ขนาดโอบาม่ายังมาเยือน แล้วเราจะทำเชือนแชได้อย่างไร.....มาเที่ยววัดโพธิ์กันเถอะค่ะ ^0^
วันนี้จริงๆจะไปเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์สิริกิติ์ แต่เราอยากมาเที่ยวที่นี่ก่อน ก็เลยแวะมาค่ะ
จะบอกว่าอิชั้นอ่ะ อยากจะมาตั้งนานแล้ว....ตั้งแต่ตอนที่เห็นโอบาม่ามาเยือนเมืองไทย เค้าก็เลือกมาที่นี่ แทนที่จะเป็นวัดพระแก้วซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว
ณ ตอนนั้น เคยฟังผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองวิเคราะห์ว่า วัดโพธิ์เป็นวัดที่ไม่ได้ออกแนวหรูหรา ฟู่ฟ่าเหมือนวัดพระแก้ว แต่ดูติดดิน และเข้าถึงผู้คนมากกว่า เนื่องจากเป็นวัดที่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนมาตั้งแต่สมัยโบราณ เรียกว่าผูกพันจนถึงรากเหง้าของคนไทยสมัยรัตนโกสินทร์เลยก็ว่าได้
สำหรับโอบาม่าที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งรอบสองมาอย่างค่อนข้างจะยากเย็น (กว่ารอบแรก) ก็เลยต้องการลุคแบบนี้ เพื่อจะเข้าถึงประชาชนอเมริกันในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ เขาจึงเลือกที่จะมาที่วัดโพธิ์นั่นเอง
เสียงลือเสียงเล่าอ้างนี้ไม่รู้จะจริงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ วัดโพธิ์นี้ก็มีเสน่ห์พอตัวแหล่ะ เป็นที่ท่องเที่ยวที่นิยมมาช้านาน เป็นวัดที่อยู่คู่กรุงรัตนโกสินทร์มาตั้งแต่ต้นรัชกาล และยังเป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยด้วย
มากมายสารพัดสิ่งดึงดูดใจขนาดนี้ จะรอช้าอยู่ทำไมค่ะ....มาเที่ยวกันดีกว่า
By the way เรามา start ที่ BTS สถานีสะพานตากสินก่อนเน้อ
แล้วก็มาขึ้นเรือที่ท่าสาธรนะคะ รอเรือด่วนมาแล้วก็ขึ้นเลย จุดหมายเราคือท่าเตียนค่ะ ค่าโดยสาร 15 บาท
พอถึงท่าเตียนก็ขึ้นโป๊ะและเดินข้ามมาเลยค่ะ ช่วงนี้น้ำอาจจะขึ้นเยอะหน่อย ดูน่ากลัวนิดนึง แต่ก็ยังข้ามได้สบายๆค่ะ
ซึ่งวัดโพธิ์จะอยู่ตรงข้ามท่าเรือเลย เดินไปนิดนึงก็ถึงแล้ว สะดวกสุดๆ
มาถึงแล้ว ก่อนอื่นก็ถ่ายรูปตรงนี้ก่อนนะคะ
๙ สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์
บอกแล้วว่าเค้าไม่ธรรมดาเลยนะคะ
มาดูประวัติวัดโพธิ์กันหน่อยค่ะ
วัดพระเชตุพนตามประวัติสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง เดิมเรียกว่า "วัดโพธาราม" หรือ "วัดโพธิ์" ได้ถูกยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี
ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ใน พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส" เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พิธีราชาภิเษกของพระนโรดมที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร นับจากนั้นวัดพระเชตุพนได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้โปรดเกล้าฯ ให้จารึกสรรพตำราต่าง ๆ ลงบนแผ่นหินอ่อนประดิษฐ์ไว้ตามศาลารายต่าง ๆ
ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้สร้อยนามพระอารามว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" และภายในพระอารามยังได้เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของพระนโรดม โดยนิตินัย ก่อนที่จะมีพิธีราชาภิเษกอีกครั้งที่กรุงพนมเปญ โดยพฤตินัย
พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ทรงถือว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอารามหลวงที่มีความสำคัญมาก และทรงถือเป็นพระราชประเพณี ที่จะทรงบูรณะซ่อมแซมวัดนี้ทุกรัชกาล
นอกจากนี้ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามยังเป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เพราะเป็นแหล่งรวบรวมวิชาความรู้ด้านต่าง ๆ ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และการแพทย์ค่ะ
เราเข้ามาที่วิหารพระพุทธไสยาสก่อนนะคะ
ข้างในวิหารมีการวาดภาพเขียนสี เรื่อง มหาวงศ์
วิหารพระพุทธไสยาส สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์โปรดให้พระองค์เจ้าลดาวัลย์เป็นแม่กองในการก่อสร้าง โดยได้สร้างพระพุทธไสยาสขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระวิหารภายหลัง โดยมีขนาดเท่ากับพระอุโบสถ
ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ก่ออิฐ ถือปูน ปิดทองทั่วทั้งองค์ และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ โดยมีลักษณะพิเศษ ได้แก่ พระบาทซ้ายและขวาซ้อนเสมอกัน
เห็นในรูปมาเยอะก็ว่าสวยแล้ว สู้มาดูด้วยตาตัวเองจริงๆไม่ได้
จะบอกว่า งามมากกก ถึงมากที่สุด....สุดจะบรรยายเลยค่ะ
ยิ่งพิศมององค์ท่านใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกว่าตัวเราเล็กกะจิ๋วเดียว
เปรียบเทียบกับธรรมะที่ยิ่งใหญ่แล้ว เราทุกคนก็เหมือนอยู่ในวัฏจักรเวียนวนเกิดแก่เจ็บตาย สุขสลับกับทุกข์อยู่ร่ำไป แต่ในความมืดมนของชีวิตยังมีสายพระเนตรของสมเด็จพระสัมนาสัมพุทธเจ้าทอดลงมาด้วยความห่วงใยในสัตว์โลก
โดยหนทางที่น่าจะดับทุกข์ได้ คงต้องใช้ธรรมะนำทางเพื่อให้หลุดพ้นจากสภาวะวัฏจักรสังขารนี้เท่านั้นค่ะ
จากนั้นมาดูของที่ระลึกที่โอบาม่า ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามอบให้ไว้เมื่อคราวมาเยืยนที่วัดค่ะ กล่องสีฟ้ามีรูปทำเนียบขาว ภายในมีเทียนสีขาวสามชิ้น
เชิงเทียนแก้วสลักข้อความ มอบไว้เป็นที่ระลึกจากประธานาธิบดีโอบามา
จากนั้นมาที่ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาลนะคะ
ถ่ายไม่สวยเลย ย้อนแสงสุดๆ
พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ 4 องค์ ตั้งอยู่ถัดจากพระอุโบสถ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วสีขาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์แบบจีน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ เครื่องถ้วยหลากสี มีตุ๊กตาหินจีนประดับอยู่ประตูละคู่
ด้านในกำแพงแก้ว มีจารึกอยู่โดยรอบ เป็นจารึกทางการรักษาโรค
องค์พระมหาเจดีย์นั้นเป็นแบบเจดีย์ย่อไม้สิบสองทั้งหมด ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ
เดิมทีรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญโกลนพระศรีสรรเพชญดาญาณ จากวัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา ด้วยทรงประสงค์จะหล่อพระศรีสรรเพชญองค์นี้ขึ้นมาใหม่
แต่หลังจากทรงปรึกษากับคณะสงฆ์แล้ว คณะสงฆ์ได้ทูลถวายว่า การนำโกลนพระศรีสรรเพชญดาญาณมาหลอมใหม่นั้น ถือเป็นขีด เป็นกาลกิณี ไม่เป็นมงคลแก่บ้านเมือง จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ แบบย่อมุมไม้ยี่สิบ ครอบโกลนพระศรีสรรเพชญนี้ไว้ และพระราชทานพระนามเจดีย์ว่า "พระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ"
องค์พระเจดีย์ประด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว ตั้งอยู่ตรงกลางของหมู่พระมหาเจดีย์ ล้อมรอบด้วยพระมหาเจดีย์อีก 3 องค์ นับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1
ต่อมาในรัชกาลที่ 3 พระองค์ทรงมีพระประสงค์ทะนุบำรุงวัดพระเชตุพนฯ ทรงสร้างพระมหาเจดีย์ขนาบข้างกับพระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ ดังนั้น จึงเป็นเจดีย์สามองค์เรียงกันจากเหนือจรดใต้ โดยมีลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้ยี่สิบ ขนาดและความสูงเหมือนกันทุกประการ ต่างเพียงสีกระเบื้องที่มาประดับเท่านั้น
โดยพระมหาเจดีย์ทางทิศเหนือของพระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว นามว่า "พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรรกนิทาน" ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นเพื่อพระราชอุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมราชชนก ซึ่งนับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2
ส่วนพระมหาเจดีย์ทางทิศใต้ของพระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณนั้น ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง นามว่า "พระมหาเจดีย์มุนีบัติบริขาน" ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยนับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3 ด้วย
เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงโปรดเกล้าให้ถ่ายแบบพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย มาจากวัดสวนหลวงสบสวรรค์ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อสร้างขึ้นเป็นพุทธบูชา
โดยองค์พระมหาเจดีย์มีลักษณะที่แตกต่างจากพระมหาเจดีย์ทั้ง 3 องค์ คือ มีซุ้มคูหาเข้าไปภายในองค์พระมหาเจดีย์ได้ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาบหรือสีน้ำเงินเข้ม มีนามว่า "พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย" นับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4
หลังจากนั้น รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดำรัสว่า "ต่อไปในรัชกาลหลังอย่าให้เอาเป็นแบบอย่างที่จำเป็นจะต้องสร้างพระเจดีย์ประจำรัชกาลในวัดพระเชตุพนต่อไปเลย เพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4 รัชกาลแต่แรกนั้นได้เคยทรงเห็นกันทั้ง 4 พระองค์ ผิดกับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่น" ดังนั้น การสร้างพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลจึงได้ยุติลงตั้งแต่นั้นมา
มาที่ประตูวัดค่ะ คนมักจะเข้าใจผิดว่าตุ๊กตาสลักหินรูปจีน หรือ ลั่นถัน นายทวารบาลที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าประตูวัดนั้นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ แต่จริงๆไม่ใช่นะค้า
เอิ่ม...ป๋มไม่ใช่ยักษ์วัดโพธิ์นะก๊าบบ
มาอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนิยมสักการะค่ะ..
พระพุทธเทวปฏิมากร
พระพุทธเทวปฏิมากร นี้เป็นพระพุทธรูปโบราณมีพระลักษณะอันงามยาวที่จะหาพระพุทธรูปอื่นมาเปรียบได้ ปรากฏในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ ว่า
เดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัดศาลาสี่หน้า คือวัดคูหาสวรรค์บัดนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๒ พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนาวัดโพธารามซึ่งเป็นอารามเก่า ให้เป็นพระอารามใหญ่โตสำหรับพระนคร ทรงขนานนามว่า วัดพระเชตุพนฯ ครั้งนั้น จึงโปรดฯ ให้เชิญมาปฏิสังขรณ์สำเร็จแล้ว ทรงบรรจุพระบรมธาตุแล้วเชิญประดิษฐานเป็นพระประธานใน พระอุโบสถ ถวายพระนามว่า พระพุทธเทวปฏิมากร
ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ เป็นการใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ.๒๓๗๕ โปรดฯ ให้รื้อพระอุโบสถเก่าซึ่งสร้างไว้ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ ลงทั้งสิ้น แล้วทรงสร้างขึ้นใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเก่า ส่วนฐานพระพุทธเทวปฏิมากรนั้นรื้อของเก่าทำขึ้นใหม่ขยายเป็น ๓ ชั้น พระสาวกเดิมมี ๒ องค์ ทรงสร้างขึ้นใหม่อีก ๘ องค์ รวมเป็นพระสาวก ๑๐ องค์ ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริถึงพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลนั้นได้รับพระราชทานไปกระทำสักการบูชา เมื่อเจ้านายพระองค์นั้นๆ สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ไม่มีใครพิทักษ์รักษาได้เชิญมาเป็นของหลวงมีอยู่ ควรจะประดิษฐานไว้ให้มหาชนได้กระทำสักการบูชาโดยสะดวก จึงโปรดฯ ให้บรรจุพระบรมอัฐิในกล่องศิลา แล้วเชิญมาบรรจุไว้ในพุทธอาศน์พระพุทธเทวปฏิมากร และยังมีคำที่เล่าสืบกันมาว่าถึงพระอุณาโลมพระพุทธเทวปฏิมากรนั้น พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้โปรดฯ ให้สร้างถวายในครั้งนั้นด้วย
อนึ่งพระพุทธเทวปฏิมากรพระองค์นี้ ชะรอยพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงเคารพนับถือว่าเป็นเจดีย์สถานสำคัญแห่งหนึ่งมาช้านานแล้ว เพราะปรากฏในจดหมายเหตุว่า เมื่อได้ทรงรับพระบรมราชาภิเศกเสร็จแล้ว ได้เสร็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยสถลมารคเมื่อ ณ วันอังคาร เดือน ๖ แรม ๕ ค่ำ ปีกุญ พ.ศ. ๒๓๙๔
ครั้งนั้น จึงได้เสด็จประทับพระอุโบสถทรงกระทำสักการบูชาพระพุทธเทวปฏิมากรเป็นปฐม เรื่องนี้เลยเป็นพระราชประเพณีตั้งแต่นั้นสืบมา คือเมื่อเสด็จพระราชดำเนิรเลียบพระนครโดยสถลมารคนั้น ย่อมเสด็จประทับ ณ พระอุโบสถทรงกระทำสักการบูชาพระพุทธเทวปฏิมากรสืบมาทุกรัชกาล
ไหว้พระพุทธเทวปฏิมากรเสร็จแล้ว เรามาเดินเล่นกันต่อนะคะ
เก๋งจีนสงสัยจังว่ามีที่มายังไง คือไม่เคยเห็นใครทำเป็นหินทั้งก้อนแบบนี้อ่ะค่ะ แปลกดีจัง
เดินมาถึงบริเวณที่เค้ามีงานทอดกฐิน เลยได้ทานก๋วยเตี๋ยวฟรีค่ะ ดีจัง..กำลังหิวเลย อนุโมทนาบุญค่า
อิ่มแล้วเดินต่อมาถึงอุโบสถ เรามาไหว้พระกันหน่อยดีกว่าค่ะ
ของที่นิยมไหว้ เค้าว่าเป็นพวกผลไม้ เช่น กล้วย สับปะรด มะพร้าว
แต่วันนี้กล้วยหมดอ่า ก็เลยไหว้ได้แค่นี้เอง
เสร็จแล้วมาอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่นะคะ เขาฤาษีดัดตน
เขาฤาษีดัดตน
คือสวนสุขภาพแห่งหนึ่งอยู่ใกล้กับพระวิหารทิศใต้ เป็นพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ ๑ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมการแพทย์แผนโบราณ และศิลปวิทยาการครั้งกรุงศรีอยุธยาไว้
ทรงพระราชดำริเอาท่าดัดตนอันเป็นการพักผ่อนอิริยาบถ แก้ปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ประยุกต์รวมกับคติไทยที่ยกย่องฤษีเป็นครู ผู้ประสิทธิ์ประสาทศิลปวิทยาการต่างๆ เป็นรูปปั้นฤษีดัดตนท่าต่างๆ สมัยแรกสร้างนั้นปั้นด้วยดิน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ หล่อเป็นเนื้อชินอยู่จนถึงปัจจุบันเดิมมีทั้งหมด ๘๐ ท่า แต่ปัจจุบันคงเหลืออยู่ ๒๔ ท่า
เหมือนท่าโยคะเลยเนอะ...
ว่าแต่นี่คือท่าฤาษีดัดตนจริงๆเหรอก๊า
อันนี้ออกแนวฤาษีเบื่อโลกมากกว่านะ อิอิ
ตุ๊กตาหินจีนนี่ก็เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่เหมือนกันนะ
เดินชมความงามกันอย่างเพลิดเพลินเลยค่ะ มีอะไรให้ดูเยอะมากก
เดินมาถึงตรงนี้ ก็จะได้เจอยักษ์วัดโพธิ์ของจริงแล้วค่ะ เห็นแล้วอย่างงไป ขนาดเค้าจะไม่ใหญ่ ดูขึงขังเหมือนที่วัดอรุณนะคะ
ยักษ์สี่ตนนี้จะเฝ้าบริเวณซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑปค่ะ
ยักษ์กายสีชมพูชื่อ พญาสัทธาสูร ส่วนกายสีเขียวชื่อ พญาขร
มาอีกด้่านนะคะ ยักษ์กายสีแดงชื่อ พญาแสงอาทิตย์ ส่วนกายสีม่วงชื่อ พญาไมยราพณ์ค่ะ เค้าว่าพญาไมยราพณ์เป็นสีม่วง ทำไมอิชั้นถ่ายออกมาสีเขียวฟร่ะ
มาดูด้านในพระมณฑปค่ะ สวยงามมากๆ
จะบอกว่าการมาวัดโพธิ์ในวันนี้ไม่ผิดหวังเลยค่ะ ทั้งสวยงามและมีหลากหลาย ทุกสิ่งอย่างมีที่มาที่ไป เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานวัดหนึ่งเลย
แนะนำสำหรับคนที่ไม่เคยไป ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ...ขอบอก
Create Date : 27 ตุลาคม 2556 |
Last Update : 29 ตุลาคม 2560 14:11:57 น. |
|
10 comments
|
Counter : 2633 Pageviews. |
|
|