เมื่อเท้ามันคัน อะไรมันๆ จะเกิดขึ้น
Group Blog
 
<<
มกราคม 2560
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
1 มกราคม 2560
 
All Blogs
 
อิตาลี : ใช่หรือมั่ว ชัวร์หรือนี่













คริสต์มาสปีที่แล้วไม่ได้อยู่อิตาลี จึงไม่ได้ไปเมือง Bolzano อย่างที่ตั้งใจไว้ ช่วงเมษาที่ผ่านมาตั้งใจจะไปกับคุณแฟนก็มีเหตุให้ไม่ได้ไปอีก กลับมาครบรอบคริสต์มาสอีกครั้งในปีนี้เลยรีบจองที่พักที่เมือง Bolzano ทางเหนือของอิตาลีโดยไม่รีรอ คิดว่ายังไงยังไงก็ต้องมีคนไปกับเรา ปกติไปไหนมาไหนจะมีคนติดสอยห้อยตามตลอด จนใกล้ถึงวันเดินทางจึงปรากฏว่าไม่มีเพื่อนฝูงญาติมิตรสนิทคนใดสะดวกจะไปด้วย เนื่องจากคริสต์มาสเป็นเทศกาลที่คนเขาต้องใช้เวลากับครอบครัว ผมก็จำต้องเดินทางคนเดียวในครั้งนี้ดั่งคนไร้ญาติขาดเพื่อน น่าจะเป็นครั้งแรกที่เดินทางท่องเที่ยวคนเดียว รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเหงา 

เมือง Bolzano ที่ตั้งใจจะไปมาสองครั้งแล้วอยู่ติดชายแดนทางเหนือระหว่างอิตาลีกับออสเตรีย จึงมีธรรมชาติที่สวยงาม น่าจะมีหิมะตกสวยๆ และได้ยินมาหนาหูว่ามีตลาดคริสต์มาสที่สวยที่สุดในยุโรป น่ารักน่าถ่ายรูป



ออกเดินทางในวันศุกร์เย็นอย่างเหงาๆ ด้วยรถไฟด่วนสายตรงไม่ต้องเปลี่ยนรถจากสถานี Roma Termini กลางกรุงโรม จุดหมายปลายทางเมือง Bolzano หรือ Bolzen ในภาษาเยอรมัน กระเป๋า 1 ใบที่ลากไปนั้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้ากันหนาวและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป การเดินทางคนเดียวครั้งนี้กลัวอยู่ 2 อย่าง คือ อากาศที่หนาวเย็น และอาหารท้องถิ่นที่ไม่น่าจะถูกปาก


เพราะเดินทางคนเดียวไม่มีใครชวนคุย จึงมีโมเมนต์ให้มโนดราม่าว่าเหงาจัง เทศกาลแบบนี้ทำไมไม่ได้อยู่กับครอบครัว ต้องนั่งกินเบอร์เกอร์ลำพังคนเดียว แต่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันหายดราม่า 4 ชม. ครึ่งรถไฟก็เข้าเทียบชานชลาสถานี Bolzano 


ลงจากรถไฟปุ๊บก็เห็นคนรัก ครอบครัว มารอรับผู้โดยสาร เจอกันโผเข้ากอดกันหลายคู่ เหมือนรอการกลับมาของพวกเขา ผมมาคนเดียวก็ดราม่าเหงาต่อได้อีกหน่อย 555


ออกมาจากสถานีรถไฟหนาวจับใจ จากตอนแรกที่กะจะเดินไปโรงแรมซึ่งห่างออกไป 2 กม. ต้องเปลี่ยนมาใช้บริการรถแท็กซี่แทน ค่าแท็กซี่ประมาณ 7 ยูโรเท่านั้น


มาถึงโรงแรม Rentschnerhof ประมาณเกือบๆ ห้าทุ่ม ยังมี receptionist รอมอบกุญแจอยู่ทั้งที่ตอนแรกบอกว่าจะซ่อนกุญแจไว้ข้างหน้าต่าง เพราะผมมาถึงดึกไป โรงแรมต่างจังหวัดแบบนี้จะไม่มี receptionist 24 ชม. ส่วนใหญ่จะทำงานถึง 4 ทุ่มเท่านั้น ใครมาถึงเลทมักใช้วิธีบอกที่ซ่อนกุญแจแทน ถ้าเป็นบ้านเราคงหายไปทั้งกุญแจทั้งของในห้อง


ห้องหับพออยู่ได้ จัดไว้สองเตียงเพราะโรงแรมเข้าใจว่าผมมาคู่ มีฮีทเตอร์และทีวีที่มีช่องภาษาเยอรมันมากกว่าช่องภาษาอิตาเลียน นอนดูทีวีได้ไม่นานก็หลับไป 


ตื่นมาตอนเช้าลงไปกินอาหารเช้าชั้นล่าง อาหารเช้าเป็นแบบภาคพื้นยุโรปทั่วไป ขนมปัง แยม เนื้อโคลด์คัทต่างๆ โยเกิร์ต ผักและผลไม้สด นึกถึงเวลาคนบอกว่ามื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ต้องกินอย่างราชา แต่ต่างประเทศเขาไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่ ไม่อลังการเหมือนอาหารเช้าในโรงแรมบ้านเรา เลือกกินกันไม่ถูกเลยทีเดียว 


วิวจากห้องอาหารเช้าเป็นไร่องุ่นที่เหลือแต่ตอเพราะไม่ใช่ฤดูปลูกองุ่น ไวน์ที่นี่มีชื่อเสียงเช่นกัน


วันแรกยังมีเรี่ยวแรงจึงไม่ได้ขึ้นรถเมล์ตามที่พนักงานโรงแรมแนะนำ เดินจากโรงแรมเข้าเมืองตอนประมาณ 10 โมงเช้า ถนนเงียบกริบ นานๆ มีรถผ่านมาสักคัน 


ช่วงเทศกาลคนเขาอยู่กับครอบครัวและเป็นช่วงเช้าในเมืองเล็กๆ ที่อากาศเย็นเจี๊ยบ ชาวบ้านชาวเมืองยังคงซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น 


สัก 20 นาทีก็ถึงจุดขึ้นกระเช้ายอดนิยมของนักท่องเที่ยวชื่อ Renon ของเมือง Bolzano 


พนักงานแนะนำให้ซื้อบัตรแบบรายวัน 15 ยูโร ขึ้นกระเช้า นั่งรถไฟและรถเมล์ได้ไม่จำกัดเที่ยว เขาบอกว่าแค่นั้งกระเช้าไปกลับก็คุ้มค่าแล้ว 


เป้าหมายแรก คือ เมือง Soprabolzano ซึ่งแปลว่า Above Bolzano หรือเมือง Bolzano ด้านบนนั่นเอง 


เวลาเช้าแบบนี้มีผมในกระเช้าคนเดียว สามารถกลิ้งเกลือกได้อย่างเต็มที่ 


วิวรอบตัวยิ่งสูงก็ยิ่งมองเห็นไกลออกไป ยิ่งสวยงาม


มีบางจังหวะเท่านั้นที่ลมพัดแรงหรือช่วงกระเช้าวิ่งผ่านเสาค้ำที่จะมีอาการส่ายพอให้เสียวจนต้องรีบนั่งนิ่งๆ ได้บ้าง


12 นาทีก็ถึงเมือง Soprabolzano 


ออกจากสถานีกระเช้าก็เจอสถานีรถไฟวิ่งรอบเมืองทันที โชคดีผมมาทันรถไฟไม้โบราณนำเที่ยวอายุนับร้อยปี ซึ่งไม่ได้มีบริการทั้งวัน 


ขึ้นปุ๊บออกปั๊บ ฉึกกะฉักไปตามทางอย่างเชื่องช้า


มีป้ายเล็กๆ ระหว่างทางซึ่งแทบไม่มีใครลง จนมาสิ้นสุดที่เมือง Collalbo


ภูมิประเทศแถบนี้ทำให้รู้สึกถึงความหนาวเย็นของยุโรปจริงๆ เริ่มมีหิมะให้เห็น มีสระน้ำที่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง


มาถึง Collabo เผลอเข้าห้องน้ำแป๊บเดียว ออกมาไม่เหลือใครให้ถามทางแม้แต่คนเดียว



อาศัยป้ายแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวหน้าสถานีกับกูเกิลแม็พนำทางไปที่ท่องเที่ยวสำคัญของ Collalbo 


ดูจากเวลากับสภาพอากาศจึงกะไเดินเที่ยวแค่ 2 ที่คือ Piramidi di Terra หรือปิรามิดดินตามธรรมชาติและจุดชมวิว Il Corno del Renon สุดท้ายได้ไปที่แรกที่เดียว


เริ่มเดินเท้าไปยังปิรามิดดินผ่านเมือง Collalbo มีอาคารสวยๆ แบบเยอรมัน อากาศเย็นๆ คนน้อยๆ ดูสงบสุข


ใครจับมาปล่อยที่นี่คงไม่คิดว่าอยู่อิตาลี อาคารบ้านช่องก็แตกต่างไป ที่สำคัญภาษาหลักที่ใช้ก็ต่างกันด้วย


จะเดินตรงไปปิรามิดดินเลยก้ไม่ทำ กลัวจะใช้เวลาน้อยไป จึงเดินผ่าน Passagiata Fenn ซึ่งมีป้ายบอกหราว่ามีอายุ 100 ปีแล้ว


เป็นทางเดินเล่นที่ผ่านป่าแห่งหนึ่ง แต่คงเป็นที่นิยมมากจนต้องทำป้ายบอกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยว


ผมเดินไป 45 นาที ได้วิวหมู่บ้านในอ้อมกอดภูเขามาหลายใบ


เดินไปจนถึงจุดถ่ายรูปปิรามิดดิน และก็กะเดินต่อไปให้ถึงปิรามิด


อากาศในป่าก็หนาวเย็นครับ แต่ได้ใส่เสื้อผ้ารวมแล้วถึง 5 ชั้น แถมมีถุงมือกับหมวก จึงสามารถเดินไปได้โดยไม่รู้สึกหนาวอะไร


มีคนมาประดับต้นสนในป่าเป็นต้นคริสต์มาสด้วย ไอเดียน่ารักแถมไม่ทำลายธรรมชาติด้วย


ไม่นานหลังจากออกจากป่าผมเดินตามป้ายไปเรื่อยจนถึงปิรามิดดิน ซึ่งขอเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าคล้ายๆ แพะเมืองผีบ้านเรา แต่ไม่แน่ใจว่ามีจุดกำเนิดแบบเดียวกันหรือเปล่า


 ที่นี่เกิดจากหินถล่มลงมาบนดิน เมื่อเวลาผ่านไป แรงน้ำและลมเซาะทำให้หน้าดินค่อยๆ กร่อนไปจนเหลือเป็นปิรามิดทรงสูงอย่างที่เห็น หินบางก้อนที่ถล่มลงก็เลยค้างอยู่บนยอดปิรามิดพอดี 


ดูเหมือนอัญมณีประดับอยู่บนยอดมงกุฎตามจินตนาการของผม


ที่เก๋อย่างหนึ่ง คือ เขามีโปสการ์ดให้เขียนฟรี ระบุที่อยู่และหยอดลงตู้ จะมีไปรษณีย์มาเก็บและติดสแตมป์ส่งให้ถึงที่ รอดูว่าจะส่งไปถึงหรือเปล่า


ชมปิรามิดดินเสร็จผมน่าจะเดินไปแล้วเป็นระยะทางพอสมควร ขากลับจึงเดินไปรอรถเมล์อยู่พักใหญ่ๆ จนแน่ใจว่ารถน่าจะไม่มาง่ายๆ เนื่องจากเป็นวันคริสต์มาสอีฟจึงตัดสินใจเดินกลับทางเดิม หมดแรงและหิวข้าว แต่รอไปก็ไร้ประโยชน์ 


เดินมาไม่ทันถึงไหน ตัดสินใจแวะโรงแรมระหว่างทางที่ดูแล้วมีคนนั่งกินพอสมควร แม้จะไม่โปรดอาหารอิตาเลียน แต่หากจำเป็นต้องกินก็ขอเป็นร้านที่คนนิยม


ดูเมนูไม่ถึง 5 นาทีก็เรียกพนักงามาสั่งอาหารทันที ไม่อยากใช้เวลากับการกินมากไป ห่วงเที่ยวมากกว่าครับ


สั่งตับราดซอสแบบเวนิสเสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งอบกับสลัดผักสด และโค้ก 1 แก้วใหญ่ จ่ายค่าเสียหายไป 18 ยูโร 


ทั้งราคาและรสชาติรับได้ 


กลับมาถึงสถานีรถไฟ Collalbo รถไฟเข้ามาพอดีแต่ไม่ใช่รถไฟโบราณ โชคดีขามาได้นั่งแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งเสียดายแย่ 


กลับมาถึงเมือง Soprabolzano มีเวลาช่วงบ่ายเดินชมเมืองเขาอีกหน่อย 


ได้วิวสวยๆ มาพอสมควร โดยเฉพาะวิวภูเขายอดหิมะที่อยู่บนซองเวเฟอร์ Loacker ลูกนี้ ไม่รู้หลงใหลชอบใจอะไรนักหนา


ภาพนี้นึกถึงโลโกบริษัทหนัง Jerry Bruckheimer 


บ้านบางหลังติดป้ายห้ามนำสุนัขมาอึ น่ารักดี คนที่นี่นิยมเลี้ยงหมาและพาเดินเล่น แต่บางคนชอบเลี้ยงแต่ไม่ชอบเก็บขี้หมาตัวเอง บางทีเดินไม่ระวังเหยียบกันเละเทะไปหมด ติดป้ายบอกไว้ดีแล้ว 


ตอนบ่ายแก่ๆ นั่งกระเช้ากลับเมือง Bolzano กะเดินถ่ายรูปตลาดคริสต์มาสที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุโรปเสียหน่อย ปรากฏว่าตลาดปิดครับ 


มีเพียงสองวันที่ตลาดคริสต์มาสเขาจะปิดคือวันคริสต์มาสอีฟและวันคริสต์มาส 


ดันเป็นสองวันที่ผมอยู่ที่ Bolzano เสียด้วย แอบเครียดนิดนึง


แม้ตลาดตรงจัตุรัส Walther กลางเมืองไม่เปิด แต่หาความคึกคักได้ตามซอกซอยต่างๆ 


เต็มไปด้วยผับบาร์ที่มีวัยรุ่นมารวมตัวดื่มกินฉลองคริสต์มาสกัน


เป็นภาพที่น่าดูมากๆ คึกคักหนุกหนาน ได้บรรยากาศการเฉลิมฉลองขึ้นนิดนึง


บางร้านแต่งร้านน่ารักเลย


ผมเดินจนค่ำ จึงแวะนั่งดื่ม Vin Brule หรือไวน์ร้อนผสมผลไม้และน้ำตาลหอมหวานอร่อยแอลกอฮอล์ต่ำกับขนมไส้ช็อคโกแลตของประจำถิ่นแถบนี้ 


ดื่มไวน์ร้อนเป็นครั้งแรก อร่อยดีครับ เรียกว่าติดใจเลยดีกว่า ไม่มีรสฝาดของไวน์ หวานเหมือนน้ำสมุนไพร กินร้อนๆ ในช่วงอุณหภูมิต่ำๆ แบบนี้สุดยอด


ประทับใจเด็กหนุ่มโต๊ะข้างๆ ไม่ใช่ว่าหน้าตาดีอย่างเดียว ชอบตรงที่เขาสามารถพูดภาษาอิตาเลียนกับเยอรมันสลับกันไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว บางทีก็พูดผสมกัน คนชอบภาษาอย่างผมแอบประทับใจ เด็กโตมาแถบนี้คงพูดสองภาษาได้หมด ไม่ต้องนั่งท่องหนังสือกันเป็นเล่มๆ แต่ก็พูดไม่ได้สักทีเหมือนตอนผมเรียน


เป็นครั้งแรกที่ใช้บริการรถประจำทางตอนกลับโรงแรม หลีกเลี่ยงมาตลอดก่อนหน้านี้เพราะคิดว่าสภาพรถและการบริการจะเหมือนในโรม คือ รถสกปรก ขโมยเยอะ และไม่เคยตรงเวลา ปรากฏว่าตรงข้ามทุกอย่างเลยครับ รถสะอาด คนใช้บริการดูสุภาพ และเข้าป้ายตรงเวลาเป๊ะ เคยอ่านเจอในกูเกิลว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ประชากรมีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในอิตาลี แถมคนยังพูดกันว่าเพราะคนไม่ได้เป็นอิตาเลียนโดยกำเนิด จริงๆ เขาคือคนออสเตรียนพูดเยอรมัน แต่ดันถูกเฉือนให้เป็นดินแดนของอิตาลีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 


เหตุผลหลักที่เขาไม่คิดจะแบ่งแยกดินแดนหรือขอกลับไปรวมกับออสเตรียเหมือนสองสามจังหวัดในบ้านเรา เพราะอิตาลีเขาดูแลดี พร้อมให้สิทธิประโยชน์หลายอย่างที่คนอิตาลีในท้องที่อื่นๆ ไม่ได้รับ เขาว่างั้นนะ


วันที่สองเดินจากโรงแรมไปสถานีรถไฟ Bolzano ระหว่างเดินก็ตัดสินใจอยู่ว่าจะนั่งรถไฟไป Trento หรือ Merano ดี ทั้งสองเมืองห่างจาก Bolzano ประมาณ 30 นาที สุดท้ายตัดสินใจไป Merano ครับ เพราะคิดว่าน่าจะเอนจอยเมืองในหุบเขายอดหิมะมากกว่าเมืองที่มีโบสถ์โบราณ 


ค่ารถไฟไปกลับ Bolzano -  Merano 20 ยูโร แอบสงสับว่าแค่ 10 ยูโรหรือเปล่า เพราะพนักงานตรวจตั๋วทั้งขาไปและขากลับถามผมว่าเดินทาง 2 คนหรือเปล่า แต่ไม่น่าซื้อตั๋วผิด ตอนซื้อก็บอกคนขายเป็นภาษาอิตาเลียนดิบดีว่า 1 คนทั้งขาไปและกลับ 


รถไฟระหว่างเมืองหรือ regionale สะอาดใช้ได้เลย ห้องน้ำกว้างขวางกว่ารถไฟด่วนราคาแพงเสียอีก แต่จะสบายยังไงเดินทางแบบนี้ก็ต้องกอดกระเป๋าติดตัวตลอดเวลา ไม่ประมาทครับ


วิวระหว่างทางสวยครับ เขาประกาศสถานีชื่อเป็นภาษาอิตาเลียนและภาษาเยอรมันคู่กัน เหมือนป้ายโฆษณา ชื่อร้าน เมนูอาหาร ป้ายจราจร และทุกสิ่งอย่างในเมืองแถบชายแดนนี้จะทำเป็นสองภาษาหมด 


Merano เป็นเมืองเล็กๆ ห้อมล้อมด้วยภูเขาสูง 


เนื่องจากอากาศบริสุทธิ์มาก จึงเป็นเมืองสปาที่มีชื่อเสียงของอิตาลี 


ตั้งอยู่ในเขต South Tyrol เขตเดียวกับเมือง Bolzano ชื่อว่า South Tyrol แต่ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของอิตาลี


ผมเดินในเมือง Merano ในวันคริสต์มาสพอดี แม้เป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็มีผู้คนออกมาเดินเล่นชมเมืองกันพอสมควร


แต่คิดไปคิดมา หากจะใช้เวลาทั้งวันที่เมืองนี้คงเบื่อตายกันไปข้างหนึ่ง 


เลยกะนั่งรถเมล์ไปขึ้นกระเช้าชื่อว่า Merano 2000 ซึ่งผมเสิร์ชเจอในกูเกิลเดี๋ยวนั้นเอง เดินทางครั้งนี้ค้นพบว่าตัวเองชอบขึ้น funivia หรือกระเช้ามากๆ การชมวิวจากที่สูงมันเห็นอะไรดีๆ เกินกว่าที่เราจะเห็นได้จากพื้นราบ

รอรถเมล์นานผิดปกติ จึงมีลุงกับป้าแก่ๆ มาคุยด้วย ถามว่ายูจะไป Merano 2000 ด้วยหรือเปล่า แกรอรถเมล์กันมานานมากแล้วไม่มาสักที วันคริสต์มาสรถอาจไม่วิ่ง พอบอกว่าผมก็กำลังจะไป Merano 2000 เหมือนกัน แกก็เลยชวนนั่งแท็กซี่ 


ผมตกลงเรียกแท็กซี่ ไม่ไกลมากครับ 15 นาทีก็ถึง


พอลงรถแกบอกว่าจ่ายกันคนละครึ่งนะ ผมสตั๊นไปนิดนึง แกมากับเมียสองคน น่าจะหารสามส่วนแล้วแกต้องจ่ายสองส่วนถึงจะถูก ใครว่าฝรั่งแฟร์ ผมก็ไม่ว่ากระไรรับเงินแกมา 8 ยูโร ครึ่งหนึ่งของค่าแท็กซี่ และก็ไม่คุยกับคนทั้งสองอีกเลย


ค่าขึ้นกระเช้าไปกลับ 18.5 ยูโร ซึ่งตอนแรกคนขายคิดผม 37 ยูโร เพราะคิดว่าผมมาสองคน คงเพราะผมพยายามจะอธิบายว่า 2 ขา ทั้งขึ้นและลง เลยเป็นบทเรียนครับว่าไม่ต้องอธิบายว่าสองขาขึ้นและลง จะทำให้คนขายงงเสียเปล่าๆ 


กระเช้านี้ราคาแพงที่สุด คงเพราะสูงและระยะทางยาวที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับที่ผมเคยใช้บริการมา 


สูงและเสียวมากครับ โดยเฉพาะจังหวะที่เคลื่อนผ่านเสา กระเช้าจะโยกเยกอยู่พักหนึ่ง 


หันไปดูรอบตัวก็มีเพียงผมและลุงป้าคู่นั้นที่ต้องรีบหาที่ยึด คนอื่นๆ ที่แต่งตัวมาพร้อมเล่นสกีนั่งกันชิลมาก


มาถึงข้างบนก็เริ่มถ่ายรูปหิมะเลยครับ ไม่ต้องเลือกมุมมาก สูงขนาดนี้มุมไหนก็มีหิมะ 


มีอุปกรณ์เครื่องเล่น เครื่องอำนวยความสะดวกหลายอย่าง


เหมือนที่คนบอกว่าหิมะจริงๆ ไม่หนาว แถมข้างบนลมสงบมากครับ 


เมื่อถ่ายรูปจนพอใจแล้วจะกลับเลยก็กะไรอยู่ จึงเดินหาอะไรทำสนุกๆ บ้างก็เท่านั้น ตอนแรกกะปั้นตุ๊กตาหิมะ แต่ก็ไม่เห็นมีใครทำ


จากการสังเกตการณ์พบว่ามีกิจกรรม 2 แบบที่คนนิยมทำ คือ เล่นสกีกับลากเลื่อน สกีต้องมีการเรียนการสอนกันก่อน แต่ลากเลื่อนหรือ sled แลดูแล้วมีแต่เด็กๆ เล่นกัน ผมน่าสกิลในหิมะเท่ากับเด็กก็น่าจะเล่นได้ 


เพื่อความแน่ใจจึงได้สอบถามคนที่ดูเป็นผู้คงแก่เรียนว่า สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อนจะอันตรายหรือไม่ พี่แกตอบอย่างมั่นใจว่าไม่มีอะไรเลย มันไม่เร็ว เด็กๆ ก็เล่นได้ ยูก็ต้องเล่นได้ซิ มั่นใจขึ้นมาทันที 


สิ้นคำแนะนำนั้นผมก็บรรจงนั่งลงบนลากเลื่อนและค่อยๆ ถีบตัวออกไปตามทาง 


ตั้งแต่ออกตัวมาจนถึงจุดสิ้นสุดด้านล่าง ผมรับรองว่าทุกคนในละแวกนั้นจะต้องได้ยินเสียงกรี๊ดของผมตลอดทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 


บอกได้เลยว่าไม่ง่ายอย่างที่พี่แกบอก มีหลายจังหวะหลายโค้งที่ผมคิดว่าจะต้องแหกโค้งตกเขาแล้วแน่ๆ กลัวว่าถ้าหลุดโค้งออกไปจะมีใครรู้หรือเปล่า เบรกด้วยเท้า เกร็งหน้าท้องจนซิกแพ็คกลับมา การส่งเสียงกรี๊ดจึงเป็นการส่งสัญญาณที่ดีที่สุด 


หลังจากนั้นรีบกระโดดขึ้นกระเช้าลงจากเขามาอย่างเร็ว รู้สึกอับอายในสิ่งที่ได้ทำลงไป รอดมาได้ถือว่าเป็นประสบการณ์ แถมได้สกิลการเบรกการเลี้ยวมาบ้างแล้วคราวหน้าจะกล้าเล่นหรือเปล่ายังไม่แน่ใจ


กลับมาถึงเมือง Merano อีกครั้งตอนบ่ายครับ มีเวลาเดินชมเมืองสปาแห่งนี้อีกเป็นชั่วโมง 


ริมแม่น้ำ Passer ที่ไหลผ่านกลางเมืองเป็นจุดที่น่าเดินเล่นยามเย็นที่สุด


มีทั้งคนพาหมาเดิน และหมาพาคนเดิน


สถานที่สำคัญและท่องเที่ยวได้อื่นๆ ก็มีอยู่ครับ หากสนใจก็เดินตามป้ายบอกทางไปได้ อยู่ในระยะเดินถึงหมด อาจต้องมีขึ้นเนินบ้างเล็กน้อย


ผมมีโอกาสเดินไปเที่ยวอยู่สองสามที่ แต่ไม่ได้ติดใจอะไรเป็นพิเศษ คงเหนื่อยบวกหิว


เขามีประวัติความเป็นมาอยู่นะ แต่วันนี้ใช้ขาเดินมาเยอะมากแล้ว


ถ่ายรูปอีกหน่อยผมก็เดินตรงไปสถานีรถไฟเตรียมขึ้นรถกลับฐานที่เมือง Bolzano แล้วครับ หิวฝุดๆ เพราะวันนี้กินมาม่าดิบไปแค่ห่อเดียวตอนบ่ายสอง


มาถึง Bolzano ตอน 17.30 น. ระหว่างนั่งรถไฟก็นึกถึงอาหารสารพัดชนิด มาถึงเวลาไม่ค่อยดีนัก ร้านอาหารยังไม่เปิด มีร้านจีนร้านเดียวเท่านั้นที่เปิดตลอดเวลา แต่ต้องเดินไปอีกถึง 4 กม. ตัดสินใจเดินครับ ทั้งหิว ทั้งหนาว ทั้งเหนื่อย ทั้งล้า เริ่มดราม่าอีก....


เดินเข้าร้านสั่งอาหารพร้อมโค้ก 1 กระป๋องทันที อาหารมาเร็วตามปกติของร้านจีน แต่อาจเพราะหน้าผมบอกว่าหิวมาก เขาถึงทำเป็ดผัดผักราดข้าวมาให้จานเบ้อเร่อ หิวยังไงก็ทานไม่หมดครับ แอบเสียดายอาหารและสงสารเด็กแอฟริกา


หลังอาหารมื้อนี้ซึ่งต้องเดินไปหาร้านตั้ง 4 กม. แล้ว ขากลับเนื่องจากรถเมล์ขาดตอน ต้องเดินกลับโรงแรมกลางดึกคนเดียวอีกกี่ กม. ก็ไม่รู้ ไม่ไหวจะนับ ดีที่ถนนมีไฟยันโรงแรม ไม่มีแต่ก็คนเดินสวนนี่แหละ น่ากลัวจับใจ


ก่อนนอนคืนนี้ได้เช็คโปรแกรมนับก้าวเดิน ปรากฏว่าเดินไปกว่า 3 หมื่นก้าว ทุบทุกสถิติในรอบปีที่ผ่านมา ดัดขาและหลังพอให้คลายเมื่อยและหลับลงอย่างสบาย


เช้าวันรุ่งขึ้นเนื่องจากรถไฟกลับโรมออกห้าโมงเย็น ผมจึงมีเวลาเดินเล่นเตร็ดเตร่ในเมือง Bolzano อีกเกือบทั้งวัน 


ออกจากโรงแรมแต่เช้าเพื่อไปขึ้นกระเช้าสุดท้ายในเมืองนี้ ชื่อว่า Funivia del Colle เป็นกระเช้าเล็กๆ ดูไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น 


แต่จริงๆ แล้วมีความน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าเป็นกระเช้าขนคนที่แรกของโลก


ปรับปรุงมาหลายรอบแล้วตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง จนเมื่อปี 2006 ได้ปรับโฉมให้นั่งได้ 20 คนและไม่มีคนควบคุมภายในกระเช้า


ไม่มีคนเก็บเงินค่ากระเช้าด้านล่างด้วยครับ ต้องขึ้นไปก่อนและไปชำระเงินข้างบน ราคาถูกมาแค่ 4 ยูโร


เนื่องจากมีเวลาไม่เยอะ ผมจึงได้แค่สำรวจบริเวณรอบๆ สถานีกระเช้าเท่านั้น แต่ถือว่าเพียงพอแล้วครับ


โดยเฉพาะการได้ขึ้นหอชมวิวที่ทำจากไม้อายุไม่น้อยหอนี้


วิวร้อยล้านครับ น่าจะเป็นจุดชมวิวเมือง Bolzano ที่สวยที่สุดแล้วสำหรับผม 


คุ้มค่าราคา 4 ยูโรมาก


แดดเช้าวันนี้น่าจะเป็นแดดที่ดีที่สุดในทั้งสามวันของผม ยิ่งถ่ายรูปสวย ดีต่อใจ 


และจากจุดชมวิวบน Villa Colle นี่ล่ะครับ ผมส่องกล้องไปเห็นว่าตลาดคริสต์มาสที่ผมพลาดมา 2 วันได้เปิดทำการเป็นปกติแล้ว 


จึงรีบลงมาในเมืองเพื่อเก็บภาพร้านค้าในตลาดคริสต์มาส


ที่ใครต่อใครบอกว่าเป็นตลาดคริสต์มาสที่น่ารักที่สุดในยุโรป


ไม่เชื่อลองเสิร์ช Bolzano ในกูเกิลดู เจอภาพตลาดคริสต์มาสเป็นรูปแรกๆ เลย


สีสันสดใสดูเป็นเทศกาลคริสต์มาสดีอยู่ แต่ของแทบซื้อไม่ได้เลย 


เพราะส่วนใหญ่เป็นของประดับบ้านหรือต้นคริสต์มาสซึ่งที่บ้านไม่มีสักต้น 


งานนี้เดินถ่ายรูปอย่างเดียวจริงๆ


ได้ทดลองกิน Gulasch Soup ร้อนๆ 1 ถ้วยช่วยบรรเทาความหิว แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมากินมาม่าต้มใส่ไข่ตอนกลับถึงบ้านที่โรมอยู่ดี ช่วงคริสมาสต์กินมาม่าทั้งดิบและสุกไม่ต่ำกว่า 5 ห่อ เดี๋ยวรอตรวจเลือดก็รู้ว่าค่าไตพังไปแค่ไหนแล้ว

จบทริปสามคืนสามวันแบบเล่นเองเจ็บเองคนเดียว ปวดขาคนเดียว นั่งรถไฟคนเดียว ถ่ายรูปคนเดียว ดราม่าคนเดียว แต่รูปสวยๆ กับระยะเดินเก๋ๆ ที่ได้มาถือว่าไม่ขาดทุน แถมได้มานั่งเขียนบล็อกช่วงหยุดปีใหม่ได้อีก 1 บล็อก 





Create Date : 01 มกราคม 2560
Last Update : 2 เมษายน 2561 2:15:51 น. 0 comments
Counter : 2406 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Thaisoloclub
Location :
Rome Italy

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




Friends' blogs
[Add Thaisoloclub's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.