของเหล็กไหลประเภทนี้มีหลายรูปแบบ เช่น รูป ไข่ กลมรี ครึ่งซีก ทรงกลม หนำเลี๊ยบ รักบี้เป็นต้น เพราะมองดูเผินจะ มองไม่ออกเลยว่าเป็นเหล็กไหล เพราะเหมือนก้อนหิน ก้อนกรวดธรรมดา ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล ที่เป็นธรรมธาตุนี้ แต่ละองค์จะมีนามของตนเอง โดยเฉพาะ จะต้องสอบถามนามของท่านเอาเอง

ยุคสมัยปัจจุบันมีผู้ตั้งค่านิยมของ ธาตุกายสิทธิ์ไว้สูงมาก จนเกิดการ ทุ่มเทติดตามหาวัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้อย่างจริงจัง จนหลายคนหมดเงิน หมดทองไปเป็นจำนวนมาก แต่มีน้อยรายที่จะพบกับความสำเร็จ เพราะ ขาดความรู้ความเข้าใจ ความเป็นมาของธาตุวิเศษเหล่านี้ รวมทั้งขาดบุญ วาสนาอีกด้วย พึงตระหนักอยู่เสมอว่า สิ่งใดมีคุณอนันต์ ก็ย่อมเกิดโทษ อันมหันต์ได้เช่นกัน

2.ธาตุสำเร็จ เหล็กไหลชนิดนี้เป็น รูปธาตุ มีแต่เพียงจิตครอง ไม่มี วิญญาณครอง เกิดจากฤทธิ์อำนาจของเทพระดับต่ำลงมาในระดับ รูปพรหมโดยเมื่อครั้งในอดีตได้เคยบำเพ็ญตบะเป็นฤาษีชีไพรจนสำเร็จ รูปฌาณ แต่ด้วยบุพกรรมและความปรารถนาบางอย่าง จึงได้ลงมาสู่โลก มนุษย์ในลักษณะเป็ นก้อนธาตุสำเร็จ รูปทรงต่าง ๆ กัน ที่เป็นเหมือน โลหะธาตุก็มี เหมือนแก้วใสก็มี สถานที่ อยู่ของเหล็กไหลประเภทนี้ มัก จะอยู่ภายในถ้ำที่มีความสะอาด เย็น หรือชื้นแฉะ ธาตุเหล็กไหลประเภท นี้ไม่สามารถล่องลอยไปหาน้ำผึ้งกินเองได้ จะต้องอาศัยวัตถุธาตุที่เป็น สื่อเป็นสะพานนำไป โดยการไหลไปตามพื้นดิน ผนังถ้ำ หรือ หน้าผา

หากสถานที่นั้นไม่มีผึ้งทำรังอยู่ นานวันเข้าเหล็กไหลก็จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนที่ อยู่ใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็จะมีการขับถ่ายของเสียออกมา ซึ่งเรียกกันว่า ?ขี้เหล็กไหล? เมื่อถ่ายมูลเสร็จจะกลับเข้ารังต่อไป

สำหรับเหล็กไหลประเภทนี้มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับธาตุกายสิทธิ์ ประเภทแรก เพราะเป็นการประกอบธาตุให้ถูกส่วนของผู้มีวิชาแก่กล้า ทางโลกียฌาณ คือ ฤาษี ชีไพร คนธรรพ์ วิทยาธร เป็นต้น แต่ไม่สามารถ คุ้มครองตัวเองได้ เพราะถ้าเจอะผู้มีวิชาอาคมที่ แก่กล้า จะถูกทำลาย หรือแย่งชิงได้ง่าย เนื่องจากมีเพียงวิญญาณธาตุ คือ พลังงานอย่างเดียว

ดังนั้นผู้มีเหล็กไหลประเภทนี้ อยู่ มักจะไม่เปิดเผย เพราะเกรงผู้มีวิชา เรียกเอาได้ ลักษณะของเหล็กไหลประเภทนี้มักจะพบเห็นบ่อยครั้ง มีชื่อ เรียกหาแตกต่างกันไปตามความคิดความเข้าใจและคุณสมบัติที่พบเห็น บางครั้งต้องทำพิธีพลีกรรมตัดเอา แต่ สำหรับผู้ทรงฌาณระดับสูงแล้ว เพียงแต่ทำการอัญเชิญท่าน ก็จะเสด็จมาอยู่ด้วยโดยไม่ ต้องมีพิธีกรรม ที่ยุ่งยากแต่อย่างใด






นิยมสืบทอดกันมาในทางพระพุทธ ศาสนา ที่ผู้สำเร็จฌาณอภิญญาชั้นสูง นิยมถอดจิตตนเองด้วยวิธี มโนมยิทธิ เข้าสิงในรูปปั้ นพระพุทธปฏิมากร แล้วอธิษฐานให้พระพุทธ รูปนั้นลอยไปตามน้ำ เห็นสถานที่ใดเหมาะสมที่จะให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา ชาวบ้านก็จะทำพิธีบวงสรวงชักลากขึ้นไปสักการบูชา ได้สำเร็จ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อทอง เป็นต้น

เหล็กไหลนี้จึงเปรียบได้กับร่างกายของท่านมหาฤาษีทั้งหลาย ที่มีวิญญาณอันเป็นอมตะของท่านมหาฤาษีครองอยู่ จึงได้เกิด อภินิหารเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง จนบางครั้งมีผู้เรียกขานกันว่า “ธาตุกายสิทธิ์”
เหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์ คำว่า”ธาตุกายสิทธิ์” นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงาน

ลูกแก้วใสข้างในมีองค์พระหลวงพ่อโสธร






เหล็กไหลแท้ๆจะมีเนื้อธาตุที่มีลักษณะคล้ายกับเนื้อหินอุลกมณีหรือสะเก็ดดาวถ้าเป็นเหล็ก ไหลชั้นยอดเนื้อจะมีความใส คล้ายแก้ว แต่มีความเข้มข้นสูงมากจนแสงไม่อาจส่องผ่านทะลุได้ บางท่านจึงมักเรียกเหล็กไหลว่า "หินไหล" แต่กระนั้นเหล็กไหล ก็มีหลายชนิดหลายระดับ บ้าง ก็มีเนื้อคล้ายโลหะธาตุบ้างก็มีลักษณะ เป็นแร่เหล็กอย่างหนึ่ง บางชนิดก็มีกระแสแม่เหล็ก ไฟฟ้าอยู่ภายในตัว ซึ่งคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของคำว่า "เหล็กไหล" ทั้งสิ้น และ นอกจากนี้ด้วยความแข็งของเนื้อธาตุที่แข็งเปรียบได้กับเหล็ก แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถ กลับเนื้อตัวให้อ่อนนุ่มลื่นไหลได้ ราวกับของเหลวจึงเรียกธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ว่า"เหล็กไหล"

แต่เหล็กไหลบางประเภทที่อาจจะมีผิวพรรณวรรณะไปทาง ธาตุกายสิทธิ์คล้ายแก้วหรือหินย่อมจะสร้างรังหรืออาณาจักรที่ แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นเทพผู้รักษาในระดับชั้นพรหมที่ละเว้นจากเรื่องกาม เช่น มหาฤาษีผู้เพ่งฌาณสร้างธาตุกายสิทธิ์ หรือ กลั่นกรองธาตุเหล่านั้นจนใสเป็นแก้วแตกต่างกันไปตามบารมีชอบจะอาศัยอยู่ในโพรงหินที่เป็นแก้วสีที่แตกต่างกันออกไป หากดูภายนอกจะไม่ทราบเลยว่า ภายในก้อนหินเหล่านั้นจะมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลซ่อนอยู่ภายใน






มหาฤาษีผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา จึงใช้พลังจิตด้วยฤทธิ์อภิญญาของท่านดึงเอาแร่เหล็กดังกล่าว ขึ้นมาจากใต้ลาวา อธิษฐานจิตให้เป็นของศักดิ์สิทธิ์สุดวิเศษ มีอำนาจกายสิทธิ์มีฤทธิ์ คุ้มครองปกป้องสรรพภัยได้อย่างอัศจรรย์ ดัวยพลังอำนาจจิตชั้นสูงปลุกเสกบรรจุไว้ด้วย อำนาจแห่งฤทธิ์ของมหาฤาษี นั้น จากนั้นได้ใช้อำนาจอิทธิฤทธิ์ตัดเหล็กวิเศษออกทำเป็นรูป เคารพของตน เช่น รูปพระอิศวร รูปพระนารายณ์ รูปพระพรหม แล้วอัดพลังเจโตสมาธิหรือ พลังฌาณเข้าไปพร้อมกับอธิษฐานให้เกิดความศักดิ์ สิทธิ

แต่ก็มีมหาฤาษีบางตนมีศรัทธาแก่กล้า เข้าฌาณเต็มอัตราแล้วถอดจิตหรืออาตมันของตนเองด้วยมโนมัยฤทธิ์ เข้าไปอยู่ในเทวรูปเหล็กวิเศษนั้นเลย ทีเดียว



อีกความเห็นหนึ่งที่ได้มาคือ พระธาตุพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเหล็กไหลสีขาว ธาตุกายสิทธิ์พลังเย็น

พระธาตุพระปัจเจกพระพุทธเจ้าจัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งที่ ธรรมชาติสร้างขึ้นมาและหายาก พระลามะทิเบตชอบมีไว้ประจำตัว เพราะจะ พบได้เฉพาะในถ้ำในภูเขาประเทศทิเบต และลึกเข้าไปในแคว้นเชียงตุงของ พม่า และทางเหนือของประเทศลาว

ส่วนในประเทศไทยจะพบในถ้ำลึกกลางป่าเขาทางภาคเหนือ พระธาตุพระ ปัจเจกพระพุทธเจ้าชอบอากาศหนาวจัด จึงมีพลังเย็นมีอานุภาพทาง แคล้วคลาดล่องหนหายตัวได้ชั่วคราวถูกไฟไม่ยืด แต่ถ้าใช้คาถาอาคมยืดได้ มีมายาในตัว งอกขึ้นได้เล็กลงได้ ถ้าจะนำไปสร้างพระเครื่องจะต้องใช้วิชา เล่นแร่แปรธาตุบังคับ หากพลังจิตไม่แก่กล้าพอก็ทำไม่ได้

พระธาตุพระปัจเจกพระพุทธเจ้าสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าผู้ครอบครองจะหมด สิ้นอายุขัยมีเคราะห์ร้ายถึงตายเมื่อใด ไข่มุกกวมอิมจะถือโอกาสล่องหน อันตรธานหายไป ผู้ครอบครองคนใดเมื่อรู้ว่าไข่มุกกวมอิมของตนหายก็อย่า ได้ตกใจจนขวัญเสียมีสติปลงให้ตกทำบุญสุนทานแผ่เมตตา ทำสมาธิให้จิต สงบไม่ฟุ้งซ่านเมื่อจะต้องตายไปจริงๆ จิตจะได้สู่สุคติในสัมปรายภพ

คนไทยมักจะเรียกว่า พระธาตุพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไข่มุกกวมอิม เหล็ก ไหลสีขาว เหล็กไหลชีปะขาว เหล็กไหลน้ำหนึ่งไข่มุกถ้ำ ไข่หินตันแล้วแต่คน จะเรียกกัน!

เกจิอาจารย์บางท่านเรียกว่า “พญางูเผือก”มีสีขาวเป็นมันเลื่อมคล้ายเกล็ดงู และมีความเชื่อที่ว่าเป็นลูกหินศักดิ์สิทธิ์สามารถนำมาใช้ฝึกสมาธิได้ มีไว้กับ ตัวกับบ้านถือว่าเป้นศิริมงคลยิ่งนัก

ในทางธรณีวิทยานั้นจัดได้ว่าเป็นธาตุที่มีความแข็งของโมล์เท่ากับ10โมล์ เทียบเท่ากับเพชรหรือมากกว่าเพชร ทุบไม่แตก ตัดไม่ขาดและมีพลังเทียบ เท่ากับธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลและพระบรมสารีริกธาตุเลยทีเดียวอีกทั้งยังมี ลักษณะ สีสรร และรูปร่างเหมือนกับ"พระธาตุสมเด็จองค์ปฐม"

ถ้าองค์ขนาดเท่าลูกปิงปองจะหนักและมีพลังเกินตัวมากด้วยความแข็งที่ เท่ากับเพชรดังนั้นจึงมีพลังมากขนาดทำลายก้อนหินขนาดที่ใหญ่กว่าได้

พึ่งเคยเห็นงาช้างม้วนเป็นวงกลม






การค้นหาเหล็กไหลไม่ใช่ของง่าย เนื่องจากไม่มีเครื่องมือจะตรวจค้นโดยวิธี ทางวิทยาศาสตร์ได้ แถมบางที ยังไม่เคยเห็นหน้าตาของเหล็กไหลมาก่อนว่าเป็นอย่างไร ดังนั้นครูบุรพาจารย์รุ่นก่อน ๆ จึงได้แนะนำแนวทางใน การ ติดตามค้นหา เหล็กไหล ตามสถานที่ต่าง ๆ ดังนั้นในที่นี้ จึงขอกล่าวสรุปพอเป็นสังเขป เพื่อเป็นแนวทางให้ท่าน พิจารณาดังนี้

1 ตามตำรา บูรพาจารย์ผู้รู้ในอดีต ได้บอกกันต่อ ๆ มาว่า ถ้าจะหาเหล็กไหลแล้วให้สังเกตุถ้ำที่จะ เข้าไปหานั้นว่ามีลักษณะเช่นนี้หรือไม่ ?
1 ถ้ำนั้นต้องสะอาด ไม่มีมูลค้างคาวหรือมูลสัตว์ป่าใด ๆ
2 ถ้ำนั้นต้องมีอากาศเย็นชุ่มชื้น
3 ถ้ำนั้นต้องสงบเงียบวังเวง มีความรู้สึกน่าเกรงขาม

2 คำบอกเล่า อาจจะได้ยินได้ฟังจากพรานป่าที่มีประสพการณ์แปลก ๆ หรือจากพระธุดงค์ที่พบเห็น

3การเข้าทรง จากการประทับทรงขององค์เทพเทวาที่บอกผ่านมา

4 เกิดจากนิมิต จากการนั่งกรรมฐานจนจิตรสงบ แล้วเกิดภาพนิมิตรสถานที่ หรือมีผู้พาไปชม

5 จิตสงบ จากสภาวะจิตที่สงบ จนเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้นมาเอง







ดังนั้น สีสันของเหล็กไหลอาจแปรเปลี่ยนได้ตามกาลเวลา เพราะเหล็กไหลเมื่อได้กระจัดกระจายไปอยู่ในส่วน ต่าง ๆ ของโลก ซึ่งมักจะเป็นสถานที่สงบ อากาศเย็นชุ่มชื้น ทั้งใต้พื้นน้ำ ตามถ้ำ ป่าเขา ลำเนาไพร เพื่อ แสวงหาอริยะสัจจธรรมมานานนับโกฏฐ์ปีก็มีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติย่อมมีผลกระทบต่ออาณาจักร ของเหล็กไหล จึงจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัย เสาะแสวงหาสถานที่หรือสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นสี สันของเหล็กไหลอาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุดังกล่าว คือ

# สีสันขึ้นอยู่กับสภาพสิ่งแวดล้อม ภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ เช่น แร่ธาตในบริเวณนั้น อากาศหนาวจัด อากาศ ร้อนจัด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสีสันที่แตกต่างกันออกไป เพื่อการอำพรางตัว ปรับตัวตาม อุณหภูมิ

# สีสันเปลี่ยนแปลงไปตามจริตของเทพเทวาในระดับต่าง ๆ อาจจะเนื่องด้วยอำนาจลี้ลับของวิญญาณแห่ง ธรรมชาติบันดาลให้เป็นไปในสีต่าง ๆ หรือ ผู้ที่ครอบครองเหล็กไหล หมั่นฝึกฝนปฏิบัติเจริญสมาธิภาวนาอยู่ เนืองนิตย์แล้วแผ่เมตตาบุญบารมีของการปฏิบัตินั้นให้กับเหล็กไหล จะทำให้บารมีของธาตุกายสิทธิ์นั้นเพิ่ม มากขึ้นตามลำดับ สีสันต่างๆก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน

# สีสันเกิดจากส่วนผสมของสีหลัก ๆ ผสมกัน ซึ่งเป็นความลึกลับอย่างหนึ่งของธรรมชาติเหล็กไหล

สีสันและคุณประโยชน์

ดังได้กล่าวมาแล้วว่าสีสันของเหล็กไหลนั้นจะบ่งบอกถึงบุญบารมีของกายทิพย์เดิมหรือผู้รักษาเหล็กไหล บุญ ฤทธิ์ของเทพพรหม ฤาษี หรือ คนธรรพ์ บังบด ครุฑ นาค ยักษ์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหล ผู้ เป็นสัมมา ปฏิบัติจนมีฤทธิ์อำนาจจากการปฏิบัตินั้น ย่อมสามารถเปล่งสีแสงต่างๆ เข้าไปในวัตถุธาตุที่ตนต้องการ ทั้งนี้ ย่อมเป็นไปตามลำดับชั้นของภูมิจิตภูมิธรรมที่ได้ฝึกฝนมา

1.สีเงินยวงเหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหมในระดับ อรูปฌาณ รักษาอยู่เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรม ในชั้นสูง พบมากในแถบที่มีอากาศเย็นจัด พวกลามะทิเบตมักใช้พกติดตัว จึงพบมากในเขตเทือกเขาสูงที่มี หิมะปกคลุม เช่นประเทศทิเบต จีน แถบภาคเหนือของไทย ลาว

ดีเด่นทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตใจฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศล

เหล็กไหลชนิดนี้จัดได้ว่าเป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุดในบรรดาผู้ครอบครองเหล็กไหลทุกชนิด สมัย โบราณมักจะนำไปจัดสร้างพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ดังนั้นเหล็กไหลชนิดนี้จึงมักจะ อยู่ในความครอบครองของนักบวชต่าง ๆ เช่น ฤาษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ผู้ท่องเที่ยวหาความวิเวกตามป่าเขา

2.สีเขียวปีกแมลงทับ เหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ เป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อมอบให้ กับผู้ที่มีบุญบารมี และผู้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในบุญกุศล เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นนั้น ส่วนใหญ่จะมี บริวารเป็นจำนวนมากคอยอารักขาหลายชั้น

ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประพฤติธรรม ที่บังเอิญผ่านเข้าไปพบเข้าโดยบังเอิญ หรือเกิดจากการลองใจของ เทพผู้รักษาเหล็กไหลก็แล้วแต่ บุคคลธรรมดาทั่วไปอย่าหมายว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของได้โดยง่าย

ดีเด่นในทุก ๆ ทาง ไม่ว่าเป็นเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ล่องหนหายตัว มหาอุด คงกระพัน ยืดได้หดได้ เล่นกับไฟ กินน้ำผึ้ง

3.สีทอง หรือ สีน้ำตาลอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้จะมีเทวดาจำพวกคนธรรพ์และเหล่าเพชรพญาธร เป็นผู้ดูแล รักษา มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับเหล่าพญานาค แต่มีฤทธือำนาจพิเศษกว่าคือสามารถที่จะลื่นไหลไปมาได้ สามารถที่จะกำบังกายได้ มีอยู่ตามป่าเขาทั่วไป

ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความรักเด่นเป็นพิเศษ

4.สีเขียวอมดำ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยะเทพ อริยะพรหม ในระดับ รูปพรหม เป็นอริยะธรรมในระดับสูงที่มุ่ง บำเพ็ญบารมีรักษาพระพุทธศาสนา จะอยู่เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุหรืออรหันต์ธาตุที่สำคัญไว้จึงมักจะ ปรากฏเป็นลูกไฟดวงใหญ่เป็นสีแสงคุ้มครองรักษาธาตุศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้ผู้คนเข้าไปรบกวน

เด่นทางด้านอิทธิ์ฤทธิ์เนรมิตภาพมายา ส่งเสริมผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมในรูปแบบการชี้แนะผ่านทางนิมิตร สมาธิหรือความฝัน จัดเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง

5.สีชมพู เหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ รักษาอยู่ เป็ไหลที่มีบารมีธรรมในระดับสูง รองลงมาจาก อรูปฌาณ พบมากในเขตป่าเขาที่มีความชุ่มชื้น มักอยู่ตามถ้ำภูผาที่ลึกลับ พบเห็นได้ยาก นอกจากผู้มีบารมีธรรมเข้าถึงสัจจธรรมเท่านั้น

ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย ช่วยเหลือผู้เป็นสัมมาทิฏฐิให้สำเร็จในสิ่งที่ อธิษฐานไว้ โดยไม่ขัดกับกฏแห่งกรรม

6.สีเหลือง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของภูมิจิตภูมิธรรม ของเหล่าอริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูป ฌาณที่ปรารถนาพุทธภูมิในระดับ พระปัจเจกพุทธเจ้า สีสันเหมือนกับแสงนวลของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มักแฝงเร้นในที่สงบด้วยป่าเขา ลำเนาไพร ถ้ำคูหาที่สงบเยือกเย็นบนภูเขาสูงๆ เรียกลมเรียกฝนได้ มีอิทธิ์ ฤทธิ์ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้มากมาย เช่น ดวงรัศมีกลมใหญ่ส่องสว่างทั่วภูเขา จะพบเห็นได้ในสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

เหล็กไหลประเภทนี้สามารถอธิษฐานขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ได้ แต่จะไม่มีเทพเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ แต่เทพพรหมในระดับจ่าง ๆ จะเข้าไปอธิษฐานของบารมีและเฝ้ารักษา อยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่มีใครจะบังคับหรืออัญเชิญท่านด้วยอิทธิ์ฤทธิ์หรือวิชาคาถาอาคมใด ๆ เว้นแต่ขอชม บารมี ขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยมาปรากฏในลักษณะนิมิตรต่าง ๆ ในขณะนั่งสมาธิ

7.สีฟ้าอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ ในระดับมหาเทพชั้นสูง ผู้ครอบครองเหล็ก ไหลชนิดนี้จะเป็นผู้มีบารมีเดิมที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน เพื่อช่วยส่งเสริมด้านบารมีธรรมทั้งนักบวชและ ฆราวาสให้เป็นผู้สอนธรรมในระดับปานกลาง จนถึงระดับสูงขึ้นไป

มีฤทธิ์อำนาจในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ดับพิษร้อน ป้องกันภูติผีปีศาจ แต่มีขอบเขตและรัศมีที่จำกัด สามารถล่องหนหายตัวได้ กันฟ้าผ่า มีความเย็นจนสามารถกำจัดไฟได้ในรัศมีของมัน

8.สีน้ำตาลอมแดง เหล็กไหลชนิดนี้มีพวก นาค นาคา ผู้บำเพ็ญศีลเฝ้ารักษาอยู่ จึงมีฤทธิ์อำนาจในทางความ ร้อนแรงด้วยพิษแห่งนาคทั้งหลาย จึงทำให้เหล็กไหลประเภทนี้มีสีออกทางน้ำตาลเข้มและน้ำตาลอมแดง

มีฤทธิ์อำนาจในทำลายล้างพวกมนต์ดำ อวิชชา ป้องกันภูติผีปีศาจได้

9.สีดำเหมือนนิล เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ เหล่าเทพ คนธรรพ์ บังบด เพชรพญาธร ยักษ์ ผู้ ปรารถนาจะสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ยังติดอยู่ในระดับโลกียฌาณ คือยังมีความ โลภ โกรธ หลงติดอยู่ จึงทำให้มีบารมีทางธรรมน้อยกว่าเหล็กไหลชนิดอื่น ๆ

มีฤทธิ์อำนาจทางการคุ้มครอง แคล้วคลาดกันภัย เป็นมหาอุด คงกระพัน

10.เจ็ดสีประกายรุ้ง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ อริยะพรหมผู้รักษาเหล็กไหล ที่ ปฏิบัติจนสภาวะจิตเป็นสีประกายรุ้งรัศมีสวยสดงดงาม เป็นธาตุที่หาได้ยากที่สุดและมีอำนาจครอบจักรวาล ประหนึ่งแก้วสารพัดนึก แต่สิ่งที่จะอธิษฐานนั้นจะสำเร็จได้โดยไม่เกินอำนาจของกฏแห่งกรรมตามวาสนาเท่านั้น

เหล็กไหลเปียกเป็นเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งที่หายากและไม่ค่อยพบเห็น เหล็กไหลเปียกจะมีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลเงินยวงหรือเหล็กไหล ชีปะขาว คือมีผิวพรรณวรรณะเป็นสีเงินยวง แต่สามารถกลับกลอกสี ผิวตัวเองได้จากขาวเป็นดำและจากดำเป็นขาว คล้ายโลหะจำพวกเงินที่ เมื่อโดนอากาศแล้วจะทำให้สีผิวเปลี่ยน แต่เหล็กไหล เปียกยิ่งอัศจรรย์ กว่านั้นเพราะโลหะจำพวกเงินเมื่อเปลี่ยนสีผิวจาก ขาวเงินยวงเป็นสี ออกดำแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเดิม ได้เอง ต่างกับเหล็ก ไหลเปียกที่สามารถเปลี่ยนสีผิวตนเองให้กลับไป กลับมาได้ เหล็กไหล เปียกหรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า เหล็กเปียก นี้มีอิทธิฤทธิ์เป็นที่น่า อัศจรรย์คือสามารถเรียกหยดน้ำในอากาศมารวมตัวกันได้ ไม่ว่าเหล็ก เปียกจะอยู่ที่ไหนก็จะมีความชุ่มชื้นที่นั่นดุจเดียว กับเหล็กไหลน้ำ เหล็กเปียกมักพบเป็นก้อน มีสัณฐานดั่งก้อนแร่ใต้ดิน

เท่าที่บันทึกไว้ ครูบาโพนสะเม็กซึ่งเป็นพระอริยเจ้าทางฝังลาวเป็น ผู้ที่ ค้นพบเหล็กไหลเปียกจากการนั่งทางในแล้วนิมิตเห็นแร่กายสิทธิ์ระ เภทนี้ท่านจึงได้นำเอาแร่ชนิดนี้มาหลอมแล้วนำมาเคี่ยวด้วยวิชา อาคม และได้นำเหล็กเปียกมารีดเป็นแผ่น หลังจากนั้นนำไปบรรจุไว้ ที่ยอด ฉัตรของพระธาตุพนม ด้วยเชื่อว่ามีอานุภาพทางป้องกันฟ้าผ่า อัคคีภัย และบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขได้ฤทธิ์อำนาจจากเหล็กไหลเปียก ทำให้หัวไม้ขีดยุ่ย ดินปืนเปียก ไม่อาจจุดระเบิดหรือติดไฟขึ้นมาได้ ซึ่ง คล้ายคลึงกับฤทธิ์อำนาจของ เหล็กไหลน้ำและเหล็กไหลชีปะขาว เพียง แต่มีลักษณะรูปพรรณสัณฐาน ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ฤทธิ์ ของเหล็กเปียกจะก่อให้เกิดความชื้น ขึ้นทุกครั้ง จะเห็นได้จากการที่ พระพุทธรูปบางองค์มีนาออกจาก พระเคืยรซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเกิดขึ้น จากการนำเอาแร่เหล็กเปียกชนิด นี้หล่อหลอมลงไปในเนื้อธาตุที่ใช้ใน การสร้าง ทำให้สามารถเรียก ละอองนั้าในอากาศมารวมตัวกันจน กลายเป็นนาอยู่ภายในเคืยรของ พระพุทธรูป เช่น พระพุทธรูปที่วัด นาอู จังหวัดแม่ฮ่องสอน หรือ พระพุทธรูปที่วัดตูม จังหวัดอยุธยา


เหล็กไหลเปียก






โคตรเหล็กไหลย้อยเป็นเหล็กไหลที่คล้ายคลึงกับเหล็กไหลหยด สามารถกล่าวได้ว่าโคตรเหล็กไหลย้อยนั้นเป็นต้น กำเนิดหรือเป็นโคตรเหล็กไหลของเหล็กไหลหยดก็ได้ โดยมากโคตรเหล็กไหลย้อยจะมีขนาดใหญ่ตั้งแต่กำปั้ นขึ้นไป มีทั้งสีดำและสีออกน้ำตาลแดง บางชิ้น เมื่อนำมาขัดจะเงาออกสีเงินยวงอย่างน่าประหลาด ซึ่งถือว่าเป็นของขลังตาม ธรรมชาติที่อยู่ในประเภทเหล็กไหลเช่นกันโคตรเหล็กไหลย้อย และเหล็กไหลหยดมักพบตามพื้นใต้ดินหรือตามซอก ผา และมีเจ้าที่เฝ้าหวงแหนอยู่ จึงต้องทำการพลีขอเสียก่อน

"โคตรเหล็กไหลย้อย" จะมีลักษณะแปลกตาพอๆ กับโคตร เหล็กไหลงอกและโคตรเหล็กไหลทรหด คือมีลักษณะ เหมือนน้ำตา เทียนไหลทับถมกันบางชิ้นจะเรียบเป็นแผ่นใหญ่มีลักษณะคล้ายงูเลื้อยไปมา อาจารย์บางท่านจึงเรียก ว่า "เหล็กไหลนาคา" หรือบางชิ้นก็เหมือนน้ำตาเทียนที่ละลายแล้วแข็งตัวเป็นเหล็ก จัดเป็นของมีอาถรรพณ์ที่พวก ยักษ์ป่าและอสูรต่างนับถือกันว่าเป็นกายสิทธิ์จึงมักติดตามเฝ้าหวงแหน ดังนั้นผู้ที่จะเอาโคตรเหล็กไหลชนิดนี้ได้จึง ต้องเป็นผู้ที่มีบุญบารมี นอกจากนยังต้องบวงสรวงทำความพอใจให้แก่ดวงจิตวิญญาณที่เฝ้าดูแลอยู่ด้วย โคตรเหล็ก ไหลย้อยบางชิ้นมีความน่าอัศจรรย์มาก

เพราะสามารถทอสีเป็นสีรุ้งหรือทอแสงออกเป็นสีทองก็มี ชาวบ้านจึงมักเรียกว่า "ทองคำดำ" ครูบาอาจารย์ที่มีฌาน มีญาณได้ตรวจดูโคตรเหล็กไหลย้อยแล้วพบว่าเป็นสิ่งที่มีอำนาจฌานของฤๅษีประจุอยู่ด้วยจึงมักพลีขอต่อเจ้าที่นำ มาใช้เป็นมวลสารในการสร้างพระเครื่อง ส่วนผู้ที่มีวิชามักหาโคตรเหล็กไหลย้อยมาทำเป็นส่วนผสมในการหลอมทำ ธาตุกายลิทธิ์แต่ทั้งนี้ต้องเป็นผู้ที่มีอาคมบังคับธาตุได้ เพราะหากไม่มีวิชาเล่นแร่แปรธาตุแล้วตัวแร่จะหนีหายสลาย เป็นเถ้าธุลีหมด ปัจจุบันมีการนำเอาแร่ชนิดนี้

มาสร้างเป็นเครื่องรางก็มี เช่นนำเอาแร่ชนิดนี้มาแกะเป็นฤาษีและมา สร้างเป็นพระเนื้อผง ทั้งทำการปลอมแร่ให้เป็น กายสิทธิ์เหล็กไหลเทียบ ที่มีฤทธิ์อำนาจคล้ายคลึงกับเหล็กไหลน้ำหนึ่ง คือดีทั้งทางโชคลาภ ทำมา ค้าขาย และ ป้องกันอุบัติภัยได้ด้วย อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนสี ในตัวเองให้เป็นสีเขียวปีก แมลงทับหรือ เป็นสีทอง เหลือบ เขียวอม เหลือง ได้อย่างน่าอัศจรรย์

การพิจารณาโคตรเหล็กไหลย้อยว่าเป็นเนื้อชั้นดีหรือไม่นั้น ให้ดูที่น้ำหนักและผิวพรรณ เพราะหากมีน้ำหนักเบาและ พบว่ามีรูพรุนมากอีกทั้งสีผิวไม่เป็นมัน กระด้าง และดูซีดแสดงว่าเป็นเหล็กไหลย้อย ประเภท เหล็กไหลตายซาก ซึ่ง จัดอยู่ในประเภทเดียวกันกับขี้เหล็กไหล แต่หากสียง ดำ เงาเป็นมันวาว และเนื้อตันก็ยังจัดว่า เป็นโคตรเหล็กไหล ชั้น ดีทีฤทธิ์ในตัวมาก เรียกอีกอย่างว่า "พญาเหล็ก" ซึ่งมีอำนาจทาง มายาล่องหนหายตัวหรือทำให้ศัตรูเห็นเป็นหลายคน ดีทั้งทางแคล้ว คลาดและคงกระพัน แต่ถ้าเป็นพวกเหล็กตายซากจะมีพลังงานในตัวที่อ่อน เพราะเชื้อเหล็กตายเกือบ จะหมดอยู่แล้วต้องเอาไปปนผสม ทำเป็นพระเครื่องแล้วปลุก เสกให้ดีจึงจะสามารถมีอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาได้


เหล็กไหลหยดหรือที่บางครั้งก็เรียกว่า "เหล็กหยด" ไม่ถือเป็น โคตรเหล็กไหล และไม่ใช่เหล็กไหลน้ำหนึ่ง ชั้นยอดเหมือนกลุ่มแรก อย่างเหล็กไหลโกฏิปีหรือเหล็กไหลเจ้าป่าเพราะมีคุณภาพต่ำลงมา จึงไม่สามารถ ดับพิษไฟได้ แต่จะมีอานุภาพเป็นยอดในทางป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอและของมีคม เหล็กไหลหยดจะเสพน้ำ ผึ้งทำให้กลิ่นและรสหวานของน้ำผึ้งหมดไปบางครั้งอาจทำให้น้ำผึ้งพร่องไปบ้าง

เหล็กไหลหยดมีทั้งที่เกิดจากการแตกตัวของรังเหล็กไหล ที่อาจถูกความร้อนตามธรรมชาติและที่ได้มาจาก การตัดของผู้ที่มีอาคม ซึ่งหลังจากที่ใช้เทียนอาคมลนก็จะได้เหล็กไหลหยดตัวตามธรรมชาติลง มาในบาตร น้ำผึ้งคล้ายกับการตัดเหล็กไหลเจ้าป่า แต่เหล็กไหลหยดที่ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่ละชิ้นจะมีขนาดไม่ ใหญ่มากนัก

โดยมากจะ มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ยาวอย่างมากไม่เกินหนึ่งนิ้วชี้ลักษณะโดยทั่วไปมีรูปร่างแปลก ๆ หลายแบบ เช่น มีสัณฐานกลมโดยธรรมชาติก็มี ที่มี ลักษณะคล้ายพวงองุ่นก็มี หรือบางทีก็หยดตัวคล้าย ลักษณะของน้ำตาเทียนและหยดเทียน สีสันของเหล็กไหลหยดมักออกดำด้าน ๆ มีรูพรุน โดยรอบ บางชิ้น ออกสีน้ำตาลแดง เหล็กหยดที่มีคุณภาพดีจะมีสีออกดำ เหมือนตังเมข้นๆ บางชิ้นผิวออกสีเงินยวงก็มี ซึ่งนับ ว่าเป็นเหล็กไหล ที่มีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลเจ้าป่ามากที่สุด เหล็กหยดบางท่านอาจ เรียกว่า "เหล็ก หลบ" เนื่องจากว่าเหล็กไหลมีอยู่ด้วยกัแหลายชนิด บาง ชนิดอาจมีลักษณะใกล้เคียงกัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิด ความหลากหลาย และสับสนจนเกินไปนักจึงอนุโลมให้จัดรวมอยู่ในประเภทเดียวกันได้

"เหล็กไหลหยด" หรือ เหล็กหยดนี้ดีทาง คงกระพันหนังเหนียวและกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอได้ดีเมื่อนำมาปลุกเสก จะมีอิทธิฤทธิ์ในตัวมาก เป็นพิเศษ นิยมพกทั้งที่เป็นเม็ด ๆ หรือเป็นชิ้นติดตัวเอาไว้เลย พวกภูตผีปีศาจต่างก็ เกรงกลัวรัศมีของเหล็กหยดนี้และยังดีทางแคล้วคลาด ล่องหนอีกด้วย






โคตรเหล็กไหลทรหด

โคตรเหล็กไหลทรหดเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นเลิศอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความใกล้เคียงกับโคตรเหล็กไหลงอกมาก แต่ต่าง กันตรงที่โคตร เหล็กไหลทรหดนั้นจะงอกขึ้นมาเป็นมัดๆ คล้ายกล้ามเนื้อ ส่วนโคตรเหล็กไหลงอกนั้นจะงอกเป็นเม็ด เล็ก ๆ คล้ายไข่ปลาเกาะติดกันเป็นกลุ่มก้อนบางครั้งจะพบว่ามีทั้งโคตรเหล็กไหลงอกและโคตรเหล็กไหลทรหดขึ้น รวมอยู่ด้วยกัน แต่โดยรวมแล้วโคตรเหล็กไหลทรหดมักขึ้นเป็นมัดๆ และมีมวลแน่นหนากว่าโคตรเหล็กไหลงอก

โคตรเหล็กไหลทรหด

โคตรเหล็กไหลทรหดจัดเป็นโคตรเหล็กไหลที่มีอานุภาพ ไม่ด้อยไปกว่าโคตรเหล็กไหลงอก โดยโคตรเหล็กไหล ทรหดจะเด่นใน เรื่องคงกระพันอีกทั้งยังสามารถเจริญเติบโตได้โดยมากจะไม่งอก เพิ่ม อย่างโคตรเหล็กไหลงอกแต่ จะขยายขนาดทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมา และ หากได้รับการประจุพลังจิตก็จะสามารถเปลี่ยนสีสันของตัวเองได้เช่น กัน การจะนำโคตรเหล็กไหลทรหดมาได้นั้นสามารถทำได้โดย การสกัดจากหินที่โคตรเหล็กไหลทรหดงอกขึ้นมาได้ เลยเช่นเดียวกับ โคตรเหล็กไหลงอก แต่ต้องอธิษฐานจิตขอต่อเจ้าป่าเจ้าเขาเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะเกิดอาเพศต่อ ตัวผู้นั้นรวมไปถึงหมู่คณะที่เข้าไปด้วย ครูบาอาจารย์ที่ได้โคตรเหล็กไหลทรหดมามักจะตัดเป็นชิ้น ๆ สามารถใช้พก พาได้เลยเพราะเป็นของดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว หรืออาจนำมาแกะ เป็นองค์พระหรือทำเป็นจี้ห้อยคอก็ได้ เพราะเนื้อของ โคตรเหล็กไหล ทรหดนั้นมักเป็นเนื้อตัน เมื่อนำมาเจียระไนแล้วจึงดูสวยงาม และไม่ขึ้นสนิม พวกพรานป่ามักนิยมเจีย เป็นรูปเบี้ยหลังเต่าแล้วฝังไว้ที่ หัวไหล่หรือ เจีย เป็นทรงหนำเลี้ยบเรียวแหลมแล้ว ฝังไว้ที่ใต้ท้อง แขน เพราะเชื่อว่า ทำให้คงกระพันหนังเหนียวหรือแม้จะต้องทำงานหนักก็ ไม่รู้สึกว่าเหนื่อย และยังทรหดอดทนต่อการเดินทางไกลได้ อย่างน่า อัศจรรย์ หากอมไว้ในปากก็เชื่อว่าทำให้ไม่กระหายน้ำและสามารถ ป้องกันไข้ป่าได้ นอกจากนี้ฤทธิ์ขององค์ เหล็กยังทำให้เป็นที่ครั่นคร้าม ต่อสัตว์ใหญ่อย่างงู เสือ และช้างอีกด้วย

ทั้งโคตรเหล็กไหลงอกและโคตรเหล็กไหลทรหดถือว่าเป็น ของเย็น ดังนั้นหากผู้ใดที่มีไว้บูชาประจำบ้านหรือพก ติดตัวจะทำให้ เกิดความร่มเย็นในชีวิต มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม เดินทางไปไหนก็ปลอดภัยทำสิ่งใดก็ สำเร็จทุกประการ


โคตรเหล็กไหลงอกเป็นเหล็กไหลชั้นรองลงมา หรือที่เรียก กันว่าเหล็กไหลน้ำรอง ซึ่งต่างกับเหล็กไหลโกฏิปี เหล็ก ไหลเจ้าป่า และ เหล็กไหลเพลิง อันเป็นเหล็กไหลชั้นหนึ่งหรือเหล็กไหลน้ำหนึ่งที่ มีอิทธิฤทธิ์มากและเป็นกายสิทธิ์ที่ ต้องใช้วิชาอาคมในการเชิญหรือในการตัด และผู้ที่จะตัดได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีวิชาเท่านั้น ส่วนเหล็กไหลงอก จัดเป็นพวก โคตรเหล็กไหลที่ไม่ต้องใช้วิชาในการตัด แต่ต้องทำการขอจากเจ้าป่าเจ้าเขา ไม่เช่นนั้นจะโดนอาถรรพณ์ทำร้ายจน ทำให้ชีวิตวิบัติในทุกๆ ด้าน

เหล็กไหลงอกหรือโคตรเหล็กไหลงอกถือว่าเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นเยี่ยม หรือเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นหนึ่งในบรรดา โคตรเหล็กไหล หลายๆ ชนิด แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดคือโคตรเหล็กไหลงอกที่เขาอึมครึมและ เขากะอางค์ รวมทั้งตามถ้ำใน เขตชายแดนไทยพม่าและในป่าลึกของพม่าอีกทั้งเหล็กไหลงอกที่เกาะล้านพัทยาและเหล็กไหลงอกที่เมืองลอง จังหวัดแพร่ที่เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า"ตับเหล็กเมืองลอง"

เหล็กไหลงอกนั้นเป็นโคตรเหล็กไหลที่มีลักษณะการงอก ไปมาเหมือนเม็ดไข่ปลาสีดำมนปนเขียว รูปร่างแปลกตาดู สวยงาม บางชิ้นทอสีเป็นสีรุ้งอย่างน่าอัศจรรย์เหล็กไหลงอกมักพบตามเพดานถ้ำ บางครั้งฝังอยู่ในดินก็มีแม้ว่าเหล็ก ไหลงอกจะเป็นเหล็กไหลน้ำรอง แต่ก็มีอิทธิอานุภาพที่สูงส่งเช่นกัน เพราะเป็นของที่มีเทพยดารักษา โดยมากมักเป็น ญาณของพระฤาษีที่ทรงตบะแก่กล้าและมีดวง วิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขามากมายรักษาอยู่ ทั้งเทพ คนธรรพ์และ พญานาคก็มี เพราะเหล็กไหลชนิดนี้ถือเป็นกายสิทธิ์สำคัญอย่างหนึ่งที่จะสามารถ ช่วยบรรเทาภัยพิบัติจากแม่ธาตุที่ จะเกิดขึ้นบนโลกนี้ได้

ความน่าอัศจรรย์ของเหล็กไหลงอกคือสามารถงอกหรือขยาย ขนาดตัวเองให้โตขึ้นได้ หาก เป็นองค์เหล็กที่อยู่ตาม ธรรมชาติแล้วมี การงอกที่เหมือนกับหินงอกหินย้อยทั่วไปก็ดูไม่น่าอัศจรรย์แต่อย่างใด แต่ถ้านำเหล็กไหลงอกหรือ โคตรเหล็กไหลงอกนี้มาเลี่ยมใส่ไว้ใน กรอบพลาสติกอย่างมิดชิดแล้วปรากฏว่ายังสามารถขยายขนาด หรืองอกเพิ่ม จนดันกรอบให้แตกออกมาได้ย่อมนับเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ อย่างเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นเรื่อง1จริง เพราะมีหลายท่านที่ เลี่ยมองค์ เหล็กไหลงอก คล้องคอไว้ แล้วต้อง เอาไปเลี่ยมกรอบใหม่ เนื่องจาก องค์เหล็กขยายขนาดและงอกเพิ่มขึ้น จนดันกรอบเก่าแตก แต่ทั้งนี้การที่องค์เหล็กไหลงอกจะงอกขยายขนาดได้มากเท่าไรนั้นก็ต้อง ขึ้นอยู่กับการปฏิบ้ติ ตัวของคนผู้นั้นด้วย หากผู้ที่รับเอาองค์เหล็กไป แล้วหมั่นบูชาสวดมนต์ปฏิบัติกรรมฐาน แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศล ให้ แก่โคตรเหล็กไหลงอก องค์เหล็กไหลงอกก็จะงอกขยายขนาด จนเห็นได้ชัด นานวันเข้าก็จะดันจนกรอบแตกเป็นที่น่า อัศจรรย์

การงอกของโคตรเหล็กไหลนั้นจะงอกเพิ่มในจุดต่างๆที่ ไม่ซ้ำกัน โดยจุดที่งอกขึ้นมาใหม่จะมีสีสันที่ดูสดใสและ สามารถขยาย ขนาดขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนจุดที่งอกนานแล้วจะมีสีเข้ม ยิ่งถ้านานวันไป ความเงามันอาจลดลงได้ และถ้า หากละเลยการสวดมนต์ทำสมาธิแล้ว การงอกอาจใช้เวลานานมาก ตรงกันข้ามกับการได้ปฏิบัติทำสมาธิแผ่เมตตาจิต ซึ่งจะมีผลทำให้องค์เหล็กงอกและขยายตัวเร็วขึ้นกว่าหลายเท่าตัว การงอกของโคตรเหล็กไหลงอกนั้นถือว่าเป็น มงคลอย่างยิ่ง เพราะถือว่าหากผู้ใดมีเหล็กไหลงอกซึ่งงอกไปมาสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ แสดงว่าบุคคลผู้นั้นต้อง โฉลกหรือกำลังจะมีโชคชีวิตย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นนิจศีล ทำการค้าขายย่อมมีความเจริญรุ่งเรือง นอกจากองค์ เหล็กไหลงอกจะสามารถงอกเพิ่มขึ้นได้แล้วยังสามารถเปลี่ยนสี ได้อีกด้วย

เมื่อเอาไปให้ครูบาอาจารย์ที่มีสมาธิจิตส่งพลังจิตประจุลงไป ในองค์เหล็กไหลจะสังเกตได้ว่าองค์เหล็กจะมีการ เปลี่ยนสีทันทีจากสีดำ กลายเป็นสีเขียวเข้ม หรือบาง ครั้งอาจทอสี เป็นสีเหลือบรุ้งขึ้นมา การเปลี่ยนสีนี้พบว่ามีขึ้นใน เหล็กไหลเกือบทุกชนิดทั้งในเหล็กไหลน้ำหนึ่งและเหล็กไหลน้ำรอง อันแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาตอบรับ ระหว่าง พลังจิตกับองค์เหล็กไหล

โคตรเหล็กไหลงอกมีพุทธคุณหลายอย่าง แต่ที่เด่นชัดคือ ในด้านป้องกันชีวิต ป้องกันภัยจากศาสตราวุธและอุบัติภัย ได้ ดัง กรณีตัวอย่างของพรานป่าที่คล้ององค์เหล็กไหลงอกติดตัวไว้ขณะ ออกไปล่าสัตว์ ยังส่งผลให้ยิงปืนไม่ออก ทำให้ไม่สามารถล่าลัตว์ได้ ต้องอาราธนาเอาองค์เหล็กออกจากตัวเสียก่อนจึงออกป่าล่าสัตว์ ยิงปืนโดยไม่ด้านไม่ขัด สามารถใข้ปืนยิงได้ตามปกติทุกประการ แสดงให้เห็นว่าเทพที่สถิตย์อยู่กับองค์เหล็กนั้นไม่ต้องการให้ผู้ใดทำ

บาปและผิดศีลข้อปาณาติบาต เพราะองค์เหล็กย่อมคุ้มครองชีวิต ทุกชีวิตเสมือนกันหมดนอกจากท่านจะคุ้มครองเรา แล้วท่านยังมีเมตตา จิตสั่งสอนเราไม่ให้ไปเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น นอกจากนี้โคตรเหล็กไหล งอกยังดีทั้งด้านเมตตา มหานิยม โชคลาภ สามารถป้องกันภูตผีปีศาจ และคุณไสยได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอและสัตว์มีพิษ ต่าง ๆ และหากใครถูกแมงปอง ตะขาบ หรือแมลงสัตว์กัดต่อยก็ สามารถฝนด้านหลังของเหล็กไหลงอกแล้วนำผง ที,ได้มาทาแผล เพราะ นอกจากจะช่วยดูดพิษจากบาดแผลแล้วยังทำให้หายปวดได้อีกด้วย

โคตรเหล็กไหลงอกจะเสพน้ำผึ้งเป็นอาหาร เมื่อหยดน้ำผึ้ง ลงไปบนโคตรเหล็กไหลที่ยังคงมีพลังชีวิตอยู่ ไม่นานนัก นํ้าผึ้งที่ หยดลงไปจะเปลี่ยนเป็นสีขาวดุจน้ำนมและแห้งไปในที่สุดอย่าง น่าอัศจรรย์มาก องค์โคตรเหล็กอื่นๆ ก็เสพน้ำ ผึ้งเช่นกัน แม้จะไม่ได้ แสดงปาฏิหารย์ให้เห็น แต่น้ำผึ้งก็จะหมดรสหวานไป โคตรเหล็กไหล เป็นเหล็กไหลชั้นรอง ไม่ กินฟอสฟอรัสและดินปืน แต่ก็สามารถกิน พลังงานไฟฟ้าได้เหมือนกัน ซึ่งหากว่า เป็นโคตรเหล็กไหลงอกก้อนใหญ่ หรือมีโคตรเหล็กรวมอยู่ที่เดียวกันมาก ๆ ก็จะเกิดปฏิกิริยากับไฟฟ้า ภายในบ้านได้

โคตรเหล็กไหลงอกจึงเป็นกายสิทธิ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งทื่พอ พบได้ในปัจจุบัน และมีครูบาอาจารย์หลายท่านนิยมเอา มวลสารของ โคตรเหล็กไหลงอกมาผสมทำเป็นพระเครื่องทรงอิทธิฤทธิ์





เหตุที่ปัจจุบันนี้ปรากฏ ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล ขึ้นมามากมาย ด้วยเหตุสำคัญดังนี้

ยุคกึ่งพุทธกาล เนื่องจากประเทศไทยเป็นที่ตั้งมั่นอันสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็ นยุคเทพพรหมเทวาทั้งหลายได้ปราวา รณาไว้กับองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า จะลงมาช่วยกันสืบพระศาสนาของ พระสมณโคดม ให้สถาพรอยู่ถึง 5,000 ปีตามพุทธ ทำนาย จึงเป็นบ่อเกิดและที่สถิตอยู่ของผู้มีบุญบารมีในระดับต่าง ๆ เพื่อบำเพ็ญบารมีธรรมให้บรรลุถึงซึ่งมรรคผล นิพพาน หรือเป็นอร หัสต์สาวก พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หรือ พระโพธิสัตว์ จนถึงพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ตามแรงอธิษฐานบารมีที่เคยได้กระทำมาแล้วใน อดีต

เทพเทวาผู้รักษาเหล็กไหล จึงเปิดโอกาสแก่ผู้บำเพ็ญบารมีในระดับต่าง ๆ ให้ได้รับธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ ไปครอบครอง เพื่อมุ่ง อำนวยประโยชน์ต่อการบำเพ็ญบารมีธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อช่วยกันสืบบวรพระพุทธศาสนาในประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองสถาพร สืบไป

ดังนั้น ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมบางคน จึงมีสิทธิ์ได้รับ ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล โดยวิธีการต่าง ๆ ที่คาดไม่ ถึง เพื่อกอบกู้ คุ้มครอง รักษาประเทศชาติ และศาสนาให้มั่นคง เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครรู้เท่านั้น



ผู้ใดก็ตามที่ได้ครอบครองวัตถุธาตุกายสิทธิ์ผู้นั้นย่อมสามารถ บรรลุ ความปรารถนาทั้งปวงบนโลกธาตุนี้ได้ วัตถุธาตุบาง อย่างที่มีพลัง อำนาจในตัวเองนั้นจะสามารถปกป้องคุ้มครอง และเป็นเสน่ห์เมตตา แก่ผู้ครอบครองได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่ง,ในธรรมชาติก็มีวัตถุธาตุที่มีพลังอำนาจในตัวเองอยู่หลาย ชนิดด้วยกัน เช่นพวกคดจากพืชและลัตว์ เพชรหน้าทั่ง อัญมณี นพเก้า แก้วโป่งข่าม แต่ในบรรดาธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้นไม่มีสิง ใดที่จะยิ่งใหญ่ทรงอานุภาพและเป็นตำนานที,เล่าขาน ไม่รู้จบ เทียบได้กับธาตุกายสิทธิ์ที่มีชื่อว่า"เหล็กไหล"


เหล็กไหลบางส่วนของทางวัดมีให้เช่าบูชาทำบุญร่วมสร้างวัด











น้ำมนต์เหล็กไหลคือน้ำมนต์ศักดสิทธิ์ที่เกิดจากการแผ่ พลังงานจากเหล็กไหลลงสู่ธาตุน้ำโดยการนำเหล็กไหลซึ่งอาจ เป็น องค์เหล็กไหลชั้นเยี่ยมหรือจะเป็นรังเหล็กไหลก็ได้ลงไป แช่ในน้ำ โดยทั่วไปจะแช่ทิ้งไว้เฉย ๆ เป็นเวลาตั้งแต่ 20นาทีขึ้นไป เพราะตาม ธรรมชาติของ เหล็กไหลนั้นย่อมแผ่รัศมีของตัวเอง และเมื่อเหล็กไหล ได้แผ่รังสีลงในน้ำก็จะทำให้น้ำนั้นเริ่มมี ประจุพลังงานของเหล็กไหล วิ่งไปมาอยู่ภายใน ประจุพลังงานของเหล็กไหลทีกระจายลงน้ำไม่ เป็นอันตราย ต่อคนและสัตว์
มีอานุภาพแห่งการบำบัดขั้นสูง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถรักษา โรคได้ หลายชนิด เช่นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง เบาหวานไต แต่ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับศรัทธาของผู้ที่มาขอรับน้ำมนต์เหล็กไหล ด้วย

น้ำมนต์เหล็กไหลเกิดขึ้นจากพลังอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นการดื่มน้ำมนต์เหล็กไหลจึงต้องใช้ความศรัทธาของผู้ ดื่มมาประกอบ จึงจะบังเกิดผลได้อย่างเต็มที่นอกจากนี้การทำบุญแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรม นายเวรอโหสิกรรมจะยิ่งส่งผลให้ โรคกรรมต่างๆทุเลาลงและหายได้ในที่สุด











ผู้ที่พบเห็นเหล็กไหลหรือรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของเหล็กไหลได้จึงมักเป็นผู้ที่ได้เข้าไปปฎิบัติสมาธิภาวนาอยู่ในป่า ลึกหรือตามถ้ำที่อยู่ห่างไกลผู้คนเหล็กไหลเป็นธาตุที่มีพลังอันเร้นลับอยู่ภายใน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งพลังอำนาจแห่ง จิตที่สามารถหยั่งรู้ความคิดของมนุษย์เราได้ ดังนั้นผู้ที่สามารถครอบครองธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลได้จึงต้องเป็น ผู้ที่มี ความสามารถในการติดต่อสื่อสารทางจิต หรือเป็นผู้ที่มีพลังจิต พลังสมาธิที่แก่กล้า นอกจากเหล็กไหลจะสามารถรับ ความคิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ว่ามีความคิดอย่างไรกับตนแล้ว เหล็กไหลยังสามารถ แสดงพลังตอบโต้ความคิดเหล่านั้นได้ด้วยการสร้างภาพนิมิตหรือสร้างภาพลวงตาให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ได้ตามที่ตน ต้องการอีกด้วย








ประวัติหลวงปู่เขี่ยม



หลวงปู่เขี่ยมปฏิบัติธรรมเจริญรอยตามครูบาอาจารย์อย่างแน่วแน่มั่นคงมาโดยตลอด โดย ยึดหลักปฏิบัติสมาธิวิปัสสนากรรมฐานด้วยความเคร่งครัดขยันหมั่นเพียร จาริกธุดงควัตรไป ตามป่าเขาลำเนาไพรทั่วทุกภูมิภาค กระทั่งจาริกมาถึงจ.สกลนคร เมื่อมาถึงวัดถ้ำขาม และ พบกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร พระเถระชั้นผู้ใหญ่ กองทัพธรรมศิษย์เอกของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แห่งวัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร ตรงกับปี พ.ศ.2501 ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา หลวงปู่เขี่ยม จึงฝากตัวเป็นศิษย์ และศึกษาธรรมจากหลวงปู่ฝั้น อีกทั้งหลวงปู่เขี่ยมยังฝากตัวศึกษาธรรม จากหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี อดีตเจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย ได้รับคำสอนและได้ แนวทางปฏิบัติธรรมจากหลวงปู่เทสก์อย่างใกล้ชิด จนกระทั่งหลวงปู่เทสก์มรณภาพ หลวงปู่ เขี่ยมเป็นพระนักปฏิบัติที่เคร่งครัดมาก มีเมตตาบารมีสูง














ประวัติเจ้าอาวาสปัจจุบัน


















ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ไพฑูรย์ เลยถามถึงงูที่มาเฝ้าท่านตอนทำสมาธิภายในถ้ำ ท่านว่าเป็นงูเจ้าที่ วันแรกงูก็นอนขดอยู่ไกลพอควร พอวันต่อมางูมานอนเอาหัวหนุนตรงก้อนหินใกล้แท่นที่ท่านต้องเหยียบขึ้นลง งูเชื่องท่านต้องพูดบอกขอให้หลบไปหน่อยท่านจะลงไปบิณฑบาตร งูก็เอาเบี่ยงหัวหลบออกให้ท่านเหยียบหินลงได้
พอท่านกลับมาก็ยังนอนหนุนหินเหมือนเดิม ท่านก็ต้องพูดบอกงูให้เบี่ยงหลบหน่อยท่านจะเหยียบหินขึ้นงูก็หลบตามที่ขอ เป็นอย่างนี้อยู่เป็นอาทิตย์
จนกระทั่งท่านจะเดินธุดงค์ต่อ ไม่ได้กลับมาถ้ำแล้ว เลยบอกลางูให้ไปหากินซะท่านคงไม่ได้มาพักที่นี่แล้ว พอท่านบิณฑบาตรเสร็จ กลับมาถ้ำเพื่อเก็บข้าวของจะเดินทางต่องูก็ไม่อยู่แล้ว

หลวงพ่อเจ้าอาวาส พระอาจารย์ไพฑูรย์






ท่านมีเรื่องเจองูบ่อย อีกเรื่องเจองูจงอางขณะเดินธุดงค์บนเขา งูยืนชูคอเผชิญหน้าท่านห่างประมาณไม่ถึงศอกจะฉกถึงหน้าได้ ท่านจะเดินไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะจะตกเหว อีกด้านก็เป็นซอกหิน ต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น
ภายในความมืดท่านตะลึงในความสวยของลายที่คองูมากกว่าความกลัว ที่สีดำเงามันวับ งูชูคอจ้องท่านนานจนงูคงคิดว่าท่านคงไม่ไม่ทำอันตรายกับมัน มันจึงเลื้อยจากไป
จนเช้าท่านเดินเข้าตัวเมือง พอตอนขากลับต้องกลับมาเส้นทางเดิมพึ่งมานึกกลัวงูจงอางตัวนั้น แต่ก็ต้องผ่านไป โชคดีที่ขากลับไม่เจองูจงอางตัวนั้นอีก
เดี๋ยวถ้ามีโอกาสสนทนาธรรมกับท่านจะถามถึงพญานาค อิอิ
















Create Date : 07 กรกฎาคม 2556
Last Update : 23 มิถุนายน 2560 13:43:24 น. 0 comments
Counter : 10940 Pageviews.

ใจรัก Jairuk Channel
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 91 คน [?]








ติดตามดูต่อที่YouTube

ใจรักJairukChannel



ติดตามดูต่อที่Facebook

ใจรักJairukChannel



แนะนำให้ชม

บัวหิมะ
บัวหิมะ
วิธีเลี้ยงบัวหิมะ
เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
ติดอันดับTOP Page Views
อาหารและการดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยมะเร็งและคนทั่วไป
เที่ยวขอนแก่น
Michael Jackson
คอนเสิร์ตบอย Peacemaker
คลิปเจ้าขุน
การกลับมาของX Japan

ท่องเที่ยว

UFOที่เคยเห็น
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
หาดใหญ่และปัตตานี
ไข่มุกอันดามัน
อะ พีพี
เกนติ้ง
กัวลาลัมเปอร์
หาลิงเข้าถ้ำทะเลภูเขาเลยจ้า นอนดูหมอกที่ปราจีนบุรี
เที่ยวปราจีนบุรีต่อ
เลยจะถึงไหมละนี่
พักค้างแรมที่เลย
เลยจนเกือบถึงลาว
ขุดกรุเขื่อนป่าสัก
บึงแก่นนคร ขอนแก่น
พระธาตุขามแก่น
เดินทางไปลพบุรี
กินข้าวอิงภูชัยภูมิ
ลาว เวียงจันทร์
ลาว2
ปิดทริปเที่ยวลาว
ล่องเรือเจ้าพระยา
รถไฟลอยฟ้า ฟ้า ไทย
รถไฟใต้ดินไทย
ทะเลน้ำจืดหาดวังโกขอนแก่น บ้านปราสาทโคราช
วังน้ำเขียวโคราช
ชอปปิ้งหนองคาย
ตัวเมืองขอนแก่น
น้ำผุดทับลาว ชัยภูมิ
สนามหลวง2
ไปดูงานศิลป
สายน้ำกับปลาที่ไปปล่อย
งานExpro
เขื่อนอุบลรัตน์
เที่ยวป่าวัดพรไพรวัลย์
ล่องแพอ่างเก็บน้ำห้วยไร่
ทะเลหมอกภูพานน้อย
วัดเจดีย์ชัยมงคล
ครั้งหนึ่งที่เคยโบกรถ
น้ำหนาว,เพชรบูรณ์
พระพุทธชินราช,พระธาตุลำปางหลวง
น้ำพุร้อน,วัดร่องขุ่น
มหาลัยแม่ฟ้าหลวง,น้ำตกก้างปลา
เวียงแก่น,ภูชี้ฟ้า
ดอยแม่สลอง
อุทยานฯขุนแจ
สวนโลกราชพฤกษ์
วัดเจดีย์7ยอด,วัดเจดีย์หลวง
ดอยสุเทพ,ทุ่งสแลงหลวง
โครงการครูบ้านนอก
วัดหลวงพ่อโตใหญ่ที่สุดในโลก
ที่พักปากช่อง
เลย-ลาว-ท่าลี่
ถึงระยองแล้วจ้า
ทะเลตอนเช้า
งานเที่ยวภาคใต้






Friends' blogs
[Add ใจรัก Jairuk Channel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.