<<
ตุลาคม 2558
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
26 ตุลาคม 2558

**กว่าจะเป็นพวกเธอในวันนี้ (The sperm's story) บทที่ 12..สโมสรสุขารมณ์**

บทที่12

สโมสรสุขารมณ์

ะหว่างที่สเปิร์มพิณกำลังพักฟื้นอยู่นั้นคุณครูบาลเฮดกับทีมกู้ชีพก็กำลังวางแผนที่จะเข้าไปช่วยสเปิร์มจิงออกมาเป็นรายต่อไป

“ข้างในมืดตื๋อและเฉอะแฉะจิงอาจอยู่ลึกลงไปอีกซึ่งฉันเข้าไปไม่ถึงจึงต้องเอาพิณออกมาก่อน” สเปิร์มปันบอกเล่าเรื่องราวที่ประสบมาในท้องของกัปตันแบ็คให้ทีมกู้ชีพฟัง

ไม่มีใครตำหนิสเปิร์มปันที่ช่วยสเปิร์มพิณออกมาก่อนเพราะเข้าใจในสถานการณ์ดี มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยสเปิร์มทั้งสองตัวออกมาได้ในขณะเดียวกันอยู่แล้วดังนั้น ตัวที่มีโอกาสมากกว่าย่อมเป็นทางเลือกลำดับแรก

“แสดงว่าจิงอาจอยู่ในกระบวนการย่อยสลายแล้วขณะที่พิณรอเป็นคิวถัดไป” คุณครูบาลเฮดกล่าวในวงล้อมของทีมกู้ชีพ

“คุณครูหมายความว่าจิงจะไม่รอดหรือคะ” สเปิร์มไข่มุกถามตรงๆ

คุณครูบาลเฮดไม่ได้ตอบอะไรแต่แววตาของเขามันฟ้องถึงความหวังอันเลือนราง

“ยังไงๆเราก็จะต้องเอาเธอออกมา” คุณครูบาลเฮดกล่าวเพียงแค่นั้น

“ฉันจะเข้าไปอีกที” สเปิร์มปันขันอาสาอีกครั้ง

“อย่าดีกว่า..เธอยังไม่อยู่ในสภาพ..” คุณครูบาลเฮดทักท้วง

“ให้ผมทำภารกิจนี้ให้จบเถอะครับมันคาใจผมอยู่ และคงไม่มีใครรู้จักเครื่องในของกัปตันแบ็คดีเท่าผมหรอก” สเปิร์มปันยืนยัน ในที่ประชุมไม่มีใครคัดค้านความเห็นของเขาอีก

สเปิร์มปันมุดศีรษะเข้าไปในท้องของกัปตันแบ็คอีกครั้งท่ามกลางกองเชียร์ที่ลุ้นเอาใจช่วยเหมือนอย่างเคยแต่ครั้งนี้มีหลายเสียงที่ซาบซึ้งในความพยายามของเขาและอีกหลายเสียงที่ไม่อยากให้เขากลับเข้าไปอีกครั้ง

“เขาต้องทำ..คงมีแต่เขาเท่านั้นที่เข้าไปแล้วมีโอกาสกลับออกมาได้มากกว่าตัวอื่น” สเปิร์มคำนวณกล่าวกับเพื่อนสเปิร์มหลังจากคำนวณทุกอย่างโดยถี่ถ้วนแล้ว

สปิร์มกู้ชีพทุกตัวประจำในตำแหน่งเดิมทั้งหมดรวมทั้งผู้ที่แหย่หางเข้าไปในปากของกัปตันแบ็คเพื่อรอเกี่ยวหางของสเปิร์มปันก็ยังคงเป็นคุณครูบาลเฮด

การปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้ใช้เวลานานเหมือนครั้งแรกเมื่อคุณครูบาลเฮดให้สัญญาณดึงก็สามารถดึงร่างของสเปิร์มปันออกมาได้ไม่ยากไม่มีสเปิร์มในทีมกู้ชีพสักตัวเดียวที่ต้องกระเด็นตกลงไปนอนก้นจ้ำเบ้าอีก

สเปิร์มปันหลุดออกมาในสภาพที่เปรอะเปื้อนเหมือนเดิมแต่กระฉับกระเฉงกว่าเดิมที่ปากของเขาคาบออกมาเป็นร่างของสเปิร์มจิงอย่างแน่นอนเพียงแต่ออกมาไม่ครบทั้งตัวเท่านั้น

เมื่อสเปิร์มในทีมกู้ชีพวางร่างที่เหลือแต่ศีรษะและลำตัวที่บุบสลายจนแทบจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ลงบนพื้น สเปิร์มมุงทั้งหลายก็พากันเบือนหน้าหนีไปทางอื่นกว่าครึ่งหนึ่งหันหลังกลับเพื่อไปหาสถานที่สงบอารมณ์ ไม่มีใครอยากมุงดูเหตุการณ์อีกต่อไปแล้ว

............................................................

พิธีไว้อาลัยร่างของสเปิร์มจิงจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายโดยคุณครูบาลเฮดเป็นผู้กล่าวนำคำไว้อาลัยและส่งดวงวิญญาณของสเปิร์มจิงไปเกิดใหม่ตามความเชื่อของเหล่าสเปิร์มหลังจากนั้นก็ใช้สเปิร์ม 4 ตัวยกร่างของเธอขึ้นเหนือศีรษะแล้วโยนลงไปในน้ำทางกราบเรือด้านหนึ่ง

ส่วนศพของกัปตันแบ็คยังคงปล่อยไว้บนเรือแต่ลากไปพิงไว้ข้างห้องกระจกทางตอนท้ายของเรือเหตุที่ไม่ทิ้งศพลงไปในน้ำเพราะคุณครูบาลเฮดรู้ดีว่าการตายของเจ้าหน้าที่ตัวหนึ่งของโรงเรียนจะต้องมีการสืบสาวราวเรื่องหลังจากนี้ สภาพศพถือเป็นหลักฐานสำคัญในการชี้ผลของคดี การโยนศพทิ้งน้ำถือเป็นการทำลายหลักฐานซึ่งจะกลายเป็นโทษอีกกระทงหนึ่ง

คุณครูบาลเฮดต้องทำหน้าที่กัปตันเรือจำเป็นโดยขอให้สเปิร์มปันทำหน้าที่ผู้ช่วยกัปตันเพื่อให้การลำเลียงสเปิร์มครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปตามกำหนดการ

เนื่องจากไม่เคยขับเรือกันมาก่อนการลองผิดลองถูกในห้องบังคับการจึงเกิดขึ้น

“เหวอ..อ..!”

พอกดปุ่มเดินเครื่องก็ทำเอาสเปิร์มอ้าปากหวอและอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนกกันทั้งลำเรือเมื่อเรือพุ่งออกไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวและทำท่าจะแหกโค้ง

“เอ่อ..เฮ้อ..อ..”

แต่แล้วสเปิร์มบนเรือก็ถอนหายใจยาวๆอย่างโล่งอกเมื่อทั้งกัปตันและผู้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ที่หัวเรือเกือบหลุดโค้งได้อย่างหวุดหวิด

..การเรียนรู้ภาคปฏิบัติโดยเริ่มต้นด้วยความผิดพลาดนั้นเป็นความเสี่ยงอย่างมหันต์แต่เมื่อนำความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาปรับปรุงแก้ไขได้แล้ว ก็สามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าในการปฏิบัติครั้งต่อไปได้..

สเปิร์มทั้งสองได้ค้นพบวิธีการบังคับเรือให้แล่นไปข้างหน้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวได้ในที่สุดแม้ความชำนาญการจะมาทีหลังแต่ความปลอดภัยของผู้โดยสารจะต้องมาก่อนเสมอ ดังนั้นเรือหัวกระสุนจึงแล่นอย่างประคองตัวไม่อาจแล่นอย่างหวือหวาเหมือนกรณีของกัปตันแบ็คได้

พอเรือแล่นผ่านทางโค้งที่ยาวใหญ่เหมือนขับอ้อมขุนเขาออกมาได้แล้วเบื้องหน้าก็เป็นเวิ้งน้ำกว้างใหญ่ที่มองไปทางไหนก็ไม่พบขอบตลิ่งสักแห่ง

“ไปไหนต่อล่ะทีนี้” สเปิร์มปันเปรยขึ้นมาการเดินเรือที่ไม่มีขอบตลิ่งสองข้างทางคอยกำกับอาจทำให้หลงทางอยู่ในเวิ้งน้ำที่มีแต่ความมืดมิดแห่งนี้ได้

“เห็นดวงไฟสีแดงที่กระพริบเหนือขอบน้ำข้างหน้าไหมเราจะมุ่งไปทางนั้น” คุณครูบาลเฮดชี้ให้ดูแสงไฟสีแดงที่ลอยอยู่บนขอบน้ำด้านหน้าอันเป็นสัญญาณเดียวที่ใช้เป็นเครื่องนำทางได้

เมื่อเห็นว่าเส้นทางข้างหน้าสะดวกและราบรื่นอีกทั้งจุดหมายยังอยู่ห่างไกลนัก คุณครูบาลเฮดจึงเร่งความเร็วขึ้นไปอีกจนเต็มสปีดเพียงพริบตาเดียวก็เห็นดวงไฟสีแดงใกล้เข้ามาอย่างเด่นชัด นอกจากนี้ยังมีไฟดวงเล็กๆที่ส่องแสงสีเหลืองเรียงตัวกันเป็นพรืดโผล่ขึ้นมาจากขอบน้ำข้างหน้าด้วย

“ไชโย..ไชโย..! เรามาถึงฐานทัพแล้ว” สเปิร์มที่อยู่ทางหัวเรือได้เห็นและตะโกนขึ้นก่อน ตามด้วยเสียงเฮจากสเปิร์มกลุ่มถัดๆมา

แต่ยังมีสเปิร์มอีกจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกมากกว่า

“ทางนี้..ทางนี้เรือที่กำลังแล่นเข้ามาให้ชิดซ้ายขนาบกับชายฝั่งด้วย”

เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่การท่าผ่านลำโพงขยายเสียงดังขึ้นมาเมื่อเห็นเรือหัวกระสุนส่ายหัวเรือไปมาเหมือนไม่รู้ทิศทาง

“ฉันพอจะขับเรือให้มันแล่นได้แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้มันหยุดได้อย่างไร” คุณครูบาลเฮดสารภาพพร้อมส่ายศีรษะไปมา เมื่อถอนคันเร่งแล้วเรือหัวกระสุนก็ลดความเร็วลงเป็นลำดับแต่ไม่สามารถหยุดในทันทีได้แม้เขาจะพยายามไล่ปุ่มต่างๆ บนแผงควบคุมที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ตามแต่ก็ไม่พบว่ามีปุ่มไหนสามารถหยุดเรือลงได้

“คุณครูครับระวัง..เรือกำลังจะชน” สเปิร์มปันที่นั่งอยู่เคียงข้างส่งเสียงเตือนเมื่อเห็นหัวเรือส่ายไปมาและกำลังแล่นเข้าหาท่าเทียบเรือโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้

“ฉันรู้..ฉันรู้แต่..ทำอย่างไรล่ะ มันไม่มีปุ่มเบรค” คุณครูบาลเฮดเสียงกระเส่าส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา

“ใครก็ได้ช่วยตะโกนต่อที..หาเบรคไม่เจอไม่รู้เบรคอยู่ตรงไหน” สเปิร์มปันตัดสินใจเปิดประตูห้องกระจกออกแล้วตะโกนออกไปหวังให้เพื่อนๆ ช่วยกันส่งเสียงถามไปยังหอบังคับการที่อยู่อีกไม่ไกลจากนี้แล้ว

“ซวยล่ะสิ..หยุดเรือไม่ได้” สเปิร์มบนเรือพอได้ยินเสียงตะโกนก็ถึงกับนั่งไม่ติดพากันลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนต่อทันที

“ช่วยด้วย..!” “หาเบรคไม่เจอ” “หยุดเรือไม่ได้”

อารามตกใจทำให้สเปิร์มตะโกนกันไปตัวละทีสองทีกลายเป็นเสียงโหวกเหวกที่จับใจความได้ยากเจ้าหน้าที่บนท่าเทียบเรือเห็นแต่ศีรษะของสเปิร์มผลุบๆ โผล่ๆกับเสียงร้องลั่นก็พอจะรู้ว่าเกิดปัญหาขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปัญหาอะไร

“อะไรนะ..! ทางเราไม่ได้ยิน..! มีไมโครโฟนแขวนอยู่ใต้เก้าอี้กัปตันทำไมไม่ใช้ล่ะ”

เสียงประกาศผ่านลำโพงของเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนหอสังเกตการณ์ดังขึ้นมาอีกครั้งเตือนสติให้กัปตันจำเป็นและผู้ช่วยระลึกได้ว่าเคยได้ยินกัปตันแบ็คใช้พูดผ่านลำโพงก่อนหน้านี้ สเปิร์มปันจึงรีบก้มลงไปดูที่ใต้เก้าอี้ที่คุณครูบาลเฮดนั่งอยู่เห็นไมโครโฟนเป็นรูปหัวจุกกลมๆ มีด้ามจับ ที่ก้นของมันมีสายยืดได้หดได้เป็นขดสปริงแขวนอยู่ที่ขอเกี่ยวใต้เบาะรองนั่งจึงรีบหยิบออกมาทันที

“เจอมั้ย..เจอมั้ย..!”

คุณครูบาลเฮดถามโดยที่หางยังกำพวงมาลัยไว้แน่นสายตามิได้ละไปจากภาพเบื้องหน้าเลย ขณะที่สเปิร์มปันก็กำไมโครโฟนไว้ด้วยปลายหางที่สั่นเทายังนึกไม่ออกว่าต้องทำอย่างไรมันจึงจะพูดกระจายเสียงได้เมื่อมองไปที่ใต้หัวจุกกลมๆ ก็เห็นมีปุ่มเล็กๆ อยู่สองปุ่ม สีดำกับสีแดงในเสี้ยววินาทีนั้น สเปิร์มปันรู้อยู่แก่ใจว่า เขาไม่เหลือเวลาให้ตอบคำถามของกัปตันหรือศึกษาวิธีการใช้งานเจ้าวัตถุรูปร่างประหลาดตัวนี้อีกแล้วจึงตัดสินใจกดปุ่มสีดำแล้วหันไปทางท่าเรือ

“เราหยุดไม่ได้..เราไม่รู้ว่าเบรกอยู่ไหน..เอ..เสียงออกหรือเปล่าหว่า?”

แม้เจ้าตัวจะยังไม่แน่ใจแต่ทุกคำพูดของสเปิร์มปันดังกระหึ่มออกมาทางลำโพงที่เสากระโดงเรือเมื่อเห็นสเปิร์มทั้งหลายกระโดดโลดเต้นและปรบหางลงกับพื้น สเปิร์มปันจึงเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งใจ

“อ้าว..แล้วกันเบรคก็อยู่บนศีรษะของกัปตันไง มีห่วงกลมๆ อยู่ ไม่เห็นรึ..ให้ดึงลงมา....เบาๆ นะ”

น้ำเสียงเจ้าหน้าที่บนหอสังเกตการณ์การท่าแสดงความแปลกใจไม่น้อยที่กัปตันเรือไม่รู้ว่าจะดึงเบรคได้จากตรงไหน เรือยังคงแล่นเข้าหาท่าเทียบโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเมื่อใดทำเอาเจ้าหน้าที่หลายนายที่ยืนรออยู่บนท่าเทียบเห็นท่าไม่ดีต่างวิ่งหนีกันอลหม่าน

คุณครูบาลเฮดละสายตาจากแผงควบคุมที่อยู่ตรงหน้าแล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบนเห็นห่วงกลมๆ ห้อยลงมาจากเพดานจึงรีบตวัดหางรัดเอาไว้แล้วดึงลงมาอย่างแรง

“เหวอ..อ..อ..อ..!”

สเปิร์มทั้งลำเรือตาลุกโพลงพร้อมกับอ้าปากค้างเหมือนกันหมดเมื่อเรือที่แล่นมาอยู่ดีๆก็หยุดกึกเหมือนสะดุดเข้ากับตอไม้ขนาดใหญ่ ทำให้สเปิร์มหัวคะมำไปข้างหน้าและไหลไปกองทับกันเป็นภูเขาอยู่ทางหัวเรือหมด

“ก็บอกแล้วไง..ให้ดึงเบาๆ”

“อุ๊บ..! ขอโทษทีฉันดึงแรงไปหน่อย” คุณครูบาลเฮดตกใจไม่น้อยกับผลงานที่เห็นเป็นกองภูเขาอยู่ตรงหน้า

“แต่..ในที่สุดเรือก็หยุดสนิทดีไม่ใช่หรือ” แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองด้วยรอยยิ้ม

เรือหัวกระสุนจอดเทียบอยู่บริเวณตอนกลางของท่าเทียบซึ่งคะเนด้วยสายตาว่าสามารถใช้จอดเรือขนาดเดียวกันได้นับสิบลำอย่างสบาย

เมื่อเห็นว่าเรือนิ่งสนิทดีแล้วเจ้าหน้าที่การท่าที่มีลำตัวแบนเหมือนสายริบบิ้นที่ม้วนจนเป็นเกลียวที่ตรงเส้นแบ่งระหว่างใบหน้ากับลำตัวมีสายเนคไทสีฟ้าห้อยลงมาโดยไม่ปรากฏว่ามีลำคอนายหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนกราบเรือพร้อมเชือกเกลียวเส้นเขื่องเพื่อคล้องเรือเอาไว้กับหลักริมท่าน้ำหลังจากนั้นจึงเคลื่อนตัวไปยังห้องควบคุมที่ท้ายเรือด้วยการขดและยืดลำตัวออกหลายครั้งท่ามกลางสายตาของสเปิร์มที่หยุดมองอย่างสนเท่ห์

“คุณมาช้าไปสิบห้านาทีเกิดอะไรขึ้น..อ้าว เอ๊ะ..!” นายท่าผู้นั้นแสดงความประหลาดใจที่เห็นสเปิร์มสองตัวอยู่ในห้องควบคุมแทนที่จะเป็นกัปตันแบ็คเหมือนเช่นเคย

“พวกเรามีปัญหากับกัปตันแบ็คนิดหน่อย” คุณครูบาลเฮดตอบพลางยักไหล่ราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย

“อ้าว..นี่คุณครูบาลเฮดนี่นา..แล้วกัปตันตัวจริงไปไหนล่ะ” นายท่านายนั้นชะโงกศีรษะมองข้ามคุณครูบาลเฮดเข้าไปในห้องกระจกก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

“กัปตันแบ็คป่วยนิดหน่อย” คุณครูบาลเฮดพยายามยิ้มกลบเกลื่อน

“นี่คงไม่นิดล่ะมั้ง..อาการปางตายเลยเชียวล่ะ” เจ้าหน้าที่อีกนายหนึ่งที่ตามขึ้นเรือมาไล่ๆ กันส่งเสียงมาจากบริเวณที่ร่างของกัปตันแบ็คนอนอยู่

“เรือเสียหายเยอะพอสมควรเลยครับเราพบรูรั่วที่พื้นเรือแล้วยังมีรอยถลอกที่หัวเรืออีกหลายแห่ง” เจ้าหน้าที่การท่าที่เป็นนายช่างเดินสำรวจรอบลำเรือแล้วกลับมารายงานให้นายท่าที่เป็นหัวหน้าทราบ

“ดีเท่าไหร่แล้วที่เสียหายแค่นั้นน่ะ..โธ่..นี่เพิ่งขับครั้งแรกนะไม่ใช่กัปตันอาชีพนี่หว่า” คุณครูบาลเฮดกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านทำตัวให้เหมือนกับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมิได้เป็นความผิดใหญ่หลวงอะไร

“แล้วใครทำร้ายกัปตันแบ็คล่ะ” นายท่าตั้งคำถามอีก คราวนี้คุณครูบาลเฮดไม่ได้ตอบว่ากระไรแค่เลิกหัวคิ้วขึ้นประหนึ่งเพิ่งรู้ว่ากัปตันแบ็คอาการสาหัส




Create Date : 26 ตุลาคม 2558
Last Update : 26 ตุลาคม 2558 8:42:45 น. 3 comments
Counter : 671 Pageviews.  

 
เจ้าหน้าที่การท่าหันมามองหน้าสเปิร์มปันที่ยืนอยู่ข้างๆ คุณครูบาลเฮดแทนแต่ก็พบเพียงรอยยิ้มที่ประหนึ่งว่าใสซื่อบริสุทธิ์เท่านั้น
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครยอมปริปากและก็ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของเจ้าหน้าที่การท่าในการสอบสวนเอาผิด นายท่าเลยกล่าวตัดบท

“งั้นเชิญไปพักผ่อนด้านในก็แล้วกัน มีอาหาร เครื่องดื่มและสิ่งบำเรอความสุขไว้รอต้อนรับเสปิร์มที่มาถึงอย่างครบครัน เรื่องเรือนี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราจัดการซ่อมแซมก็แล้วกัน”

“เย้..! ได้เวลาอาหารอีกแล้ว..ซู้ด..ด” พอได้ยินว่ามีอาหารคอยต้อนรับ สเปิร์มหม่ำก็ร้องออกมาทันที ทำให้บรรยากาศบนดาดฟ้าเรือเปลี่ยนไป สเปิร์มทุกตัวหันไปใส่ใจเรื่องอาหารกันหมด

“สิ่งบำเรอความสุขเหรอ..เอ่อ..มันมีอยู่ในสารบบด้วยเหรอเนี่ย” สเปิร์มปันแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ที่ผ่านมาสเปิร์มมีแต่เผชิญกับความทุกข์ยากทุกรูปแบบ เหตุใดภารกิจนี้จึงกลายมาเป็นปรนเปรอกันอย่างเต็มที่

“พวกเธอถือว่าจบการศึกษาได้เป็นบัณฑิตแล้ว จากนี้ไปต้องใช้ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาทำงานตอบแทนโรงเรียนบ้าง ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่จะมอบให้นี้ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนที่ทางโรงเรียนขอมอบให้..เป็นครั้งสุดท้าย” นายท่ากล่าวแบบหน้าตาย แต่เหล่าสเปิร์มฟังแล้วสะอึกกันถ้วนหน้า

“เป็นครั้งสุดท้าย..?” สเปิร์มไข่มุกไม่มีคำถามจะถาม ได้แต่ทวนคำพูดท้ายประโยคแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ความหิวกระหายเมื่อสักครู่อันตรธานไปสิ้น

หลังจากนั้น สเปิร์มทั้งหมดก็เข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อเลื้อยข้ามสะพานไม้ชั่วคราวที่ทอดมายังกราบเรือ เมื่อขึ้นฝั่งได้แล้วก็ยืนเรียงแถวหน้ากระดานขนานไปตามความยาวของท่าเรือ โดยมีเจ้าหน้าที่การท่าอีกนายหนึ่งคอยให้การต้อนรับอยู่ที่ด้านหน้าอาคารที่เป็นตึกสูงสองชั้น มีความยาวไปจนสุดท่าเทียบเรือ ชั้นล่างมีลักษณะเป็นครึ่งทึบครึ่งกระจกมีเว้นแต่เฉพาะส่วนตรงกลางที่เป็นประตูเข้าออก ส่วนที่เป็นกระจกอยู่ทางครึ่งบนนั้นเป็นสีชาดำมืดทึบ มองไม่เห็นว่าด้านในเป็นอะไร ส่วนชั้นที่สองของอาคารซึ่งมีขนาดความยาวเป็นครึ่งหนึ่งของชั้นล่างรูปทรงกลมขนาดใหญ่มีหน้าต่างเป็นกระจกสีชาดำที่ซอยเป็นขนาดเท่าๆ กันตลอดทั้งชั้น บนดาดฟ้าของชั้นที่สองนี้มีหอคอยติดตั้งอยู่ ที่ฐานของหอคอยติดตั้งจานรับสัญญาณรูปทรงกลมไว้ทั้งสี่ทิศทาง ขณะที่บนยอดหอคอยมีไฟส่งสัญญาณสีแดงที่หมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไฟดวงนี้เป็นดวงเดียวกับที่สเปิร์มบนเรือหัวกระสุนเห็นได้ในระยะไกล

เมื่อเช็คจำนวนสเปิร์มที่เลื้อยลงจากสะพานได้ครบตามจำนวนที่ปรากฏบนนาฬิกาบอกจำนวนนับในมือแล้ว เจ้าหน้าที่การท่าคนใหม่ก็ชูธงสีฟ้าขึ้นเหนือศีรษะแล้วโบกไปมาเป็นสัญญาณให้สเปิร์มทุกตัวหันมาให้ความสนใจ

“สวัสดีสเปิร์มทุกๆ ตัว ฉันชื่อ จิม เป็นไกด์ของที่นี่ ทำหน้าที่แนะนำพวกเธอให้รู้จักการใช้ชีวิตใน..สโมสรสุขารมณ์..ของฐานยิงจรวดแห่งนี้” เจ้าหน้าที่การท่าที่มีลำตัวหมุนวนเป็นเกลียวเหมือนกับเครื่องหมายที่ติดอยู่หน้าร้านตัดผมกล่าวแนะนำตัวผ่านโทรโข่งพร้อมกับโบกธงที่ถืออยู่ผ่านลำตัวในขณะที่โค้งศีรษะลงเป็นการคำนับทีหนึ่ง

สเปิร์มทั้งหมดตอบรับการคำนับด้วยการเอาหางตบกับพื้นอย่างพร้อมเพรียง

“จุดที่พวกเธอยืนอยู่นี้คือทางเข้าสโมสรในฐานยิงจรวด เมื่อเข้าไปแล้ว สเปิร์มจะกลับออกมาอีกไม่ได้ ทุกตัวจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในสโมสรแห่งนี้จนกว่าจะถึงเวลาปฏิบัติภารกิจ” เจ้าหน้าที่จิมกล่าวเสียงดังฟังชัด ทุกถ้อยคำมีน้ำหนักในน้ำเสียงชวนให้สนใจสมกับที่เป็นไกด์อาชีพ

“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เมื่อไรจึงจะถึงเวลาปฏิบัติภารกิจคะ” สเปิร์มไข่มุกที่เบียดตัวเองขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าได้สำเร็จชิงถามทันที

“เห็นจานกลมๆ บนหอคอยนั่นไหม นั่นคือ จานที่รับสัญญาณจากไขสันหลังว่ามีการตื่นตัวขององคชาตเกิดขึ้น จากนั้น สเปิร์มจำนวน 10 ลำเรือซึ่งถือเป็น 1 กองเรือ จะถูกเรียกเข้าประจำการและส่งไปบรรจุที่ฐานยิงจรวด ขณะที่อีก 10 ลำต่อมา..และต่อๆ มา จะอยู่ในฐานเฝ้าระวัง หากมีการยิงออกไปจริงๆ อาจต้องใช้เรือกระสุนถึง 10 กองเรือก็เป็นได้”

“เรือลำที่ลำเลียงเรามานั่นหรือครับ” สเปิร์มปีนถาม

“ไม่เหมือนนัก เพราะเรือหัวกระสุนชนิดนี้จะผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่เบากว่าเพื่อให้มันสามารถพุ่งไปได้ไกลที่สุดและแตกสลายไปในทันทีที่ตกลงสู่พื้น นอกจากนี้มันยังไม่มีเครื่องยนต์และไม่จำเป็นต้องมีกัปตันเรือคอยควบคุม เรือหัวกระสุนลำหนึ่งจะบรรจุสเปิร์มได้ 1 ล้านตัวโดยประมาณ หนึ่งกองเรือก็จะได้สเปิร์ม 10 ล้านตัว”

“อู้ฮู..! ถ้าสิบกองเรือ..ก็เท่ากับ 100 ล้านตัวน่ะสิ” สเปิร์มคำนวณคูณเลขในใจอย่างรวดเร็ว

“ใช่แล้ว..ถ้ายิงแบบหมดแม็กอาจมากกว่านั้นอีก หากสเปิร์มลงเรือไปแล้วเราพยายามจะยิงออกไปให้หมด ไม่ให้มีกระสุนค้างอยู่ในลำกล้อง” เจ้าหน้าที่จิมพูดถึงการยิงเรือหัวกระสุนที่บรรจุสเปิร์มราวกับการยิงปืนจริงๆ

“ในฐานทัพนี่บรรจุสเปิร์มได้เท่าไรหรือครับ” สเปิร์มโดโด้ถามบ้าง

“ถ้าไม่มีการยิงกระสุนออกไปเลยในรอบหนึ่งสัปดาห์ก็อาจมีสเปิร์มอยู่ถึง 500 ล้านตัว แต่ส่วนมากร่างกายจะกำจัดไปเสียก่อนที่จะถึงระดับนั้น ด้วยระบบ..”

“ฉี ด ทิ้ ง” สเปิร์มจ๊วบโพล่งขึ้นมาก่อนที่จิมจะกล่าวจบ สเปิร์มที่อยู่รอบข้างต่างหันไปมองหน้าเขาเป็นตาเดียวทำให้สเปิร์มจ๊วบทำหน้าเหรอหรา

“อ้าว..มองอะไร ฉันพูดอะไรผิดเหรอ” สเปิร์มจ๊วบโต้กลับสายตาทุกคู่ที่จ้องมาราวกับเขาเป็นจำเลยในคดีอุกฉกรรจ์

เรื่องระบบฉีดทิ้งนี้ สเปิร์มทุกตัวจำได้มั่นฝังใจเพียงแต่ได้ยินพวกเดียวกันพูดถึงทีไรก็ทำให้เสียอารมณ์อันสุนทรีทุกทีไป

“ใช่..ใช่แล้ว ร่างกายต้องหาทางกำจัดทิ้งด้วยวิธีการทางธรรมชาติวิธีใดวิธีหนึ่ง” เจ้าหน้าที่จิมออกมากล่าวหนุนสเปิร์มจ๊วบไว้ได้ทันเวลา บรรยากาศจึงผ่อนคลายลงไป

“เอาล่ะ..เอาล่ะ พวกเธอคงอยากพักผ่อนเอาแรงกันแล้ว ตามฉันเข้ามาข้างในได้เลย มีอะไรสนุกๆ จะแนะนำอีกเยอะ” เจ้าหน้าที่จิมกล่าวตัดบทแล้วหมุนคอกลับหลังหันไปที่ประตูทางเข้า จากนั้นก็ยืดตัวออกไปใช้ปลายนิ้วมือเอื้อมไปแตะปุ่มสีเขียวที่ด้านข้างโดยที่ลำตัวของเขายังยืนอยู่กับที่เรียกเสียงฮือฮาจากสเปิร์มได้อย่างมากมาย
ประตูไฟฟ้าเริ่มต้นทำงานทันทีที่ได้รับคำสั่งให้เปิดออก บานประตูขนาดยักษ์เลื่อนตัวออกไปด้านข้างอย่างช้าๆ ไม่ทันใจเหล่าสเปิร์มที่เอียงคอชะแง้ดูว่ามีอะไรอยู่ด้านใน

“โอ้ว..ว้าว เขาทำได้ยังไงน่ะ” สเปิร์มปันส่งเสียงร้องขึ้นอย่างตื่นตาตื่นใจ

“ทำอะไร..? เปิดประตูเหรอ..ระบบอัตโนมัติไง” สเปิร์มพิณกล่าวในทันใด

“ไม่ใช่..หันหน้ากลับไปด้านหลังโดยไม่ต้องขยับตัวน่ะ” สเปิร์มปันนึกถึงภาพที่เจ้าหน้าที่จิมหมุนหน้ากลับไปทางตรงข้ามโดยที่ลำตัวยังอยู่ที่เดิมแล้วอดเสียวบั้นเอวขึ้นมาไม่ได้

“ฮิ..ฮิ นึกว่าอะไรซะอีก ก็..ลำตัวขดเป็นวงอย่างนี้ จะหันกี่รอบก็ได้” สเปิร์มพิณนึกขำที่ความรู้สึกของสเปิร์มปันเกิดช้าเสียเหลือเกิน ในขณะที่เธอเลยไปสนใจประตูเลื่อนมากกว่าแล้ว

“ถ้าฉันหมุนได้ครบรอบก็คงเอวขาดไปแล้ว” สเปิร์มปันกล่าวพลางทดลองหมุนเอวไปจนติดแหง็กอยู่แค่ครึ่งรอบ

“ตลกจัง..เอวของเธอทำได้แค่เอี้ยวน่ะ” สเปิร์มพิณเห็นเป็นง่ายจึงทดลองทำอย่างเดียวกัน ปรากฏว่าหมุนเอวได้ไม่ถึงครึ่งรอบก็ติดพุงเสียแล้ว ทั้งสองจึงหัวเราะใส่กันอย่างสนุกสนานก่อนจะหันไปสนใจคำแนะนำของเจ้าหน้าที่จิมอีกครั้ง..

“ให้สังเกตที่ขอบประตูด้านบนนะ เห็นไหม..มีตัวเลขสีแดงปรากฏขึ้น นั่นคือ วันเดือนปีและเวลาที่รุ่นของพวกเธอมาถึง ในที่นี้ คือ 090511-1935 ซึ่งถือเป็นรหัสประจำรุ่น ซึ่งพวกเธอจะต้องจำให้ได้” เจ้าหน้าที่จิมหยุดชั่วขณะเพื่อรอให้สเปิร์มทั้งหลายแหงนหน้ามองขอบประตูด้านบนแล้วจดจำตัวเลข เสียงสเปิร์มพึมพำออกมาเป็นตัวเลขดังระงมไปหมดสลับกับอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ฮ่า..ฮ่า มันจำยากใช่ไหมล่ะ อะไรที่เป็นตัวเลขเยอะๆ ถ้าทิ้งไว้นานๆ ก็จะลืมเลือนได้ ดังนั้น..เราจึงสร้างระบบประมวลผลตัวเลขเป็นตัวอักษรขึ้นมา โดยการคีย์ตัวเลขเข้าไปแล้วให้เครื่องถอดรหัสหาคำเรียกง่ายๆ แทนชื่อรุ่นให้เรา” กล่าวจบเจ้าหน้าที่จิมก็สาธิตให้ดูด้วยการกดตัวเลขทั้งหมดลงบนแป้นที่ข้างประตูแล้วกดปุ่มสีเขียวอีกครั้งหนึ่ง

ตัวเลขสีแดงบนขอบประตูหายวับไปกับตา พอติดขึ้นมาใหม่ก็กลายเป็นตัวอักษรภาษาไทยหลายตัวกำลังวิ่งวนไปวนมาอยู่บนขอบประตู ก่อนจะหยุดลงในที่สุด..

ฟ้าประทาน

“โอ้..ชื่อเพราะซะด้วย” เจ้าหน้าที่จิมอุทานหลังจากตัวเลขสีแดงเปลี่ยนเป็นตัวอักษรอ่านได้ว่า ฟ้าประทาน

“อย่างนี้เรียกว่าเพราะแล้วเหรอครับ” สเปิร์มปีนยกหางขึ้นเกาศีรษะยิกๆ ทำไมเขาจึงไม่รู้สึกว่า ตนเองได้อะไรที่ฟ้าส่งมาให้เลยสักนิด

“อืมม์..เทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่ได้ชื่อว่า..ดอกเข็มเล็ก ชื่อนี้ก็ดีกว่าเยอะ” เจ้าหน้าที่จิมยังจำได้ว่า สเปิร์มรุ่นที่แล้วทำหน้าอย่างไรเมื่อได้ชื่อนั้น แต่ก็ต้องยอมรับเพราะได้ขึ้นทะเบียนชื่อแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

“แล้วใครเป็นผู้ตั้งชื่อรุ่นให้คะ ทำไมไม่ให้พวกเราเลือกกันเอง” สเปิร์มไข่มุกสงสัยต่ออีก

“เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นผู้ตั้งให้จ้ะ โดยประมวลผลจากการนำเอาตัวเลขและลำดับของแต่ละตำแหน่งมาผสมผสานกับเรื่องราวที่เจ้าของร่างนี้นิยมชมชอบแล้วแปลงเป็นภาษาที่ไพเราะและจดจำง่ายโดยไม่ขัดหลักการใช้ภาษาและคำสะกดตามพจนานุกรม แต่แน่นอน..บางทีมันก็เชยสะบัด และไม่เอาเห่ยเสียเลย ตั้งแต่พาสเปิร์มผ่านประตูนี้มาหลายรุ่นแล้ว ฉันก็ยังไม่เห็นว่ามีรุ่นไหนพอใจกับชื่อรุ่นของตัวเองซักครั้งเดียว มีถกเถียงกันบ้าง แต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับ” เจ้าหน้าที่จิมสารภาพตามความจริง เขาถูกสเปิร์มแทบทุกรุ่นรบเร้าให้เปลี่ยนชื่อรุ่นเสียใหม่เป็นประจำ กว่าจะอธิบายให้เข้าใจก็ต้องใช้เวลาหลายนาที


โดย: *bonny วันที่: 26 ตุลาคม 2558 เวลา:8:44:19 น.  

 
“ความจริงก็ดีนะ ไม่มีรุ่นไหนชอบชื่อรุ่นของตัวเองก็ถือว่าเท่าเทียมกันดี” สเปิร์มปันกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างสมานฉันท์ สำหรับเขาแล้ว การตั้งชื่อให้เหมาะสมกับตัวเองเป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็ญมาแต่แรกแล้ว จึงไม่รู้สึกอาทรร้อนใจกับคำว่า ฟ้าประทาน สักเท่าใด

“ฉันก็ว่ายังงั้นแหละ ขืนให้ลงคะแนนโหวตกันเอง สเปิร์มหนึ่งล้านตัวคงวุ่นพิลึก” สเปิร์มพิณคล้อยตาม แม้ชื่อรุ่นจะไม่โดนใจแต่เธอก็ยอมรับความเป็นธรรมจากเครื่องคอมพิวเตอร์ได้

“ถ้าเมื่อใดได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อรุ่น ฟ้าประทาน ผ่านลำโพง ขอให้พวกเธอไปรวมพลกันที่ปากทางออกที่จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูนี้ทันที จำไว้ว่า เขาจะประกาศชื่อแค่ 3 ครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นจะเริ่มนับถอยหลังไปสู่เวลาที่เรือออกทันที ระวังอย่าไปสายนะ เพราะพวกที่ตกค้างจะถูกส่งลงเรือลำเล็กไปเป็นด่านหน้าในคราวต่อไป ซึ่งพวกนี้ไม่ได้ถูกยิงออกไปหรอกแต่จะถูกฉีดออกไปเคลือบหัวองคชาตเท่านั้น” เจ้าหน้าที่จิมย้ำเสียงหนักแน่น

“ฟ้าประทาน..ฟ้าประทาน..ฟ้าประทาน..” สเปิร์มปันท่องจำชื่อดังกล่าวไว้ในใจตลอดเวลาที่เคลื่อนตัวผ่านปากประตูทางเข้าตามเพื่อนๆ เข้าไปยังด้านใน

ทันทีที่เคลื่อนตัวผ่านม่านสีดำมืดของโถงทางเดินไปสู่ภายในได้แล้ว ประสาทสัมผัสทุกส่วนของสเปิร์มก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมารับบรรยากาศที่แตกต่างออกไปในทันที พวกเขาเหมือนได้ก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ที่ไม่เหลือร่องรอยของโลกใบเดิมให้จดจำได้เลย

บริเวณที่สเปิร์มที่เพิ่งก้าวเข้ามากำลังยืนอยู่นี้เป็นเสมือนจุดชมวิวที่อยู่สูงขึ้นไปสามารถมองลงมาเห็นบรรยากาศของอัครสถานอันกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่เบื้องล่างได้เกือบทั้งหมด

ลานกิจกรรมนานาชนิดถูกบรรจุอยู่ในชามอ่างรูปไข่ขนาดยักษ์ มีหลังคาลักษณะคล้ายกับแผ่นกระดาษจำนวนหลายแผ่นกำลังปลิวลงมาจากท้องฟ้า แผ่นหลังคาแต่ละแผ่นมีลักษณะเป็นเอกเทศและมิได้เชื่อมต่อกัน จึงมีขนาดและสีสันต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับประเภทและอาณาเขตของกิจกรรมที่มันปกคลุมอยู่

แต่ละกิจกรรมจะมีแนวเขตเป็นผนังสูงบ้าง..ต่ำบ้าง..ทรงเหลี่ยมบ้าง..ทรงมนบ้าง เป็นรั้วล้อมรอบเพื่อมิให้ปะปนกับกิจกรรมอื่นที่อยู่ติดกันและเกาะกันเป็นกลุ่มเหมือนรังผึ้ง ทุกกิจกรรมต่างกำลังดำเนินไปโดยมีสเปิร์มจำนวนหนึ่งกำลังสนุกสนานกับกิจกรรมเหล่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีกิจกรรมไหนที่ปล่อยให้ว่างเว้นเลย จึงปรากฏมีแสง สี และเสียงปะทุออกมาจากลานกิจกรรมอย่างครึกโครม ครึกครื้นและละลานตา แต่ไม่อาจประเมินได้ว่ามาจากกิจกรรมตรงไหนบ้าง ไม่ว่าสเปิร์มผู้สังเกตการณ์จะทอดสายตาไปทางใดก็ล้วนแต่เป็นความแปลกใหม่ที่ท้าทายสายตาและโสตประสาทไปเสียทั้งสิ้น

“นี่มันสวรรค์ หรือ นรกกันแน่” สเปิร์มพิณยังไม่เชื่อสายตาตนเองจนกระทั่งบัดนี้ มันน่าจะเป็นอะไรสักอย่างในสองแห่งนี้ที่เหมาะจะจำกัดความภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องล่างนั้น

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่มันน่าจะเป็นในอวกาศ” จินตนาการของสเปิร์มปันกลับไปไกลกว่าจนสุดกู่ พวกเขามาจากโลกใบเล็กๆ ที่มีแต่ความมืดครึ้มและเฉอะแฉะ มองไปทางไหนก็เจอแต่ผนังถ้ำสีเทาเข้มที่มีประตูบานเล็กๆ ซึ่งมีอยู่แค่สองสี คือ สีขาวที่เป็นทางเข้าออกและสีดำที่เป็นห้องเก็บกวาด ประตูที่เดินผ่านเข้ามาเมื่อสักครู่น่าจะเป็นทางออกไปสู่โลกอื่นมากกว่า ยิ่งเห็นแผ่นหลังคาจำนวนมากปลิวอยู่ในอากาศก็ยิ่งทำให้นึกถึงภาพของจานบินฝูงใหญ่ที่กำลังบินโฉบไปโฉบมาอยู่เหนือบ้านพักอาศัย ในเมื่อไม่เคยเห็นทั้งนรก..สวรรค์ ทั้งบนพิภพและนอกพิภพมาก่อน สเปิร์มปันจึงคิดว่า ตนเองไม่ผิดหรอกที่จะจินตนาการให้เป็นบรรยากาศที่ไหนก็ได้

“ฉันชักกลัวขึ้นมาแล้วสิ” สเปิร์มพิณเสียงสั่นกระพือ ความรู้สึกของเธอก็ไม่ต่างจากสเปิร์มอีกหลายตัวที่กำลังคิดถึงการใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ บางทีความสุขที่ได้มาโดยการปรนเปรอก็ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นได้เช่นกัน

“ฉันรู้สึกเหมือนกับพวกเขากำลังถูกกุมขังอยู่” พลันทันใดนั้น สเปิร์มปันก็เกิดความรู้สึกนั้นขึ้นมา หรือการปรนเปรอความสุขนี้จะเป็นการหว่านพืชเพื่อหวังผล

“ไม่เลย..ฉันว่าพวกเราต่างหากที่ถูกขังอยู่ พวกนั้นมีอิสระในการกระโดดโลดเต้น แต่ดูพวกเราสิ..ไม่ตัวแข็งก็ตัวสั่นกันไปหมดแล้ว” สเปิร์มปีนชะโงกศีรษะเข้ามาร่วมสนทนาด้วย

“เห็นจะจริง” สเปิร์มพิณเห็นพ้องด้วยในทันที

เจ้าหน้าที่จิมยืนมองดูปฏิกริยาของเหล่าสเปิร์มโดยไม่ขัดจังหวะ เขาอยากให้สเปิร์มซึมซับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อนที่จะฟังคำอธิบายอื่นใดหลังจากนี้ ในห้วงเวลาที่สเปิร์มกำลังตื่นเต้นกันอยู่นี้คงยากที่จะฉุดความสนใจของพวกเขาไปจากภาพที่อยู่ตรงหน้าได้

จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง..
เมื่อเห็นว่า อาการงวยงงของบรรดาสเปิร์มเริ่มจางลงไปแล้ว เจ้าหน้าที่จิมจึงกล่าวผ่านโทรโข่งอีกครั้ง

“ขอต้อนรับอย่างเป็นทางการสู่สโมสรสุขารมณ์ของสเปิร์มในฐานยิงจรวด ด้วยคำขวัญที่ว่า..ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า..กินอยู่อย่างราชา..มรณาอย่างวีรบุรุษ”

“จ๊ะอี๋ย..ย”

สเปิร์มหลายตัวพร้อมใจกันเบะปาก บ้างก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“เอ่อ..จิมคะ..มันคำขวัญหรือคำแช่งกันแน่คะ..มรณาแปลว่าตายไม่ใช่หรือคะ” สเปิร์มไข่มุกต้องตั้งคำถามแทนใจพวกเขาเหล่านั้น

“นั่นน่ะสิ คำขวัญอะไร ฟังแล้วห่อเหี่ยวหมดเลย”

สปิร์มตัวอื่นๆ ต่างออกอาการกันไปต่างๆ นานา ส่วนใหญ่อยากจะร้องไห้ออกมามากกว่า

“แล้วนี่พวกเราต้องจดจำคำขวัญนี่ด้วยหรือเปล่าฮ้า” สเปิร์มดีดี้ส่งเสียงประชดทันที

“อ้าว..แล้วกัน..! ฟังแล้วไม่รู้สึกดีหรอกรึ คำขวัญนี่คุณครูใหญ่เป็นผู้คิดเชียวนะเนี่ย กะให้สเปิร์มอิ่มเอมไปด้วยความสุขทั้งตอนมีชีวิตและตอนตายจาก เอาเถอะๆ..ถ้าฟังแล้วไม่ดีก็อย่าไปจำมันก็แล้วกัน” เจ้าหน้าที่จิมรีบกล่าวตัดบทขณะที่ลดโทรโข่งในมือลงด้วยราวกับไม่ต้องการให้บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในที่นั้นได้ยิน

“ผมชักหิวแล้ว” สเปิร์มหม่ำรอจังหวะที่จะแทรกประโยคนี้มานาน อนาคตจะเป็นหรือจะตายขอเอาไว้ทีหลังแต่เรื่องท้องอิ่มต้องมาก่อน

สเปิร์มทั้งหลายต่างส่งเสียงสนับสนุนกันใหญ่ ทุกตัวอยากไปให้พ้นจากจุดที่ยืนอยู่นี้เต็มทีแล้ว

“ได้เลย หลังจากฉันสอนวิธีการค้นหาข้อมูลภายในสโมสรแล้ว พวกเธอจะมีอิสระในการกิน อยู่ หลับนอนอย่างเต็มที่ทันที”

“หลับนอนเหรอ.. ใครจะหลับตาลงได้ขณะที่มีเสียงเพลงดังกึกก้องและเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนานเต็มไปหมดอย่างนี้” สเปิร์มโดโด้แย้งขึ้นมา

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง.. ที่นี่เราแยกส่วนพักผ่อนกับส่วนอึกทึกออกจากกันอย่างเด็ดขาด แถมมีตารางเวลาสำหรับความบันเทิงรูปแบบต่างๆ และตารางการพักผ่อนอย่างสุขสงบ ขอให้ทุกตัวตามฉันมาตรงนี้” กล่าวจบเจ้าหน้าที่จิมก็นำทางสเปิร์มมายังมุมผนังด้านหนึ่งที่อยู่ข้างๆ กับโถงทางเดินแล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าจอสี่เหลี่ยมสีดำมืดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเสาแท่งกลมที่มีฐานเป็นรูปทรงกลมคล้ายก้นแก้วไวน์

“นี่คือจอภาพที่แสดงตารางเวลาของกิจกรรมที่ทางสโมสรเปิดให้บริการในแต่ละวัน พวกเธอเพียงแต่กดปุ่มที่ใต้ล่างของจอภาพนี้ตารางกิจกรรมก็จะปรากฏขึ้นมา” พูดจบเจ้าหน้าที่จิมก็เอานิ้วแตะที่ปุ่มเล็กๆ ปุ่มหนึ่งที่ขอบด้านล่างของจอภาพ จอภาพสีดำก็ปรากฏเป็นแสงสีขาวขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วภาพบนจอก็ปรากฏเป็นตารางรูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ เหมือนกระดานหมากรุกจนเต็มจอ มีทั้งตารางสีแดงและสีเขียว

“ว้าว..ว”

สเปิร์มร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ทุกตัวตื่นตาตื่นใจกับเทคโนโลยี่อันทันสมัยที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อน จอหนังของคุณครูกรีสซี่เคยสร้างความตื่นตาตื่นใจมาแล้วก่อนหน้านี้แต่ความคมชัดเทียบไม่ได้กับสิ่งประดิษฐ์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าชนิดนี้เลย

“นี่คือ จอแสดงตารางเวลากิจกรรมประจำวัน ซึ่งพวกเธอสามารถพบมันได้ในมุมที่สงบทุกแห่งภายในสโมสรนี้ ตารางกิจกรรมนี้จะเปิดขึ้นเมื่อพวกเธอเอาหางมาแตะสวิทช์ที่ขอบจอ มันจะแสดงผลอยู่ประมาณ 2 นาทีแล้วจะดับไปเอง หรือหากต้องการให้มันดับเร็วขึ้นก็แค่กดปุ่มเดิมอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏอยู่บนจอมีดังนี้..มุมบนทางด้านขวาจะแสดงเวลาปัจจุบัน ส่วนขอบจอด้านซ้ายที่เป็นตารางสีขาวทั้งแถวจะแสดงช่วงเวลาในแต่ละวัน ซึ่งจะเห็นว่ามีทั้งหมด 8 ช่วง ขวามือเป็นรายชื่อของกิจกรรมในแต่ละช่วงเวลา ส่วนที่เป็นสีเขียวคือ กิจกรรมที่ดำเนินอยู่ ส่วนที่เป็นสีแดงคือ กิจกรรมที่ปิดให้บริการ อย่างตอนนี้เวลา 19.45 น. กิจกรรมที่เปิดให้บริการอยู่ตอนนี้ก็มี..ฟังดนตรี..เต้นรำ..ภาพยนตร์ที่เปิดฉายไปแล้วตั้งแต่ตอน 1 ทุ่ม..อ่านหนังสือ..โยนโบว์ลิ่ง กิจกรรมเหล่านี้จะเปิดถึงเวลา 22.00 น.เท่านั้น พอเลยเวลา 22.00 น.ไปแล้ว ก็จะเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งของตารางเวลาซึ่งจะมีแต่กิจกรรมที่มีชื่อว่า..พักผ่อนหลับนอน..ยาวไปจนถึงเวลา 06.00 น.ของวันใหม่ อ้อ..กิจกรรม..อาหารและเครื่องดื่ม จะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว ดังนั้น..ความโกลาหลที่พวกเธอเห็นอยู่นี้จะหายวับไปในทันทีเมื่อถึงเวลา 22.00 น.” พอเจ้าหน้าที่จิมอธิบายการใช้ตารางเวลาจบลง ภาพบนจอก็ค่อยๆ เลือนหายไปกลายเป็นจอสีดำอีกครั้งหนึ่ง ทำเอาสเปิร์มหลายตัวในที่นั้นบ่นเสียดายเพราะยังจดจำกิจกรรมในจอภาพได้ไม่หมด

“ภาพหายไปแล้ว เราเรียกมันขึ้นมาใหม่ได้ไหมคะ” สเปิร์มไข่มุกส่งเสียงถามก่อนใครเพื่อน

“เธอจะเรียกมันขึ้นมาดูอีกเมื่อไรก็ได้ เพียงแต่กดปุ่มเล็กๆ ด้านล่างนี้ แต่มันจะปรากฏให้เธอดู แต่อยู่แค่สองนาทีเท่านั้นนะ เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน”

“แล้วปุ่มเล็กๆ อีกด้านของขอบจอล่ะคะ” สเปิร์มไข่มุกถามต่อ เธอเห็นปุ่มเล็กๆ รูปทรงกลมสีดำสองปุ่มอยู่คนละฟากของขอบจอด้านล่าง ซึ่งเจ้าหน้าที่จิมกดปุ่มแรกให้ดูไปแล้ว

“เธอลองกดเองดูสิ..ใช้หางหรือปากของเธอก็ได้จิ้มมันดู” เจ้าหน้าที่จิมแนะนำ

สเปิร์มไข่มุกละล้าละลังอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเลื้อยเข้าไปใกล้ๆ จอภาพที่ตั้งอยู่ระดับเดียวกับศีรษะของเธอพอดี เธอแหงนหน้าไปมองหน้าเจ้าหน้าที่จิมเพื่อขอสัญญาณตอบรับอีกครั้ง เจ้าหน้าที่จิมก็ยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าทีหนึ่ง เธอจึงค่อยๆ ยกหางขึ้นมาแตะที่ปุ่มนั้นเบาๆ แล้วรีบถอนกลับทันที

“เธอแตะเฉยๆ ไม่ได้ ต้องกดให้จมลงไปเลยแล้วมันจะดีดตัวกลับขึ้นมาเอง” เจ้าหน้าที่จิมกล่าวเมื่อเห็นที่หน้าจอภาพยังไม่ปรากฏสัญญาณภาพใดๆ ขึ้นมา

สเปิร์มไข่มุกใช้ปลายหางจิ้มลงไปอีกครั้งจนปุ่มที่ว่านั้นจมลงไปก่อนจะชักหางกลับอย่างรวดเร็วเมื่อมีแสงสีขาวแวบออกมาจากจอภาพ

“อุ๊ย..!” สเปิร์มไข่มุกใจหายวาบนึกว่ากดแรงเกินไปแล้ว แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ พอแสงที่แวบขึ้นมาดับไปก้ปรากฏภาพขึ้นมาเต็มจอ

“อู้ฮู..ขึ้นมาเต็มไปหมดเลย มันอะไรกันเนี่ย”

สเปิร์มต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงกันไปทั่วเมื่อภาพที่ปรากฏขึ้นมาเป็นกรอบของแผนที่ขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยกรอบเล็กๆ สี่เหลี่ยมที่มีรูปร่าง ขนาดและสีสันแตกต่างกันไปเหมือนเป็นภาพที่เอาจิ๊กซอว์มาต่อเข้าด้วยกัน

“ที่เห็นอยู่นี้ เราเรียกว่า ‘กูเกิลแม็พ’ หรือ แผนผังแสดงที่ตั้งของกิจกรรมทุกชนิดในสโมสรแห่งนี้นั่นเอง ภาพที่เห็นนี้ถ่ายมาจากกล้องมุมสูงบนเพดานจำนวนกว่า 200 ภาพแล้วนำมาประกอบเข้าด้วยกันโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สามารถย่อและขยายได้ตามอำเภอใจ สีที่หลากหลายนั้นเป็นสีของแผ่นหลังคาที่เป็นตัวแทนของกิจกรรมนั้นๆ นั่นเอง”

“เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นกิจกรรมอะไรบ้าง มันลายตาไปหมดเลย” สเปิร์มไข่มุกกล่าว เธอยังไม่เห็นประโยชน์อันใดของกูเกิลแม็พนอกจากยิ่งมองก็ยิ่งมึน

“ไม่ยากหรอก ดูนี่..เพียงสัมผัสเบาๆ ตรงตำแหน่งสีที่เธอต้องการรู้ กรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั้นก็จะขยายตัวขึ้นมา ตราบเท่าที่เธอยังกดแช่ไว้ ภาพมันจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เห็นไหมว่าที่ฉันกดเอาไว้นี่เป็นสระว่ายน้ำ” เจ้าหน้าที่จิมทดลองจิ้มนิ้วไปที่กรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่เป็นสีฟ้าครามแล้วกดแช่ไว้ กรอบสี่เหลี่ยมนั้นค่อยๆ ขยายตัวขึ้นมาเรื่อยๆ จนกินอาณาบริเวณไปครึ่งจอภาพจึงเห็นภาพเป็นสระว่ายน้ำรูปฝักถั่วซึ่งมีสเปิร์มกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน

“อู้ฮู..! มีกระดานลื่นด้วย” สเปิร์มปีนตะโกนออกมาเป็นตัวแรกเมื่อเห็นของเล่นที่เขาใฝ่ฝันมานานแล้วว่าจะได้มีโอกาสไถลตัวบนกระดานนั้นสักครั้ง

เมื่อเจ้าหน้าที่จิมดึงนิ้วออกมา ภาพสระว่ายน้ำก็หดเล็กลงไปทุกทีจนเหลือเป็นกรอบสีฟ้าขนาดเดิม และเมื่อเขาเลื่อนนิ้วไปจิ้มที่กรอบเล็กๆ สีเหลืองที่อยู่ใกล้ๆ กัน กรอบเล็กๆ นั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นภาพสเปิร์มจำนวนมากกำลังยักย้ายส่ายหางกันอยู่บนฟลอร์เต้นรำโดยมีเสียงดนตรีดังออกมาจากจอภาพด้วย

“พวกนั้นเป็นอะไรกันน่ะ..คันเหรอ” สเปิร์มกิ๊กโพล่งขึ้นมา เธอไม่รู้จริงๆ ว่า สเปิร์มเหล่านั้นกำลังทำอะไรแต่ความไม่รู้นั้นกลับเรียกเสียงฮาลั่นจากเพื่อนๆ โดยรอบได้

“เขาเรียกว่าการเต้นรำต่างหากล่ะ” สเปิร์มพลิ้วที่ชอบการเต้นเป็นชีวิตจิตใจต้องตะโกนสวนออกไปให้หายสงสัย

เจ้าหน้าที่จิมดึงนิ้วออกมาจากภาพกลางฟลอร์เต้นรำแล้วจิ้มลงไปที่กรอบเล็กๆ สีแดงที่อยู่ถัดไป จากนั้นแช่นิ้วค้างไว้ให้ภาพขยายขึ้นมาจนเห็นภายในของห้องกระจกขนาดใหญ่ที่มีสระน้ำเล็กๆ อยู่ตรงกลาง รอบๆ สระน้ำนั้นมีสเปิร์มนั่งตัวสั่นอยู่บนเก้าอี้ยาวที่ล้อมรอบสระเอาไว้ ใบหน้าของพวกเขาเป็นสีแดงเหมือนลูกตำลึงสุกกันทุกตัว

“พวกเขาเป็นอะไรกันน่ะ ดูท่าทางไม่สบายเลย” สเปิร์มไข่มุกสังเกตเห็นหน้าตาของแต่ละตัวที่เหมือนกำลังอมทุกข์มากกว่าสนุกสนาน ไม่มีรอยยิ้มออกมาเลยสักตัวเดียว ห้องกระจกนี้น่าจะสำหรับกักกันโรคติดต่อมากกว่า

“เปล่าเลย..กิจกรรมนี้เรียกว่าการอบซาวน่า พวกเขากำลังผ่านการอบตัวเพื่อนำตัวเองไปสู่ความสดชื่นหลังจากนี้ นี่เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมสูงสุดจนต้องต่อคิวกันเลยล่ะเพราะห้องกระจกนี้บรรจุได้ครั้งละ 50 ตัวเท่านั้น”

“มันจะดียังไงคะ หน้าแดงแบบนั้นน่ะ” สเปิร์มไข่มุกทำหน้าแหยง

“ดีแน่นอน..เพราะหลังจากออกจากห้องนี้แล้ว พวกเขาจะไปแช่ในน้ำสมุนไพรเพื่อให้ความร้อนคลายเสร็จแล้วก็จะไปนอนบนเตียงให้พนักงานสาวสวยนวดตัว” ขณะที่เจ้าหน้าที่จิมอธิบายนั้นนิ้วมือก็เลื่อนไปข้างหน้าซึ่งเป็นกรอบสี่เหลี่ยมสีเทาพอภาพขยายใหญ่ขึ้นมา สเปิร์มทุกตัวก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที

“ว้าว..ว..ว..มีประแป้งด้วยแฮะ” สเปิร์มหม่ำที่อยู่ข้างหลังสเปิร์มไข่มุกถึงกับยื่นศีรษะเข้าไปจนเกือบติดจอเมื่อเห็นภาพสเปิร์มหลายตัวกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียงเล็กๆ ที่ตั้งเรียงกันอยู่ในห้องที่มีบรรยากาศสลัวๆ บนร่างของพวกเขามีพนักงานรูปร่างเหมือนเจ้าหน้าที่จิมแต่ไว้ผมยาวกำลังกดทับอยู่และใช้นิ้วนวดเค้นไปตามลำตัวให้ ตัวที่นวดเสร็จแล้วก็จะถูกพรมด้วยแป้งฝุ่นตลอดทั้งตัวจนเห็นเป็นควันฟุ้งขึ้นมา

“อ้าว..หม่ำ แกไม่หิวแล้วเหรอ” สเปิร์มจ๊วบอดแซวไม่ได้ สเปิร์มหม่ำต้องหันมาทำตาปริบๆ ทำให้สเปิร์มทั้งหลายพากันหัวเราะชอบใจ

“กรอบสีน้ำเงินจะเป็นเคาน์เตอร์บริการอาหารและเครื่องดื่ม..สีเขียวเป็นห้องออกกำลังกาย..สีชมพูเป็นห้องเล่นเกม..สีน้ำตาลแทนห้องสมุด และสุดท้าย สีดำคือห้องพักผ่อนหลับนอน” เจ้าหน้าที่จิมใช้ด้ามธงชี้ไปตามสีต่างๆ แทนการใช้นิ้วจิ้มแล้วแช่บนจอภาพเพื่อความรวดเร็ว

“โอ่ย..งงไปหมด ตกลงกรอบสีเทาเมื่อกี้หายไปไหนแล้ว” สเปิร์มหม่ำลากสายตาตามการชี้ของเจ้าหน้าที่จิมไปตลอดแต่พอจะกลับไปหากรอบสีเทาก็หาไม่เจอแล้ว เพื่อนๆ ก็สุมตัวกันเข้ามาช่วยกันมองหาเป็นการใหญ่

“พวกเธอจะไม่ได้รับการนวดตัวหรอกนะถ้าไม่ได้ผ่านการอบซาวน่าและแช่ในน้ำเย็นก่อน” เจ้าหน้าที่จิมต้องส่งเสียงเตือน ทำให้สเปิร์มทั้งหลายเปลี่ยนเป้าหมายเป็นมองหากรอบสีแดงกันให้วุ่น

“เฮ้อ..!” เจ้าหน้าทีจิมต้องลดโทรโข่งลงแล้วถอนหายใจยาวๆ ดูเหมือนสเปิร์มที่บ่นว่าหิวจะไม่สนใจเรื่องอาหารกันเสียแล้ว

“ว้าว..ว มนุษย์บนโลกเขาดำเนินชีวิตกันแบบนี้หรือคะ” สเปิร์มไข่มุกยังตื่นตาตื่นใจไม่หาย เธอเป็นอีกตัวหนึ่งที่ลืมความหิวไปแล้วเช่นกัน

“ก็ไม่เชิงหรอกนะ แต่ละชีวิตบนโลกมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสังคมที่เขาสังกัดอยู่ แต่ที่เราจำลองมาให้สเปิร์มใช้ชีวิตอยู่นี้ถือเป็นสังคมที่ดำเนินชีวิตอย่างมีแบบแผน ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นบนโลก” เจ้าหน้าที่จิมกลับมาทำหน้าที่บรรยายต่อไปในขณะที่สเปิร์มกลุ่มหนึ่งยังว้าวุ่นอยู่กับการทดลองใช้จอภาพคอมพิวเตอร์



โดย: *bonny วันที่: 26 ตุลาคม 2558 เวลา:8:47:48 น.  

 
“แล้วความเป็นจริงมันเป็นอย่างไรหรือคะ” สเปิร์มส่วนใหญ่ก็ยังคงติดตามการบรรยายของเจ้าหน้าที่จิมอย่างสนใจอยู่

“บนโลกมนุษย์ทุกวันนี้ พวกเขาใช้ชีวิตกันแบบไร้แบบแผนมานานจนกลายเป็นนิสัยแล้วน่ะสิ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ขณะที่คนๆ หนึ่งตื่นนอน อีกคนอาจเพิ่งจะเข้านอนก็ได้ ขณะที่คนๆ หนึ่งรับประทานอาหาร อีกคนอาจกำลังออกกำลังกาย หรือดูหนังฟังเพลง หรืออ่านหนังสือก็ได้ มันเป็นอะไรที่สับสนวุ่นวายกันไปหมด ที่เป็นแบบนี้เพราะสังคมโลกกำลังวิกฤติอย่างหนักเนื่องจากมนุษย์บูชาเงินตราเป็นพระเจ้า รายได้จากการทำงานในช่วงเวลาปกติไม่อาจตอบสนองความต้องการที่เกินขีดจำกัดได้ จึงมีมนุษย์บางคนยอมสละเวลาพักผ่อนไปทำงานหาเงิน โดยยอมบั่นทอนความสุขและสุขภาพของตัวเองลงเป็นการแลกเปลี่ยน”

“โห..ฟังดูแล้ววุ่นวายจริงๆ ทำไมต้องหาเงินกันตัวเป็นเกลียวอย่างนั้นคะ” สเปิร์มไข่มุกซักถามต่ออีก แม้เธอจะเป็นผู้ที่ทะเยอทะยานอยากเป็นมนุษย์มากที่สุดตัวหนึ่งแต่ความสับสนวุ่นวายที่ว่าก็บั่นทอนความอยากลงไปไม่น้อยเลย

“ก็เพื่อจะเอาเงินไปซื้อความสุขและความบันเทิงไงล่ะ”

“ผมนึกว่ามนุษย์หาเงินเป็นค่าอาหารสำหรับเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวเสียอีก” สเปิร์มโดโด้เข้าใจเช่นนั้นตลอดมา ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องขวนขวายให้มีมากกว่านั้น การอยู่ดีมีสุขเกิดขึ้นได้เมื่อท้องอิ่มและนอนหลับ โดยที่ไม่ต้องพะวงกับการเอาชีวิตไปเสี่ยงในชั้นเรียนก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
ซึ่งความสุขของเขาก็ไม่ต่างจากสเปิร์มตัวอื่นๆ เท่าใดนัก

“สำหรับพวกเธอ..ยังไม่มีตัวไหนเคยถูกมอมเมาด้วยกิเลสและตัณหา ความต้องการจึงยังไม่เกินเลยไปจากความจำเป็นพื้นฐานของการดำรงชีพ แต่มนุษย์เกิดมาท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่ได้รับการปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว และความสุขที่เกิดจากการปรุงแต่งก็เป็นปัจจัยหนึ่งนอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต” เจ้าหน้าที่จิมวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงแต่อย่างใดเพราะเขาเองไม่ใช่ทั้งสเปิร์มและมนุษย์

“ถ้าเป็นถึงขนาดนั้น พวกเราเป็นสเปิร์มแบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ” สเปิร์มจ๊วบแสดงความเห็นอย่างเอือมระอา

“ก็นั่นไง..ฉันถึงได้บอกว่า..ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า..กินอยู่อย่างราชา..มรณาอย่างวีรบุรุษ..ไม่มีของฟรีบนโลกมนุษย์แต่มีของฟรีที่นี่ที่เดียว..สโมสรสเปิร์มในฐานยิงจรวด ที่แม้พวกเธอจะถูกส่งออกไปตายก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว พวกเธอได้รับความสุขที่สังคมมนุษย์ไม่มีทางปรนเปรอให้ได้” เจ้าหน้าที่จิมถือโอกาสโปรโมทการใช้ชีวิตในสโมสรแห่งนี้ทันที การที่ทำหน้าที่นี้มานานทำให้เขารู้ว่า ความสุขของสเปิร์มแสวงหาได้ที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น ออกไปจากที่นี่เมื่อใด สเปิร์มทุกตัวก็ต้องตายกันหมด

“อ้อ..ที่พวกเราฟันฝ่ากันมาหลายด่านก็เพื่อสิ่งนี้เอง..อยู่เพื่อโกยความสุข ตายก็ไม่เป็นทุกข์” สเปิร์มปันอดสมเพชความเป็นสเปิร์มไม่ได้ สิ่งที่รับรู้จากเจ้าหน้าที่จิมตอกย้ำความคิดที่ไม่อยากจะไปเกิดเป็นมนุษย์ของเขาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ส่วนสเปิร์มพิณไม่ได้ถอดใจหรือปลงตกแต่อย่างใด การได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ยังเป็นความฝันอันสูงสุดอยู่เช่นเดิม สิ่งที่ทำให้เธอท้อใจน่าจะเป็นความรู้สึกต่อต้านการไปเกิดของสเปิร์มปันมากกว่า เธอจึงยังต้องอยู่เคียงข้างเขาเพื่อ ต่อเติมความหวังให้ตลอดเวลา เพราะเมื่อใดที่เธอท้อแท้ ทั้งสองตัวก็จะสิ้นหวังไปพร้อมกัน

“ที่แท้ความสุขบนโลกมนุษย์มาจากการปรุงแต่งกันขึ้นมาเองโดยใช้เงินตราเป็นสื่อนำชัก หาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่ เพราะเมื่อใดไม่มีเงินก็จะไม่มีความสุข” สเปิร์มปันยังคงพร่ำกล่าวอย่างผิดหวัง เขาวาดภาพสังคมมนุษย์ที่มีอารยธรรมอันสูงส่งต่างจากโลกของสเปิร์มที่มีโรงเรียนเป็นผู้ชักใย แต่ตอนนี้เหมือนหนีเสือปะจระเข้ ..การเปลี่ยนแปลงสถานะของสิ่งมีชีวิตหาได้เป็นการปลดเปลื้องพันธนาการออกไปไม่

“ก็ไม่เป็นไรนี่ ถ้าไม่มีเงินก็อยู่อย่างเป็นสุขแบบคนจนก็ได้ ถ้าใจของเราไม่ถลำไปกับสิ่งที่มนุษย์ปรุงแต่งขึ้นก็มีความสุขอยู่ที่ใจ ขอเพียงได้อยู่กับคนที่เรารักและเขารักเรา และรู้จักความเพียงพอตามอัตถภาพก็เป็นสุขได้แล้ว เหมือนกับพวกเราตอนนี้ไง ไม่มีเงินสักเก๊เดียว” สเปิร์มพิณกล่าวพลางหันมายิ้มให้สเปิร์มปัน เธอต้องหมั่นเติมความหวังและความสดชื่นให้เขาเช่นนี้เรื่อยไป ต้องทำให้เขาเชื่อให้ได้ว่า การได้ไปเกิดเป็นมนุษย์เป็นจุดเริ่มต้นของความหวังมิใช่จุดจบของความหวัง

“เอ่อ..เฮอะ..เธอนี่มาแปลก” สเปิร์มปันอดยิ้มด้วยความสนเท่ห์ระคนขบขันไม่ได้ ขณะที่เขาอยากจะฉุดความคิดของเธอลงมาเป็นเพื่อน เธอกลับไล่ความคิดของเขาให้พ้นไปแล้วดึงให้ขึ้นมาคิดเช่นเดียวกับเธอบ้าง เหมือนกำลังแข่งชักเย่อทางความคิดที่อยู่กันตัวละฟาก หากเขาไม่โอนอ่อนให้เธอก็จะดึงดันไปเรื่อยๆ
สเปิร์มปันไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วสเปิร์มพิณพูดจากความคิดของตนเองจริงๆ หรือเปล่า แต่ฟังแล้วก็ทำให้เขารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้

เจ้าหน้าที่จิมแอบได้ยินสเปิร์มทั้งสองสนทนากันก็รู้สึกโดนใจจึงกล่าวขึ้นบ้าง

“เอ้อ..อ..ความจริงเธอทั้งสองก็พูดถูกทั้งคู่น่ะแหละ คุณครูใหญ่เคยบอกพวกเราว่า ‘มนุษย์พยายามแสวงหาความสุขที่จีรังและวิ่งหนีความทุกข์ที่ยั่งยืน แต่พวกเขาไม่เคยทำสำเร็จทั้งสองอย่าง’ ฉันคิดว่า คุณครูใหญ่พูดไว้ถูกต้องแล้ว”

“คุณครูใหญ่เป็นใครคะ ทำไมเขาถึงรู้ไปเสียทุกเรื่องราว” และแล้วสเปิร์มไข่มุกก็ถามคำถามที่สเปิร์มทุกตัวอยากรู้มานานแต่ไม่เคยมีใครกล้าถาม

“เขาก็คือ....” เจ้าหน้าที่จิมหยุดชะงักไป เขากำลังตัดสินใจว่าควรจะตอบดีหรือไม่ เพราะสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมของการแนะนำสถานที่ซึ่งผิดระเบียบของการทำหน้าที่มัคคุเทศก์ของที่นี่ที่ห้ามวิจารณ์นายจ้างอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อหันหน้าไปทางไหนก็เผชิญกับสายตาวิงวอนอย่างบริสุทธิ์ใจของเหล่าสเปิร์มที่กำลังรอคำตอบอยู่ตรงหน้าก็ทำให้เจ้าหน้าที่จิมอยากบอกให้ทราบเป็นวิทยาทาน

“กระเถิบเข้ามาใกล้ๆ กันหน่อย” เจ้าหน้าที่จิมปิดสวิทช์โทรโข่งแล้วขวักธงเป็นสัญญาณเรียกให้เข้ามารุมล้อม สเปิร์มที่เรียงซ้อนตัวกันเป็นแถวๆ ต่างก็ขยับตัวร่นขึ้นไปด้านหน้าจนบังร่างของเจ้าหน้าที่จิมไว้เกือบมิด

“เขาเป็นตัวแทนของเซลล์สมองของร่างกายนี้นั่นเอง บอกตามตรงนะ ไม่มีใครในโรงเรียนเคยเห็นหน้าค่าตาของเขาหรอก เขาจะมาแต่เสียงที่ผ่านลำโพงในห้องประชุมเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับร่างกายนี้ เขาจะรับรู้เรื่องราวได้หมด เหมือนเป็นศูนย์กลางที่คอยควบคุมและสั่งงานอวัยวะต่างๆ ของร่างกายนี้” เจ้าหน้าที่จิมพยายามอธิบายสิ่งที่เขาสามารถเข้าใจได้แต่คิดว่าสเปิร์มคงนึกภาพไม่ออกอยู่ดี

“แล้วโรงเรียนสร้างแบบจำลองสังคมของมนุษย์ขึ้นมาเพื่ออะไรครับ ในเมื่อไม่เคยมีสเปิร์มเลยสักตัวที่ได้ไปเกิด” สเปิร์มจ๊วบอยู่แถวหลังแต่ส่งเสียงถามขึ้นมาบ้าง

เจ้าหน้าที่จิมตอบโดยไม่รีรอราวกับว่ารอคำถามนี้มานานมากแล้ว

“ถ้าให้ฉันตอบจากนโยบายอันสวยหรูของโรงเรียนก็จะบอกว่า เพื่อให้สเปิร์มได้ใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ที่มีความสุขก่อนวาระสุดท้ายจะมาถึง คุณครูใหญ่หวังว่าวัตถุนิยมที่สร้างขึ้นมานี้จะทำให้สเปิร์มมีความสุขและเป็นแรงผลักดันให้เกิดความอยากที่จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ จะเรียกว่า เป็นการล้างสมองก็คงจะไม่ผิดนัก แต่ถ้าจะตอบจากความเห็นส่วนตัวของฉัน ฉันว่านี่มันเป็นดาบสองคม เพราะมีสเปิร์มจำนวนหนึ่งที่ปลงตก และคิดได้ว่าความสุขที่หยิบยื่นให้ที่นี่มิได้มีพัฒนาการมาจากพื้นฐานทางจิตใจของผู้ให้และผู้รับอย่างแท้จริง แต่จะอย่างไรก็สุดแท้เถอะ สุดท้ายแล้วมันก็คือ สังคมที่สเปิร์มไม่มีสิทธิ์เลือกอยู่ดีน่ะแหละ” คำตอบของเจ้าหน้าที่จิมชัดเจนพอที่จะทำให้ไม่มีสเปิร์มตัวไหนอยากสืบสานเรื่องราวนี้อีกต่อไป

“นั่นไงล่ะ..! นั่นแหละ ฉันก็คิดอย่างนั้น” สเปิร์มปันตื่นเต้นจนเก็บเอาไว้กับตัวไม่อยู่รีบกระซิบบอกสเปิร์มพิณ เจ้าหน้าที่จิมเหมือนพูดแทนใจเขาได้เลย

“ฉันกำลังสงสัยอยู่ว่า ตอนนี้คุณครูใหญ่กำลังจับตาเจ้าหน้าที่จิมอยู่หรือเปล่า เขาคงไม่ปรารถนาจะได้ยินใครพูดถึงโรงเรียนแบบนั้น” สเปิร์มพิณกระซิบกลับเบาๆ

“ถ้าคุณครูใหญ่คือศูนย์กลางของข้อมูลที่ป้อนไปสู่สมอง เขาต้องรับรู้ว่าจิมกำลังทำอะไรที่ผิดไปจากปกติ แม้จะไม่ได้ยินอย่างชัดเจนแต่ถ้าเขาเกิดระแวงขึ้นมา ก็อาจเรียกจิมไปสอบสวนเพิ่มเติมได้ จิมอาจโดนลงโทษเหมือนที่คุณครูบาลเฮดโดน แต่สำหรับฉัน..จิมเป็นเจ้าหน้าที่ที่เจ๋งมากนะ เขาเป็นด่านสุดท้ายที่สอนให้สเปิร์มรู้จักคุณค่าของการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่จากนี้ไป คุณค่าที่อาจหาไม่ได้อีกหากได้ไปเกิดเป็นมนุษย์” สเปิร์มปันกล่าวก่อนจะหันมาสบตากับสเปิร์มพิณแล้วพึมพำเบาๆ

“เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว..เธอยังอยากไปเกิดเป็นมนุษย์อีกหรือเปล่า”

สเปิร์มพิณจ้องหน้าเพื่อนชายของเธออย่างเคร่งเครียด ความคิดอ่านของเขาทำให้เธอนึกหวั่นอยู่ในใจว่า เขาอาจไม่ได้กำลังต่อสู้เพื่อให้ตนเองได้ไปเกิด

“เปลี่ยนใจใครก็เปลี่ยนได้นะ แต่คิดจะเปลี่ยนทัศนคติของเขาคงเป็นไปไม่ได้” สเปิร์มพิณรำพึงอย่างท้อใจ

“ขอทางหน่อย..! ขอทางหน่อยครับ”

เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากนอกวงล้อม สเปิร์มทั้งหมดพากันหันไปมอง เห็นเจ้าหน้าที่การท่าสองนายพยายามแหวกวงล้อมเข้ามาด้วยท่าทีขึงขัง

“ใครคือคุณครูบาลเฮด” เมื่อผ่านวงล้อมของสเปิร์มเข้ามาได้แล้ว หนึ่งในสองของเจ้าหน้าที่ก็ส่งเสียงถามทันที

“ฉันเอง..มีเรื่องอะไรหรือ” คุณครูบาลเฮดตะโกนตอบด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย

เจ้าหน้าที่ทั้งสองเดินดุ่มเข้าไปหาแล้วประกบคุณครูบาลเฮดเอาไว้ตัวละข้าง

“เรามาควบคุมตัวคุณไปพบคุณครูใหญ่” เจ้าหน้าที่อีกนายหนึ่งกล่าวเสียงเข้ม

“หือ..อ ควบคุมตัวเลยเหรอ..ฉันทำผิดอะไร” คุณครูบาลเฮดแสดงท่าทางงุนงงยิ่งขึ้นไปอีก

“กัปตันแบ็คตายแล้ว” เจ้าหน้าที่นายเดิมกล่าว

“หา..ตายแล้วเหรอ..! เอ่อ..สมควรอยู่..อ้าว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย” คุณครูบาลเฮดแสร้งทำเป็นไขสือ

“เกี่ยวหรือไม่เราไม่ทราบเรื่อง แต่คุณครูใหญ่ต้องการพบตัวคุณด่วน” กล่าวจบเจ้าหน้าที่ทั้งสองนายก็เอาแขนดุนหลังให้คุณครูบาลเฮดขยับตัว

“เดี๋ยวก่อน..ที่กัปตันแบ็คตายไปเป็นความผิดของผมเองไม่ใช่คุณครูบาลเฮดสักหน่อย” สเปิร์มปันรีบออกมาดักทางเดินเอาไว้

“ปัน..เขาต้องการผู้รับผิดชอบการตายของกัปตันแบ็คเพียงตัวเดียว ซึ่งก็ไม่ผิดตัวแล้วเพราะฉันเป็นกัปตันเรือของพวกเธอ” คุณครูบาลเฮดรีบกันสเปิร์มปันออกไปจากการมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้สเปิร์มปันจะเป็นผู้ลั่นไกสังหารแต่เขาเป็นผู้วางแผนและบัญชาการโดยตลอด

“จะยังไงก็เหอะ เราทำตามคำสั่งของคุณครูใหญ่ให้มานำตัวคุณครูบาลเฮดไปตัวเดียว ตัวอื่นๆ ไม่เกี่ยว” เจ้าหน้าที่กล่าวอย่างไม่นำพาก่อนดุนหลังให้คุณครูบาลเฮดเลื้อยนำหน้าไป แต่ก็เจอกับกลุ่มสเปิร์มที่นำหน้าโดยสเปิร์มพิณยืนเรียงแถวขวางอยู่อีกทำให้ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง

“ฟังก่อนนะ..ความจริงแล้ว พวกเราทั้งหมดมีส่วนทำให้กัปตันแบ็คตาย ถ้าจะจับผู้กระทำผิดก็ต้องจับพวกเราไปด้วย” สเปิร์มพิณที่ยืนอยู่หน้ากลุ่มกล่าวอย่างองอาจ สเปิร์มที่ยืนอยู่ทางด้านหลังก็ผงกศีรษะสนับสนุนกันอย่างพร้อมเพรียง

การเผชิญหน้าที่ไม่คาดคิดทำให้เจ้าหน้าที่การท่าทั้งสองนายต้องหันมามองหน้ากัน ถ้าดึงดันจะตะลุยฝ่าออกไปก็จะต้องมีการปะทะกันจนเกิดการบาดเจ็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“พวกเธอกำลังทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่โดยใช่เหตุ” คุณครูบาลเฮดส่งเสียงดุด้วยมาดของเทรนเนอร์สระว่ายน้ำตัวเดิม ก่อนจะสำทับต่อ
“ ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า..คุณครูใหญ่เป็นผู้มีเหตุผล เขาอาจต้องการคำให้การจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น คงไม่สั่งลงโทษใครสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก พวกเธอรอฉันอยู่ที่นี่เถอะ การขัดขวางจะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม ถึงตอนนั้นพวกเธออาจถูกส่งไปห้องเก็บกวาดทั้งหมดก็ได้”

“แต่ว่า..” สเปิร์มปันยังคิดจะแย้ง

“เอาเถอะน่า..เมื่อมีการตายของเจ้าหน้าที่เกิดขึ้น ก็ต้องมีการสอบสวนถึงสาเหตุ นี่เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมที่มีกติกาและพวกเราต้องเคารพกฎของที่นี่” คุณครูบาลเฮดยังยืนกรานเสียงแข็ง ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปจากตอนที่อยู่บนเรือลิบลับ ซึ่งสเปิร์มส่วนใหญ่มองออกว่าเป็นการวางก้ามเพื่อให้ทุกตัวใจชื้นขึ้นมาว่าการจากไปครั้งนี้จะไม่มีภัยอะไร

ในที่สุดสเปิร์มทั้งกลุ่มจึงยอมเปิดทางให้เจ้าหน้าที่นำตัวคุณครูบาลเฮดผ่านออกไปได้ แต่ก็ยังยืนส่งสายตาอาทรร้อนใจไปที่ปากประตูทางออกจนกระทั่งทั้งสามตัวผ่านพ้นประตูออกไปแล้ว

“เฮ้อ..ค่อยยังชั่วหน่อย เอ่อ..มีใครบอกได้ไหมว่าฉันจะถูกส่งไปห้องเก็บกวาดมั้ย” เมื่อประตูทางเข้าออกถูกปิดลง คุณครูบาลเฮดจึงรีบหันหน้าไปขอความเห็นจากเจ้าหน้าที่ทั้งสองทันที


******************************************


โดย: *bonny วันที่: 26 ตุลาคม 2558 เวลา:8:50:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

*bonny
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add *bonny's blog to your web]