คุณแม่น้องแฝด ฮานากะฮารุ ^^
ขนาดโอบาม่ายังมาเยือน แล้วเราจะทำเชือนแชได้อย่างไร.....มาเที่ยววัดโพธิ์กันเถอะค่ะ ^0^



วันนี้จริงๆจะไปเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์สิริกิติ์  แต่เราอยากมาเที่ยวที่นี่ก่อน ก็เลยแวะมาค่ะ Smiley


จะบอกว่าอิชั้นอ่ะ อยากจะมาตั้งนานแล้ว....ตั้งแต่ตอนที่เห็นโอบาม่ามาเยือนเมืองไทย  เค้าก็เลือกมาที่นี่ แทนที่จะเป็นวัดพระแก้วซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว

ณ ตอนนั้น เคยฟังผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองวิเคราะห์ว่า วัดโพธิ์เป็นวัดที่ไม่ได้ออกแนวหรูหรา ฟู่ฟ่าเหมือนวัดพระแก้ว  แต่ดูติดดิน  และเข้าถึงผู้คนมากกว่า เนื่องจากเป็นวัดที่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนมาตั้งแต่สมัยโบราณ  เรียกว่าผูกพันจนถึงรากเหง้าของคนไทยสมัยรัตนโกสินทร์เลยก็ว่าได้ 

สำหรับโอบาม่าที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งรอบสองมาอย่างค่อนข้างจะยากเย็น (กว่ารอบแรก)   ก็เลยต้องการลุคแบบนี้  เพื่อจะเข้าถึงประชาชนอเมริกันในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ  เขาจึงเลือกที่จะมาที่วัดโพธิ์นั่นเอง



เสียงลือเสียงเล่าอ้างนี้ไม่รู้จะจริงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ วัดโพธิ์นี้ก็มีเสน่ห์พอตัวแหล่ะ  เป็นที่ท่องเที่ยวที่นิยมมาช้านาน เป็นวัดที่อยู่คู่กรุงรัตนโกสินทร์มาตั้งแต่ต้นรัชกาล และยังเป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยด้วย


มากมายสารพัดสิ่งดึงดูดใจขนาดนี้  จะรอช้าอยู่ทำไมค่ะ....มาเที่ยวกันดีกว่า Smiley


By the way  เรามา start ที่ BTS สถานีสะพานตากสินก่อนเน้อ




แล้วก็มาขึ้นเรือที่ท่าสาธรนะคะ  รอเรือด่วนมาแล้วก็ขึ้นเลย  จุดหมายเราคือท่าเตียนค่ะ  ค่าโดยสาร 15 บาท

พอถึงท่าเตียนก็ขึ้นโป๊ะและเดินข้ามมาเลยค่ะ 
ช่วงนี้น้ำอาจจะขึ้นเยอะหน่อย ดูน่ากลัวนิดนึง แต่ก็ยังข้ามได้สบายๆค่ะ
ซึ่งวัดโพธิ์จะอยู่ตรงข้ามท่าเรือเลย  เดินไปนิดนึงก็ถึงแล้ว  สะดวกสุดๆ



มาถึงแล้ว  ก่อนอื่นก็ถ่ายรูปตรงนี้ก่อนนะคะ






๙ สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์

บอกแล้วว่าเค้าไม่ธรรมดาเลยนะคะ


มาดูประวัติวัดโพธิ์กันหน่อยค่ะ


วัดพระเชตุพนตามประวัติสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง เดิมเรียกว่า "วัดโพธาราม" หรือ "วัดโพธิ์" ได้ถูกยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี


ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ใน พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส" เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช



พิธีราชาภิเษกของพระนโรดมที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

นับจากนั้นวัดพระเชตุพนได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้โปรดเกล้าฯ ให้จารึกสรรพตำราต่าง ๆ ลงบนแผ่นหินอ่อนประดิษฐ์ไว้ตามศาลารายต่าง ๆ 



ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้สร้อยนามพระอารามว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" และภายในพระอารามยังได้เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของพระนโรดม โดยนิตินัย ก่อนที่จะมีพิธีราชาภิเษกอีกครั้งที่กรุงพนมเปญ โดยพฤตินัย



พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ทรงถือว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอารามหลวงที่มีความสำคัญมาก และทรงถือเป็นพระราชประเพณี ที่จะทรงบูรณะซ่อมแซมวัดนี้ทุกรัชกาล 



นอกจากนี้ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามยังเป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เพราะเป็นแหล่งรวบรวมวิชาความรู้ด้านต่าง ๆ ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และการแพทย์ค่ะ


SmileySmileySmiley


เราเข้ามาที่วิหารพระพุทธไสยาสก่อนนะคะ



ข้างในวิหารมีการวาดภาพเขียนสี เรื่อง มหาวงศ์


วิหารพระพุทธไสยาส สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์โปรดให้พระองค์เจ้าลดาวัลย์เป็นแม่กองในการก่อสร้าง โดยได้สร้างพระพุทธไสยาสขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระวิหารภายหลัง โดยมีขนาดเท่ากับพระอุโบสถ 


ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ก่ออิฐ ถือปูน ปิดทองทั่วทั้งองค์ และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ โดยมีลักษณะพิเศษ ได้แก่ พระบาทซ้ายและขวาซ้อนเสมอกัน 



เห็นในรูปมาเยอะก็ว่าสวยแล้ว  สู้มาดูด้วยตาตัวเองจริงๆไม่ได้

จะบอกว่า งามมากกก ถึงมากที่สุด....สุดจะบรรยายเลยค่ะ  Smiley




ยิ่งพิศมององค์ท่านใกล้ๆ   ยิ่งรู้สึกว่าตัวเราเล็กกะจิ๋วเดียว


เปรียบเทียบกับธรรมะที่ยิ่งใหญ่แล้ว เราทุกคนก็เหมือนอยู่ในวัฏจักรเวียนวนเกิดแก่เจ็บตาย สุขสลับกับทุกข์อยู่ร่ำไป แต่ในความมืดมนของชีวิตยังมีสายพระเนตรของสมเด็จพระสัมนาสัมพุทธเจ้าทอดลงมาด้วยความห่วงใยในสัตว์โลก


โดยหนทางที่น่าจะดับทุกข์ได้ คงต้องใช้ธรรมะนำทางเพื่อให้หลุดพ้นจากสภาวะวัฏจักรสังขารนี้เท่านั้นค่ะ





จากนั้นมาดูของที่ระลึกที่โอบาม่า ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามอบให้ไว้เมื่อคราวมาเยืยนที่วัดค่ะ

กล่องสีฟ้ามีรูปทำเนียบขาว  ภายในมีเทียนสีขาวสามชิ้น 



เชิงเทียนแก้วสลักข้อความ ‘มอบไว้เป็นที่ระลึกจากประธานาธิบดีโอบามา’  


จากนั้นมาที่ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาลนะคะ


ถ่ายไม่สวยเลย ย้อนแสงสุดๆ  Smiley


พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ องค์ ตั้งอยู่ถัดจากพระอุโบสถ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วสีขาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์แบบจีน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ เครื่องถ้วยหลากสี มีตุ๊กตาหินจีนประดับอยู่ประตูละคู่ … ด้านในกำแพงแก้ว มีจารึกอยู่โดยรอบ เป็นจารึกทางการรักษาโรค


องค์พระมหาเจดีย์นั้นเป็นแบบเจดีย์ย่อไม้สิบสองทั้งหมด ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ


เดิมทีรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญโกลนพระศรีสรรเพชญดาญาณ จากวัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา ด้วยทรงประสงค์จะหล่อพระศรีสรรเพชญองค์นี้ขึ้นมาใหม่…


แต่หลังจากทรงปรึกษากับคณะสงฆ์แล้ว คณะสงฆ์ได้ทูลถวายว่า การนำโกลนพระศรีสรรเพชญดาญาณมาหลอมใหม่นั้น ถือเป็นขีด เป็นกาลกิณี
ไม่เป็นมงคลแก่บ้านเมือง จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ แบบย่อมุมไม้ยี่สิบ ครอบโกลนพระศรีสรรเพชญนี้ไว้ และพระราชทานพระนามเจดีย์ว่า "พระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ"


องค์พระเจดีย์ประด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว ตั้งอยู่ตรงกลางของหมู่พระมหาเจดีย์ ล้อมรอบด้วยพระมหาเจดีย์อีก 3 องค์ นับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1


ต่อมาในรัชกาลที่ 3 พระองค์ทรงมีพระประสงค์ทะนุบำรุงวัดพระเชตุพนฯ ทรงสร้างพระมหาเจดีย์ขนาบข้างกับพระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ ดังนั้น จึงเป็นเจดีย์สามองค์เรียงกันจากเหนือจรดใต้ โดยมีลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้ยี่สิบ ขนาดและความสูงเหมือนกันทุกประการ ต่างเพียงสีกระเบื้องที่มาประดับเท่านั้น


โดยพระมหาเจดีย์ทางทิศเหนือของพระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ
ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว นามว่า "พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรรกนิทาน" ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นเพื่อพระราชอุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมราชชนก ซึ่งนับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2


ส่วนพระมหาเจดีย์ทางทิศใต้ของพระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณนั้น ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง นามว่า "พระมหาเจดีย์มุนีบัติบริขาน" ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยนับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ด้วย


เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงโปรดเกล้าให้ถ่ายแบบพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย มาจากวัดสวนหลวงสบสวรรค์ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อสร้างขึ้นเป็นพุทธบูชา 


โดยองค์พระมหาเจดีย์มีลักษณะที่แตกต่างจากพระมหาเจดีย์ทั้ง 3 องค์ คือ มีซุ้มคูหาเข้าไปภายในองค์พระมหาเจดีย์ได้ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาบหรือสีน้ำเงินเข้ม มีนามว่า "พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย"
นับเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4


หลังจากนั้น รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดำรัสว่า "ต่อไปในรัชกาลหลังอย่าให้เอาเป็นแบบอย่างที่จำเป็นจะต้องสร้างพระเจดีย์ประจำรัชกาลในวัดพระเชตุพนต่อไปเลย เพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4 รัชกาลแต่แรกนั้นได้เคยทรงเห็นกันทั้ง 4 พระองค์ ผิดกับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่น" ดังนั้น การสร้างพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลจึงได้ยุติลงตั้งแต่นั้นมา


SmileySmileySmileySmiley


มาที่ประตูวัดค่ะ  คนมักจะเข้าใจผิดว่าตุ๊กตาสลักหินรูปจีน หรือ ลั่นถัน นายทวารบาลที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าประตูวัดนั้นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ แต่จริงๆไม่ใช่นะค้า







เอิ่ม...ป๋มไม่ใช่ยักษ์วัดโพธิ์นะก๊าบบ Smiley



มาอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนิยมสักการะค่ะ..

พระพุทธเทวปฏิมากร


พระพุทธเทวปฏิมากร นี้เป็นพระพุทธรูปโบราณมีพระลักษณะอันงามยาวที่จะหาพระพุทธรูปอื่นมาเปรียบได้   ปรากฏในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ ว่า 


เดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัดศาลาสี่หน้า คือวัดคูหาสวรรค์บัดนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๒ พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนาวัดโพธารามซึ่งเป็นอารามเก่า ให้เป็นพระอารามใหญ่โตสำหรับพระนคร ทรงขนานนามว่า วัดพระเชตุพนฯ ครั้งนั้น จึงโปรดฯ ให้เชิญมาปฏิสังขรณ์สำเร็จแล้ว ทรงบรรจุพระบรมธาตุแล้วเชิญประดิษฐานเป็นพระประธานใน พระอุโบสถ ถวายพระนามว่า “พระพุทธเทวปฏิมากร”

     ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ เป็นการใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ.๒๓๗๕ โปรดฯ ให้รื้อพระอุโบสถเก่าซึ่งสร้างไว้ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ ลงทั้งสิ้น แล้วทรงสร้างขึ้นใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเก่า ส่วนฐานพระพุทธเทวปฏิมากรนั้นรื้อของเก่าทำขึ้นใหม่ขยายเป็น ๓ ชั้น พระสาวกเดิมมี ๒ องค์ ทรงสร้างขึ้นใหม่อีก ๘ องค์ รวมเป็นพระสาวก ๑๐ องค์ ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้

     ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริถึงพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลนั้นได้รับพระราชทานไปกระทำสักการบูชา เมื่อเจ้านายพระองค์นั้นๆ สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ไม่มีใครพิทักษ์รักษาได้เชิญมาเป็นของหลวงมีอยู่ ควรจะประดิษฐานไว้ให้มหาชนได้กระทำสักการบูชาโดยสะดวก จึงโปรดฯ ให้บรรจุพระบรมอัฐิในกล่องศิลา แล้วเชิญมาบรรจุไว้ในพุทธอาศน์พระพุทธเทวปฏิมากร และยังมีคำที่เล่าสืบกันมาว่าถึงพระอุณาโลมพระพุทธเทวปฏิมากรนั้น พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้โปรดฯ ให้สร้างถวายในครั้งนั้นด้วย

     อนึ่งพระพุทธเทวปฏิมากรพระองค์นี้ ชะรอยพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงเคารพนับถือว่าเป็นเจดีย์สถานสำคัญแห่งหนึ่งมาช้านานแล้ว เพราะปรากฏในจดหมายเหตุว่า เมื่อได้ทรงรับพระบรมราชาภิเศกเสร็จแล้ว ได้เสร็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยสถลมารคเมื่อ ณ วันอังคาร เดือน ๖ แรม ๕ ค่ำ ปีกุญ พ.ศ. ๒๓๙๔ 


ครั้งนั้น จึงได้เสด็จประทับพระอุโบสถทรงกระทำสักการบูชาพระพุทธเทวปฏิมากรเป็นปฐม เรื่องนี้เลยเป็นพระราชประเพณีตั้งแต่นั้นสืบมา คือเมื่อเสด็จพระราชดำเนิรเลียบพระนครโดยสถลมารคนั้น ย่อมเสด็จประทับ ณ พระอุโบสถทรงกระทำสักการบูชาพระพุทธเทวปฏิมากรสืบมาทุกรัชกาล


ไหว้พระพุทธเทวปฏิมากรเสร็จแล้ว  เรามาเดินเล่นกันต่อนะคะ

เก๋งจีนสงสัยจังว่ามีที่มายังไง คือไม่เคยเห็นใครทำเป็นหินทั้งก้อนแบบนี้อ่ะค่ะ  แปลกดีจัง



เดินมาถึงบริเวณที่เค้ามีงานทอดกฐิน เลยได้ทานก๋วยเตี๋ยวฟรีค่ะ  ดีจัง..กำลังหิวเลย Smiley อนุโมทนาบุญค่า





อิ่มแล้วเดินต่อมาถึงอุโบสถ เรามาไหว้พระกันหน่อยดีกว่าค่ะ 






ของที่นิยมไหว้ เค้าว่าเป็นพวกผลไม้ เช่น กล้วย สับปะรด มะพร้าว

แต่วันนี้กล้วยหมดอ่า  ก็เลยไหว้ได้แค่นี้เอง 



เสร็จแล้วมาอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่นะคะ
เขาฤาษีดัดตน



เขาฤาษีดัดตน

คือสวนสุขภาพแห่งหนึ่งอยู่ใกล้กับพระวิหารทิศใต้ เป็นพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ ๑ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมการแพทย์แผนโบราณ และศิลปวิทยาการครั้งกรุงศรีอยุธยาไว้ 

ทรงพระราชดำริเอาท่าดัดตนอันเป็นการพักผ่อนอิริยาบถ แก้ปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ประยุกต์รวมกับคติไทยที่ยกย่องฤษีเป็นครู ผู้ประสิทธิ์ประสาทศิลปวิทยาการต่างๆ เป็นรูปปั้นฤษีดัดตนท่าต่างๆ สมัยแรกสร้างนั้นปั้นด้วยดิน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ หล่อเป็นเนื้อชินอยู่จนถึงปัจจุบันเดิมมีทั้งหมด ๘๐ ท่า แต่ปัจจุบันคงเหลืออยู่ ๒๔ ท่า


เหมือนท่าโยคะเลยเนอะ...




ว่าแต่นี่คือท่าฤาษีดัดตนจริงๆเหรอก๊า  Smiley


อันนี้ออกแนวฤาษีเบื่อโลกมากกว่านะ อิอิ Smiley





ตุ๊กตาหินจีนนี่ก็เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่เหมือนกันนะ




เดินชมความงามกันอย่างเพลิดเพลินเลยค่ะ  มีอะไรให้ดูเยอะมากก 




เดินมาถึงตรงนี้ ก็จะได้เจอยักษ์วัดโพธิ์ของจริงแล้วค่ะ  เห็นแล้วอย่างงไป  ขนาดเค้าจะไม่ใหญ่ ดูขึงขังเหมือนที่วัดอรุณนะคะ  

ยักษ์สี่ตนนี้จะเฝ้าบริเวณซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑปค่ะ




ยักษ์กายสีชมพูชื่อ พญาสัทธาสูร  ส่วนกายสีเขียวชื่อ พญาขร


มาอีกด้่านนะคะ  ยักษ์กายสีแดงชื่อ พญาแสงอาทิตย์  ส่วนกายสีม่วงชื่อ พญาไมยราพณ์ค่ะ
 เค้าว่าพญาไมยราพณ์เป็นสีม่วง ทำไมอิชั้นถ่ายออกมาสีเขียวฟร่ะ Smiley



มาดูด้านในพระมณฑปค่ะ  สวยงามมากๆ




จะบอกว่าการมาวัดโพธิ์ในวันนี้ไม่ผิดหวังเลยค่ะ  ทั้งสวยงามและมีหลากหลาย ทุกสิ่งอย่างมีที่มาที่ไป  เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานวัดหนึ่งเลย


แนะนำสำหรับคนที่ไม่เคยไป  ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ...ขอบอก












Create Date : 27 ตุลาคม 2556
Last Update : 29 ตุลาคม 2560 14:11:57 น. 10 comments
Counter : 2633 Pageviews.

 
thx u crab


โดย: Kavanich96 วันที่: 28 ตุลาคม 2556 เวลา:4:27:22 น.  

 
เห็นรูปสวยๆแล้วเสียดายที่เคยไปแต่ไม่ได้ถ่ายรูปและไม่ได้ไปนวดที่วัดโพธ์เลยค่ะ


โดย: ร้อยคืนหมื่นวัน วันที่: 28 ตุลาคม 2556 เวลา:12:13:48 น.  

 
คุ้นเคยมากครับ วัดนี้ ไปบ่อย
มีพระระเบียงโบสถ์ชั้นใน อยู่ใน
ความดูแลของครอบครัวเราหนึ่งองค์
เวลาว่างๆ และวัดไม่มีงาน คนไม่เยอะ
ชอบไปเดินดู

ขอบคุณที่ไปดูอาหารที่บ้านเราทำ



โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) วันที่: 28 ตุลาคม 2556 เวลา:15:46:32 น.  

 
เห็นรูปแล้วอยากกลับไปเที่ยวอีกจัง


โดย: phunsud วันที่: 28 ตุลาคม 2556 เวลา:18:35:38 น.  

 
ตอนเด็ก ๆ ชอบไปดูยักษ์วัดแจ้ง ยักษ์วัดโพธิ์ ไม่ได้แวะไปนานมาแล้วครับ


โดย: แมวเซาผู้น่าสงสาร วันที่: 28 ตุลาคม 2556 เวลา:22:33:16 น.  

 
แวะไปชมพายแอปเปิล เลยได้มาอ่านเรื่องวัดโพธิ์

ดีจังค่ะ...เคยไปวัดโพธิ์ น่าจะไม่เกิน 2 หนเอง ในชีวิต นานนนนมากแล้วด้วย
ไม่เคยมองในรายละเอียด หรือรู้ดีเทลมากมาย เหมือนอย่างที่นั่งอ่านจากบล็อกวันนี้เลย

ขอบคุณที่พาไปเที่ยวอีกครั้งและให้ความรู้ดีๆเกี่ยวกับวัดนี้ค่ะ


โดย: little mouse in big apple วันที่: 29 ตุลาคม 2556 เวลา:1:25:54 น.  

 
ปล.จะพิมพ์ว่าขอบคุณที่แวะไปชมพายแอปเปิลค่ะ พิมพ์ตกไป ขอโทษด้วยค่ะ


โดย: little mouse in big apple วันที่: 29 ตุลาคม 2556 เวลา:1:27:34 น.  

 
วัดโพธิ์ไม่ได้ไปนานแล้วค่ะ ต้องหาโอกาสกลับไปอีกซักรอบ


โดย: บาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน วันที่: 29 ตุลาคม 2556 เวลา:8:04:55 น.  

 
น่าเที่ยวมากค่ะ อยากไป ไม่มีโอกาสซักที


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 29 ตุลาคม 2556 เวลา:10:52:16 น.  

 
มาเที่ยววัดโพธฺ์ด้วยคนค่า
เป็นวัดที่สวยงามมากๆๆๆ
แถมมีประวัติที่น่าสนใจจริงๆ
ต้องสารภาพว่าหนึ่งเพิ่งรู้ตอนที่ได้อ่านนี่เองหลายๆเรื่อง
จริงๆเกือบทุกเรื่องเลย แฺ่

เคยไปเที่ยวนานมากมาแล้ว มีนักท่องเที่ยวเยอะพอควรค่ะ
แต่ไม่รู้ประวัติ เที่ยวไม่ค่อยสนึก
มาอ่านแล้วเที่ยวแบบนี้ สนุกขึ้นเยอะเลย


โดย: AdrenalineRush วันที่: 29 ตุลาคม 2556 เวลา:20:14:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hi hacky
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




Life is a journey....
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add hi hacky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.