space
space
space
 
พฤศจิกายน 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
space
space
4 พฤศจิกายน 2558
space
space
space

บันทึกรุ้งหยก ตะวันเจิดจ้า ตอนที่ 1 (นิยายกำลังภายใน)
1

บุรุษพิการกลางสายฝน

ลมเย็นกรรโชกแรงเมฆดำก่อตัวเป็นผืนแผ่นจากประจิมทิศ เสียงอสนีบาตกัมปนาทก้องสายฝนพลันโปรยปรายจากท้องฟ้าเป็นเส้นสาย ชั่วไม่นานแปรเปลี่ยนเป็นสาดเทดุจฟ้ารั่วราดรดผืนแผ่นดินราวกับน้ำตกสวรรค์ไหลลงมาจากฟากฟ้า

ฝนห่าใหญ่เช่นนี้ไม่ปรากฏมาในรอบหลายปีตกติดต่อกันเจ็ดวันเจ็ดคืน ท่วมท้นทั่วผืนดินผืนป่าจนแทบกลายเป็นแม่น้ำทะเลไป ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายที่ชายป่าริมแม่น้ำเห็นควันขาวพวยพุ่งขึ้นสายหนึ่ง

ควันไฟนี้ลอยขึ้นจากกระท่อมน้อยริมแม่น้ำหลังหนึ่งกระท่อมน้อยนี้จัดสร้างอย่างสมถะ ความจริงอยู่ห่างจากแม่น้ำสามสิบสี่สิบวาแต่ผลจากฝนตกติดต่อกันหลายวันระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นจนริมน้ำอยู่ห่างจากกระท่อมน้อยไม่ไกล

ที่ห้องครัวด้านหลังกระท่อม สตรีชรานางหนึ่งกำลังโบกพัดเร่งไฟในเตาเห็นควันขาวพวยพุ่ง ยาสมุนไพรในหม้อเดือดปุดส่งกลิ่นฉุนเฉียวไปทั่วบริเวณ

สตรีชรานางนี้อายุราวหกสิบเจ็ดสิบปีใบหน้านางยับย่นบนศีรษะปรากฏหงอกขาวแซมเป็นเส้นสาย นางรินยาเทลงในชามเคลือบค่อยยกประคองขึ้น เดินหลังงองุ้มเข้าไปในกระท่อม

ภายในกระท่อมน้อยคับแคบ กางกั้นเป็นห้องน้อยห้องหนึ่งภายนอกจัดวางไว้ด้วยตู้ไม้เก่าผุ โต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่งบนผนังด้านข้างแขวนไว้ด้วยร่างแห คันเบ็ดสั้นหลายคัน สตรีชราเดินถึงแคร่ไม้ที่มุมห้องบนแคร่นั้นกลับนอนไว้ด้วยร่างคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้ตลอดร่างพันไว้ด้วยผ้าขาวกระทั่งศีรษะใบหน้าก็โพกไว้หลงเหลือเพียงดวงตาข้างขวาพริ้มหลับ เห็นใต้ซอกแขนซ้ายเขาว่างเปล่ากลับขาดด้วนไป แขนขวากับขาทั้งสองข้างถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนเส้นใหญ่กลับเป็นคนพิการที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสผู้หนึ่ง

ชายพิการนั้นนอนหลับใหลไม่ได้สติ สตรีชราวางชามเคลือบยาไว้ด้านข้างนั่งลงประคองศีรษะคนพิการนั้นขึ้น ใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือบีบมุมปากคนผู้นั้นขึ้นเล็กน้อยฉวยชามเคลือบขึ้นมาเป่าอยู่ชั่วขณะ ค่อยๆกรอกยาสมุนไพรลงไป กรอกถึงช่วงหนึ่งน้ำยาล้นถึงมุมปากต้องชะงักไว้ รอให้ยาไหลลงคอ ค่อยกรอกลงไปใหม่กระทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งคราค่อยกรอกยาสมุนไพรชามนั้นหมดสิ้น

สตรีชราป้อนยาให้ชายพิการนั้นเสร็จสิ้นใช้ผ้าขาวบางเช็ดปากเพิ่งวางศีรษะชายพิการนั้นลง ประตูห้องพลันเปิดออกชายชราผมเผ้าหงอกขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามา ชายชราผู้นี้ใบหน้าเหลืองซีดผิวหนังยับย่นรูปร่างผ่ายผอมราวกับไก่ป่วย พอเดินเข้ามาใกล้ก็พลันกล่าวขึ้นว่า

“เป็นไร ฟื้นแล้วหรือไม่?”

สตรีชรานั้นส่ายศีรษะคราหนึ่งสีหน้าเปี่ยมแววกังวลชายชรานั้นทอดถอนใจ กล่าวว่า

“หมอแซ่เจี่ยบอกว่าหากรับประทานยาเทียบนี้หมดสิ้น ยังไม่ฟื้นตื่นก็ไม่อาจแก้ไขรักษาแล้ว”

สตรีชรานั้นแบมือซ้ายออกมือขวาชี้นิ้วชี้หนึ่งนิ้วแกว่งไปมาเหนือมือซ้ายชายชรานั้นผงกศีรษะคราหนึ่งกล่าวว่า

“นี่เป็นยาเทียบสุดท้ายหากภายในพรุ่งนี้มันยังไม่ฟื้นตื่นก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม”

กล่าวพลางทอดถอนใจอีกครา สตรีชรานั้นสีหน้าทอแววผิดหวังชายชราเห็นเช่นนั้นพลันกล่าวขึ้นว่า

“นี่มิอาจโทษว่าผู้ใดได้คนผู้นี้ความจริงสมควรตกตายแต่แรก ที่มันยังมีชีวิตรอดถึงตอนนี้นับว่าปาฏิหาริย์แล้วท่านก็อย่าได้เศร้าเสียใจไป”

สตรีชราผงกศีรษะรับคราหนึ่งจ้องมองชายพิการบนแคร่นั้นแววตาเปี่ยมแววสมเพชเวทนา

ชายชราร่างผ่ายผอมผู้นี้เรียกว่าลี้สี่ สตรีชรานั้นเป็นภรรยาของเขา นางเป็นใบ้มิอาจพูดจา คนทั้งสองอาศัยอยู่ที่กระท่อมริมแม่น้ำนี้หลายสิบปีกระท่อมน้อยนี้ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางป่าเขา รอบข้างไร้บ้านช่องผู้คนหมู่บ้านใกล้ที่สุดยังห่างไปห้าสิบกว่าลี้ ชายชราลี้สี่มีอาชีพชาวประมงหาปลาทุกสามวันมักออกไปหาปลานำไปขายยังหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

หลายวันก่อน ชายชราลี้สี่ออกเรือหาปลาเพิ่งออกเรือได้ไม่นาน จู่ๆฝนพลันตกลงมา ฝนยิ่งตกยิ่งหนาหนัก เห็นเป็นฤกษ์ไม่ดีประกอบกับเพิ่งออกเรือมาไม่ไกลดังนั้นหันหัวเรือกลับ เพิ่งถึงบ้านก็พบเห็นชายพิการผู้นี้นอนแน่นิ่งอยู่บนแคร่เห็นคนผู้นี้บาดเจ็บปางตาย สภาพคล้ายซากศพมากกว่าผู้คน ต้องแตกตื่นตกใจพอถามไถ่ภรรยาใบ้นางกรีดนิ้ววาดมือบอกว่า ขณะเย็บผ้าอยู่ในห้องหับจู่ๆได้ยินเสียงเคาะประตูดังถี่รัวพอออกมาดูกลับพบเห็นชายพิการผู้นี้ล้มฟุบอยู่หน้ากระท่อม ชายชราลี้สี่เห็นช่วยเหลือคนสำคัญกว่าดังนั้นไม่ถามไถ่มากความ บอกให้ภรรยาใบ้ห้ามเลือดทำแผลให้กับชายพิการตนเองลงเรือล่องไปรับตัวหมอแซ่เจี่ยจากหมู่บ้านมาตรวจรักษา เดินทางครึ่งค่อนวันค่อยกลับมาถึงเห็นชายพิการใบหน้าซีดขาวหายใจรวยรินแต่ยังไม่เสียชีวิต ต้องลอบนึกขอบคุณที่ตนเองอยู่ห่างไกลผู้คนภายในบ้านจึงเก็บสมุนไพรรักษาบาดเจ็บไว้ไม่น้อยเผื่อยามคับขันจำเป็นยามนี้นำมาใช้รักษาชายพิการสาหัสผู้นี้กลับสามารถช่วยยื้อชีวิตไว้ได้ระยะเวลาหนึ่ง

หมอแซ่เจี่ยพอตรวจสอบอาการ ต้องส่ายศีรษะทอดถอนใจหลังจากทำแผลพอกยา ก็เขียนเทียบยาใบหนึ่งค่อยกล่าวว่า

“อาการบาดเจ็บของคนผู้นี้สาหัสยิ่งสามารถมีลมหายใจถึงตอนนี้นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว ท่านต้มยาเทียบนี้ป้อนให้เขากิน หากยังไม่ฟื้นตื่นนั่นได้แต่โทษว่าฟ้าดินไม่เวทนา”

ชายชราลี้สี่สองสามีภรรยารับฟังอดนึกสงสารชายพิการผู้นี้มิได้ทั้งสองมีจิตใจดีงาม แม้เห็นชายพิการนี้นอกจากบาดเจ็บสาหัสยังถูกล่ามโซ่ตราตรวนแสดงว่าเรื่องราวไม่รวบรัดธรรมดาเกรงว่าเกี่ยวข้องกับทางการเสียเจ็ดแปดส่วน แต่กลับไม่ได้คำนึงถึง พวกเขาเฝ้าดูแลรักษาชายพิการนั้นด้วยดีล่วงถึงวันนี้นับเป็นวันที่แปด ยาเทียบสุดท้ายนี้กรอกถึงท้องเท่ากับถึงกำหนดความเป็นตายของชายพิการผู้นี้แล้ว

สตรีชรานั้นคอยเฝ้าดูอาการชายพิการไม่ห่างค่ำคืนนั้นสายฝนยังโปรยปรายไม่หยุดยั้งหลังรับประทานอาหารค่ำนางนั่งปะชุนเสื้อผ้าอยู่ข้างแคร่ที่นอนของชายพิการ ด้านชายชราลี้สี่กลับเข้าห้องหับนอนหลับไป

ค่ำคืนหนาวเหน็บ ฝนตกหนาหนัก ชายชราลี้สี่หลับไหลถึงกลางดึกพลันได้ยินเสียงภรรยาใบ้ร้องอูอาต้องสะดุ้งตื่นขึ้นรู้สึกสายลมกรรโชกดังหวืดหวือจากเบื้องนอก พอผลักประตูออกไปปรากฏสายฝนสาดมาปะทะใบหน้าหลังคากระท่อมกลับปลิวหายไปแถบหนึ่ง

สายฝนโถมกระหน่ำเข้ามาภายในกระท่อมอย่างคลุ้มคลั่งข้าวของภายในปลิวว่อนกระจัดกระจาย เห็นสตรีชราตัวเปียกปอนโอบอุ้มชายพิการส่งเสียงร้องเรียกอูอายามนั้นลมฝนยิ่งมายิ่งกรรโชกรุนแรง ตัวกระท่อมสั่นไหวราวถูกจับเขย่า พายุฝนเช่นนี้ไม่เคยพบพานมาก่อนขณะส่งเสียงเรียกภรรยา พลันได้ยินเสียงโครม เสาไม้ร่วงฟาดลงมาฝาบ้านกลับถูกพัดปลิวหายไปซีกหนึ่ง

ชายชราลี้สี่ใจหายวาบโถมถึงข้างสตรีชราใบ้เคราะห์ดีเสาไม้กลับฟาดถูกโต๊ะเตี้ยที่ด้านข้างเห็นชายพิการบนแคร่ร่างสั่นกระตุกรัวใบหน้าบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวแดงฉาน อาการบาดเจ็บคล้ายทรุดหนักลงสตรีชรานั้นกรีดนิ้ววาดมือบอกให้ช่วยเหลือชายพิการนี้ไปยังห้องหับชายชราลี้สี่พยักหน้าคราหนึ่ง ทันใดนั้นฟ้าแลบแปลบปลาบเสียงเปรี้ยงดังเลือนลั่นเสาไม้อีกต้นหนึ่งร่วงฟาดลงมา อารามตกใจรีบฉุดมือสตรีชราพุ่งถอยไปด้านหลัง เสาไม้ต้นนั้นฟาดใส่แคร่ที่นอนของชายพิการนั้นพร้อมทั้งหลังคากระท่อมอีกแถบหนึ่งร่วงหล่นลงมา

ชายชราลี้สี่สองสามีภรรยาแตกตื่นตกใจยิ่งไม่ทราบชายพิการนั้นเป็นตายร้ายดีประการใด ขณะคิดเข้าไปช่วยเหลือ พริบตานั้นเบื้องหน้าบังเกิดแสงเจิดจ้าวูบฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาชายชราลี้สี่สองสามีภรรยาถูกกระแทกไปปะทะกับผนังห้องสิ้นสติสมประดี

ไม่ทราบเนิ่นนานเท่าใดชายชราลี้สี่ค่อยฟื้นตื่นขึ้น ยามนั้นสายฝนสร่างซา ที่ขอบฟ้าปรากฏแสงสว่างรำไร เป็นเวลารุ่งสางแล้วเขาฟื้นตื่นขึ้นอย่างมึนงง เห็นรอบข้างซากเศษไม้ เศษข้าวของกระจัดกระจาย กระท่อมน้อยของตนพังทลายไปแถบหนึ่งต้องใจหายวาบเหลียวมองหาภรรยาใบ้เห็นนางอยู่ด้านข้างเพิ่งฟื้นตื่นจากสลบไสลเช่นกัน

ทั้งสองครองคู่อยู่ร่วมมาหลายสิบปี ผูกพันรักใคร่ดุจเป็นคนเดียววันนี้ผ่านพ้นห้วงวิกฤติร่วมกัน พอสบตาเห็นอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บอันตรายค่อยคลายใจลง เวลานั้นค่อยคำนึงถึงสภาพรอบข้าง

ยามนั้นทั้งสองฉุกคิดถึงชายพิการนั้นพอเหลียวหันมองเห็นรอบข้างพังพินาศตำแหน่งแคร่ที่นอนของชายพิการนั้นกลับสุมซ้อนด้วยกองเถ้าถ่านกองหนึ่ง หวนนึกถึงเมื่อคืนขณะจะเข้าไปช่วยเหลือชายพิการพลันปรากฏฟ้าผ่าลงมาพวกตนทั้งสองเลอะๆเลือนๆ ไม่ทราบฟ้าผ่าที่ใดกลับถูกกระแทกจนสิ้นสติหาคาดไม่ที่แท้ฟ้าผ่าใส่แคร่ที่นอนของชายพิการ ชายพิการนั้นบาดเจ็บครึ่งเป็นครึ่งตายต่อให้ไม่ถูกฟ้าผ่าก็ยังยากรอดชีวิตเช่นนี้ไหนเลยยังมีชีวิตรอดอยู่ได้?

ชายชราลี้สี่มองดูกองซากเถ้าถ่านในใจนึกสมเพชเวทนาคนผู้นี้ชะตาอาภัพประสบเคราะห์ซ้ำกรรมซัดถูกฟ้าผ่าจบชีวิตใต้กองเถ้าถ่านอย่างอนาถยามนั้นเห็นสตรีชราใบ้สีหน้าเศร้าสลด ต้องทอดถอนใจกล่าวว่า

“นี่ได้แต่โทษว่าสวรรค์ไม่เมตตา ต่อให้ไม่ถูกฟ้าผ่าด้วยสภาพของเขาเช่นนั้นก็มิแน่ว่าจะรอดชีวิตถึงวันนี้”

ขณะจะกล่าวปลอบประโลมอีกหลายคำสตรีชราใบ้กลับโบกมือบอกให้ลดสุ้มเสียงลง เห็นนางขมวดคิ้วเอียงศีรษะคล้ายตั้งใจเงี่ยฟังสุ้มเสียงใดชั่วขณะ ค่อยเบิกตากลมกว้างชี้ไม้ชี้มือไปยังกองเถ้าถ่านนั้น

ชายชราลี้สี่งงงันวูบหนึ่งถามว่า “มีสิ่งใด?”สตรีชราใบ้กรีดนิ้ววาดมือบอกว่า ได้ยินเสียงชายพิการใต้กองเถ้าถ่านนั้นชายชราลี้สี่อุทานอาคราหนึ่ง เดินเข้าใกล้กองเถ้าถ่านนั้นทดลองเงี่ยหูฟังดูกลับได้ยินเสียงไอเบาๆหลายครา

ชายชราลี้สี่ทั้งแตกตื่นทั้งยินดีหวนนึกถึงภรรยาแม้เป็นใบ้ไม่อาจพูดจาแต่มีโสตประสาทปราดเปรียวกว่าตนเองเขาไม่ทันสังเกตสนใจนางกลับได้ยินก่อน ยามยินดีชักชวนกันรื้อกองซากเถ้าถ่านนั้น

ทั้งสองรื้อเศษเถ้าถ่านที่ไหม้เกรียมออกชั้นหนึ่งค่อยพบว่าหลังคาหญ้านี้ถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านเพียงผิวเผิน ด้านล่างรอยไหม้ยิ่งหดแคบ คาดว่าเมื่อคืนฝนสาดซัดหนาหนักประกอบกับหลังคาหญ้านี้เปียกน้ำตั้งแต่แรก ไฟจากฟ้าผ่าพอลุกไหม้ก็มอดดับเช่นนี้ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้แก่ชายชราลี้สี่สองสามีภรรยาอีกหลายส่วน

ชายชราลี้สี่และภรรยาแม้สูงวัย แต่อาศัยอยู่กลางป่าเขาทำงานหนักออกกำลังมาตลอด เปรียบกับคนทั่วไปในวัยเดียวกันร่างกายนับว่าแข็งแรงไม่น้อยประกอบกับทั้งสองแรงช่วยกันแข็งขัน ชั่วไม่นานก็รื้อกองหลังคาหญ้านั้นออกหมดสิ้น ที่ใต้กองหลังคาหญ้าที่ปรากฏเป็นท่อนเสาไม้สองต้นที่ล้มฟาดเมื่อคืนวางพาดกันเหนือร่างของชายพิการที่นอนหายใจรวยริน

ชายชราลี้สี่ยินดียิ่งส่งเสียงร้องว่า

“คนผู้นี้ยังไม่ตายจริงๆ”

จากนั้นอุทานเอ๊ะกล่าวว่า

“นี่โชคดีสาหัสแล้ว”

ที่แท้เสาไม้ต้นหลังที่ล้มลงฟาดใส่แคร่ที่นอนนั้นปลายด้านหนึ่งกลับพาดกับเสาไม้ล้มฟาดใส่โต๊ะเตี้ยที่อยู่ด้านข้างทีแรกเป็นเหตุให้เสาไม้ไม่ฟาดใส่ร่างของชายพิการนี้ ทั้งยังพาดขวางรับหลังคาหญ้าที่ร่วงหล่นคลุมลงมาอย่าว่าแต่เสาไม้พอดีทาบติดกับทรวงอกของเขาตำแหน่งกึ่งกลางเสาไม้อยู่เหนือร่างชายพิการยังปรากฏรอยไหม้เป็นวงขนาดย่อม แสดงว่าถูกฟ้าผ่าใส่ขอเพียงรอยฟ้าผ่านี้เบี่ยงเบนเพียงครึ่งหุนหนึ่งนิ้ว ต้องฟาดจนร่างชายพิการนี้ไหม้เกรียมไปแล้ว

นี่สมควรเรียกว่าวาสนาในคราเคราะห์จริงๆ

ชายชราลี้สี่และสตรีชราใบ้เคลื่อนย้ายเสาไม้นั้นออกอย่างยากเย็นเห็นชายพิการนั้นนอนอยู่ใต้กองซากไม้เถ้าถ่านค่ำคืนหนึ่งร่างกายเปียกปอนสกปรกมอมแมม ผ้าพันแผลบ้างเลอะเทอะ บ้างหลุดลุ่ยโดยเฉพาะที่ทรวงอกคล้ายปรากฏรอยไหม้เล็กน้อย ขณะพิจารณาว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่ใด จู่ๆชายพิการนั้นพลันส่งเสียงไอแค่กๆติดต่อกันดวงตาขวาที่หลงเหลือเพียงข้างเดียวค่อยๆลืมตื่นขึ้น

สองสามีภรรยาเห็นชายพิการนี้พลันฟื้นตื่นขึ้นต้องแตกตื่นยินดีส่งเสียงโห่ร้องอย่างลืมตัวสตรีชราใบ้โถมเข้าไปถึงเบื้องหน้า ชายพิการนั้นคล้ายมึนงงสงสัยพอเห็นสตรีชราใบหน้ายับย่นส่งเสียงอูอาโถมเข้ามา ยามตื่นตกใจพลันร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า“ท่าน...ท่านเป็นใคร” พลางดิ้นรนหมายลุกขึ้นแต่ตลอดร่างอ่อนล้าเรี่ยวแรงศีรษะเพิ่งผงกขึ้นกลับร่วงฟาดไปด้านหลังสิ้นสติไปอีกครา

ชายชราลี้สี่ใจหายวาบจากยินดีกลับกลายเป็นตื่นตระหนกรุดเข้าไปชมดูเห็นชายพิการแม้ใบหน้าซีดขาว ลมหายใจแผ่วล้าทว่าราบเรียบสม่ำเสมอ คล้ายไม่เป็นอย่างไรหวนนึกถึงหมอแซ่เจี่ยบอกว่า หากมันผ่านพ้นค่ำคืนวานฟื้นตื่นขึ้นแสดงว่ารอดพ้นจากห้วงคับขัน เมื่อครู่ไยมิใช่มันฟื้นตื่นขึ้นแล้วครุ่นคิดถึงตอนนี้ค่อยคลายใจลง บอกกล่าวต่อสตรีชราใบ้คราหนึ่งชักชวนกันอุ้มร่างชายพิการนี้เข้าไปด้านในห้องนอนของตนที่ไม่ถูกลมพายุพัดทลายหลังจากเช็ดตัวผลัดเปลี่ยนผ้าแห้งให้แก่ชายพิการ ชายชราลี้สี่พลันครุ่นคิดขึ้น ‘แต่ไม่อาจวางใจจะอย่างไรต้องเชิญหมอแซ่เจี่ยมาตรวจดูสักครา’ดังนั้นบอกให้สตรีชราใบ้เฝ้าดูแลชายพิการตนเองออกเรือไปรับตัวหมอแซ่เจี่ยที่หมู่บ้านมา

หมอแซ่เจี่ยตรวจดูอาการของชายพิการราวครึ่งชั่วยามเศษชายชราลี้สี่เห็นมันมีสีหน้าลำบากยากใจ ต้องเอ่ยปากถามว่า

“เป็นไร อาการบาดเจ็บของมันไม่ทุเลาหรือ?”

หมอแซ่เจี่ยส่ายศีรษะคราหนึ่งกล่าวว่า

“ไม่ อาการบาดเจ็บของมันดียิ่ง”

จากนั้นขมวดคิ้วพลางกล่าว

“เพียงแต่ออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้างหลายวันก่อนท่านพาเรามาตรวจรักษามัน มันได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งภายนอกและภายในกล่าวได้ว่าตายไปแล้วเก้าส่วน โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บบอบช้ำภายในหนักหนาสาหัส เส้นลมปราณถูกทำลายชีพจรยุ่งเหยิง บอกกล่าวตามตรงเราเองก็อับจนปัญญารักษา ได้แต่จ่ายยารักษาตามอาการหวังเพียงสามารถยื้อชีวิตมันไว้ได้นานเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไหนเลยคาดคิดวันนี้มันมิเพียงรักษาชีวิตไว้ อาการบาดเจ็บยังทุเลาราวปาฏิหาริย์อย่าว่าแต่อาการบาดเจ็บภายในของมัน เส้นลมปราณของมัน อืมห์ นี่ออกจะแปลกประหลาด ยากบ่งบอกยากบ่งบอก...”

ชายชราลี้สี่เพียงกังวลสนใจอาการบาดเจ็บของชายพิการพอฟังว่าอาการบาดเจ็บของมันดียิ่ง ค่อยโล่งใจ ส่วนที่หมอแซ่เจี่ยกล่าววาจายืดยาวคล้ายรับฟังคล้ายไม่รับฟังกล่าวว่า

“ประเสริฐแท้ คนผู้นี้มีบุญวาสนาบาดเจ็บปางตายยังรอดชีวิตได้”

เช้าวันรุ่งขึ้นชายชราลี้สี่ไปส่งหมอแซ่เจี่ยยังหมู่บ้านหมอแซ่เจี่ยจัดยาบำรุงกำลังให้ ทั้งบอกว่า ชายพิการนั้นเพิ่งฟื้นตัวจากบาดเจ็บร่างกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ยามกระทันหันได้รับความตระหนกสิ้นสติไปขอเพียงบำรุงกำลังฟื้นฟูเรี่ยวแรง ไม่กี่วันก็ฟื้นตื่นขึ้นมา

ชายชราลี้สี่สองสามีภรรยาทราบเช่นนี้ยิ่งดูแลชายพิการนั้นเป็นอย่างดียามนี้บ้านน้อยหายไปแถบหนึ่ง ได้แต่ให้ชายพิการนี้นอนบนเตียงของตนเอง ส่วนพวกตนปูเสื่อนอนบนพื้นกระด้างชายพิการนั้นหลับไหลไม่ได้สติ บางครั้งละเมอเพ้อฝัน บางครั้งร่ำร้องโวยวาย คนหลั่งเหงื่อโทรมกายคล้ายตกอยู่ในห้วงฝันร้าย

ล่วงถึงวันที่สามขณะที่ทั้งหมดอยู่ภายในห้องหับคนผู้นี้พลันฟื้นตื่นขึ้นมา ชายชราลี้สี่และสตรีชราใบ้ยินดียิ่ง ยามนี้บาดแผลบนร่างของเขาสมานตัวเจ็ดแปดส่วนบนใบหน้าไม่พันผ้าพันแผล เห็นใบหน้าเขาคมสัน คิ้วดั่งคันทวน แต่ดวงตาข้างซ้ายถูกทิ่มแทงบอดไปบาดแผลยาวพาดเฉียงจากมุมหน้าผากด้านซ้ายถึงริมฝีปากด้านขวา รอยแผลนี้ฟันจนสันจมูกบิดเบี้ยวมองไปทั้งลี้ลับทั้งน่าสะพรึง

ชายพิการนั้นพอฟื้นตื่นก็กลอกตาข้างเดียวนั้นมองไปมาจนมาหยุดที่ชายชราลี้สี่สองสามีภรรยา เหม่อมองชั่วครู่ค่อยเอ่ยปากถามขึ้นว่า

“นี่เป็นสถานที่ใด?”

ชายชราลี้สี่เห็นชายพิการฟื้นตื่นขึ้นมากลับไม่แตกตื่นลนลานเช่นครั้งแรกทราบว่าครั้งนี้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ดังนั้นแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า

“นี่เป็นกระท่อมน้อยของเรา ท่านบาดเจ็บสาหัสสิ้นสติไปหลายวันเราเป็นห่วงแทบตาย เกรงว่า....” ความจริงชายชราลี้สี่คิดกล่าว“เกรงว่าท่านไม่รอดแล้ว” แต่พลันฉุกคิดขึ้นคำกล่าวเช่นนี้ไหนเลยกล่าวต่อหน้าได้ดังนั้นเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า

“หมอแซ่เจี่ยบอกว่าท่านเมื่อฟื้นตื่นขึ้นก็ไม่เป็นไรแล้ว ฮาฮาฮา”

ชายพิการกล่าวอย่างเซื่องซึมว่า

“พวกท่านเป็นคนช่วยเหลือข้าพเจ้า?”

ชายชราลี้สี่พยักหน้าคราหนึ่งกล่าวว่า

“เป็นภรรยาเราพบเห็นท่านได้รับบาดเจ็บสิ้นสติอยู่หน้าบ้านค่อยฉุดลากท่านเข้ามา หลังจากหมอแซ่เจี่ยทำการรักษา นางเป็นคนที่คอยเฝ้าดูแล”

ชายชราลี้สี่เพียงเอ่ยอ้างถึงภรรยากลับไม่กล่าวถึงตนเองเห็นชายพิการรับฟังคล้ายเหม่อลอยคล้ายซึมเซา ดังนั้นกล่าวสืบต่อไปว่า

“ท่านไฉนถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสปานนี้อย่าว่าแต่กลางป่าเขารกร้าง ท่านมาถึงกระท่อมน้อยเราได้อย่างไร?”

ชายพิการกลับเหม่อมองไปนอกหน้าต่างดวงตาข้างเดียวเวิ้งว้างเลื่อนลอย กับคำกล่าวของชายชราลี้สี่คล้ายไม่ได้ยินไม่ได้ฟังชายชราลี้สี่เห็นชายพิการไม่ตอบคำคาดว่าไม่ยินดีเอ่ยถึงเรื่องราวนี้ ดังนั้นไม่สะดวกแก่การถามไถ่อีกจึงหันเหหัวเรื่องกล่าวว่า

“ท่านมีชื่อเรียกหาว่าอย่างไร?”

ชายพิการเหม่อมองนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอยปากคล้ายพึมพำคำว่า “เราไฉนยังไม่ตาย...เราไฉนยังไม่ตาย”พอได้ยินเสียงชายชราลี้สี่เรียกหาค่อยรู้สึกตัว หันมาเหลือบมองแขนที่ขาดด้วนโซ่เหล็กที่ล่ามตรวนเท้าทั้งสองอย่างซึมเซา เงียบงันอยู่ชั่วขณะค่อยกล่าวอย่างช้าๆว่า

“ข้าพเจ้า เรียกว่า เซี่ยวฮ้ง”

ชายชราลี้สี่ร้องอ้อคำหนึ่งกล่าวว่า

“เราแซ่ลี้ เรียกว่า ลี้สี่กระท่อมน้อยเรานี้อยู่กลางป่าเขารกร้าง ในรัศมีห้าสิบลี้นี้ปราศจากผู้คนท่านวางใจพักรักษาบาดเจ็บให้หายดีเถอะ พวกเราสองสามีภรรยาปราศจากบุตรหลานภรรยาเราชมชอบท่านนัก นางต้องดูแลรักษาท่านเป็นอย่างดีเพียงแต่นางเป็นใบ้ไม่อาจพูดจา ท่านก็เรียกนางเป็น พั้วพั่วใบ้ เถอะ”

สตรีชราใบ้แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนกรีดวาดมือคราหนึ่งชายชราลี้สี่กล่าวว่า

“นางบอกว่า ท่านเพิ่งฟื้นจากบาดเจ็บร่างกายอ่อนแอค่ำคืนนี้นางจะตุ๋นไก่ดำให้ท่านรับประทานบำรุงกำลัง”

ชายพิการนั้นพยักหน้าอย่างเซื่องซึมคราหนึ่งกล่าวว่า

“ขอบคุณพวกท่านทั้งสอง”

ผ่านไปหลายวัน อาการบาดเจ็บของชายพิการเซี่ยวฮ้งทุเลาตามลำดับคนผู้นี้เงียบงันซึมเซามิใคร่พูดจา แม้อาศัยอยู่ร่วมกับชายชราลี้สี่สองสามีภรรยาหลายวันน้อยครั้งที่จะปริปากกล่าวคำ กับเรื่องราวของตนเองยิ่งไม่เอ่ยถึงชายชราลี้สี่เห็นมันไม่บอกเล่าก็ไม่ถามไถ่

เซี่ยวฮ้งฟื้นตัวอย่างรวดเร็วบาดแผลบนทรวงอกใบหน้าสมานตัวทิ้งเป็นริ้วรอยสองสาย ผ่านไปอีกหลายวันชายชราลี้สี่ซ่อมแซมกระท่อมน้อยเสร็จสิ้นอาการบาดเจ็บของเซี่ยวฮ้งก็ทุเลาแทบเป็นปรกติ สามารถลุกขึ้นเดินเหิน ทว่าคนผู้นี้เซื่องซึมเซานอกจากยามรับประทานอาหารแล้ว มักนั่งเหม่อลอยคล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์หาได้สนใจเรื่องราวรอบข้างไม่

ค่ำคืนย่างกราย ม่านวิกาลคลี่คลุมจันทร์เสี้ยวแหว่งเว้า ผิวน้ำสะท้อนประกายดาวระยิบระยับ คืนนี้อากาศร้อนอบอ้าว ที่โขดหินริมน้ำเซี่ยวฮ้งนั่งเหม่อมองท้องฟ้าอย่างเงียบงันรอบข้างเงียบสงัดร่างมันกลมกลืนไปในความมืดมิด ยามนั้นเมฆดำกลุ่มหนึ่งลอยผ่านมาแสงจันทร์สาดลอดผ่านกลุ่มเมฆเป็นลำแสงสายหนึ่ง ฉาบไล้ลงบนใบหน้าเซี่ยวฮ้งเห็นแววตามันเหม่อลอย คนคล้ายเซื่องซึมมองดูสายน้ำไหลเอื่อย ในใจไม่ทราบครุ่นคิดถึงเรื่องราวอันใด?

ทันใดนั้นที่ด้านหลังปรากฏสุ้มเสียงดังขึ้นว่า

“ค่ำคืนนี้ร้อนอบอ้าวนัก”

ผู้มาเป็นชายชราลี้สี่ ในมือมันถือน้ำเต้าสุราสองใบมันแย้มยิ้มพลางหยิบยื่นน้ำเต้าสุราให้แก่เซี่ยวฮ้งใบหนึ่งทรุดนั่งลงบนก้อนหินด้านข้างค่อยกล่าวขึ้นว่า

“ท่านทราบหรือไม่ลำน้ำนี้เรียกว่าอะไร?”

เซี่ยวฮ้งส่ายศีรษะบอกไม่ทราบชายชราลี้สี่พลันกล่าวสืบต่อไปว่า

“ลำน้ำนี้ความจริงไม่มีชื่อแต่ตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี้ เราเรียกว่า ลำน้ำปลาใหญ่เราสองสามีภรรยาอาศัยอยู่ที่นี้มาสามสิบกว่าปี รอบข้างไร้บ้านช่องผู้คนได้แต่อาศัยลำน้ำนี้ หาปู ปลา เลี้ยงชีวิตนี่เรียกว่าลำน้ำมิเพียงหล่อเลี้ยงชีวิตปู ปลา ยังกำหนดชะตาชีวิตคนหากลำน้ำนี้ไม่มีปลาใหญ่ เราสองสามีภรรยาไหนเลยยังมีชีวิตรอดได้?”

กล่าวพลางส่งเสียงหัวร่อฮาฮากรอกสุราใส่ปากอึกหนึ่ง ค่อยกล่าวขึ้นว่า

“ท่านมิใช่ชาวบ้านชาวป่าอาศัยอยู่ละแวกนี้กระมัง?”

เซี่ยวฮ้งกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า

“ท่านทราบได้อย่างไร?”

ชายชราลี้สี่กล่าวว่า

“ท่านผิวพรรณผุดผ่องมิได้หยาบกร้านหาคลับคล้ายชาวบ้านที่ตากแดดกรำฝนไม่”

เซี่ยวฮ้งส่งเสียง อ้อ คำหนึ่งชายชราลี้สี่กล่าวสืบต่อไปว่า

“เราเห็นท่านตั้งแต่ฟื้นตื่นขึ้นมาได้แต่เงียบงันซึมเซาตลอดเวลา ใช่มีเรื่องทุกข์ใจอันใดกระมัง?”

เซี่ยวฮ้งมองสายน้ำไหลเอื่อยพลางกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าไม่มีอันใดไม่สบายใจ”

ชายชราลี้สี่เห็นเซี่ยวฮ้งแม้กล่าวว่า“ไม่มีอันใด” ทว่าดวงตาแฝงความเศร้าสร้อย ต้องทอดถอนใจแหงนหน้ามองฟ้า กรอกสุราอีกอึกหนึ่งเอื้อนเอ่ยขึ้นว่า

“ท่ามกลางมวลมาลย์บุปผาหนึ่งกาสุรา ลำพังดื่มเดียวดาย ยกแก้วชักชวนจันทร์หงาย ต่อหน้าเงากลายสามคนตั้งวงน้ำเมา

แม้จันทร์มิรู้ดื่มเหล้าอีกทั้งเจ้าเงา คอยแต่ติดตามดำนู หากถือจันทร์เป็นเงาเพื่อนครู่ สมควรชื่นชูทันกาลเสพสุขชีวา

ขับเพลงคล้อยเคลื่อนจันทรา ร่ายรำทำท่าเงาตามลีลาแกว่งไกว ยามตื่นร่วมสนุกสุขใจ ยามเมาหลับใหล ต่างร้างราเลิกจากกัน

มิสนสถานะผูกพัน คบชั่วนิรันดร์หมายมั่นนภันตร์เจอะเจอ”

โคลงนี้เป็นบทกวีเดี่ยวดื่มใต้แสงจันทร์ ของยอดกวีลี้แป๊ะในสมัยถังกล่าวถึงตัวลี้แป๊ะดื่มสุราเดียวดาย กลับยึดถือดวงจันทร์และเงาร่างตัวเองในน้ำเป็นเพื่อนร่ำสุรามาตรว่าลี้แป๊ะบรรยายบรรยากาศได้น่ารื่นอภิรมย์แต่ในความรื่นรมย์กลับแฝงความอ้างว้างเดียวดาย

เซี่ยวฮ้งเหม่อลอยซึมเซาพอได้ยินโคลงกวีบทนี้สีหน้าคล้ายแปรเปลี่ยนวูบหนึ่ง จากนั้นคืนสู่ความเฉื่อยชาหันมากล่าวว่า

“ท่านรู้จักโคลงกวีบทนี้?”

น้ำเสียงคล้ายสั่นสะท้านอยู่บ้าง ชายชราลี้สี่แย้มยิ้มที่มุมปากเลิกคิ้วกล่าวว่า

“ท่านคาดคิดไม่ถึงกระมัง?”

ที่แท้โคลงกวีของลี้แป๊ะนี้สำนวนโวหารเรียบง่ายทว่าลึกล้ำ หากมิใช่บัณฑิตนักศึกษา บุคคลทั่วไปน้อยคนที่รู้จักอย่าว่าแต่ชายชราลี้สี่เป็นชาวประมงชนบทผู้หนึ่งเกรงว่ากระทั่งตัวหนังสือยังรู้จักไม่ถึงสิบตัว

เซี่ยวฮ้งกลับเงียบงันไปชั่วขณะดวงตามองทอดไปไกล กล่าวอย่างเลื่อนลอยว่า

“ข้าพเจ้าคาดไม่ถึงจริงๆ”

คำกล่าวคล้ายรำพึงรำพันกับตัวเองคล้ายกล่าวต่อชายชราลี้สี่ ชายชราลี้สี่กล่าวว่า “เราก็ทราบว่าท่านต้องคาดคิดไม่ถึง”พลางหัวร่อเล็กน้อย ขมวดคิ้วครุ่นคิดชั่วขณะ พลันกล่าวสืบต่อไปว่า

“เรามีนิทานเรื่องหนึ่งคิดบอกเล่าให้ท่านลองฟังดู”

ไม่รอให้เซี่ยวฮ้งตอบคำพลันบอกเล่าออกไป

“หลายสิบปีก่อนยังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ บิดามันเป็นมหาเศรษฐีแห่งเมืองโซวจิวตระกูลมันมิเพียงร่ำรวยเงินทอง ยังมากอำนาจวาสนาบรรพบุรุษมันนับสืบไปห้ารุ่นเป็นถึงเสนาบดีกรมวัง ดังนั้นเป็นที่ยำเกรงแก่ผู้คนตัวมันเองก็เพียบพร้อมทั้ง รูปกาย สติปัญญาทั้งมีความเป็นอยู่เลอเลิศตั้งแต่เยาว์วัย นับเป็นแบบฉบับกงจื้อ(คุณชาย)ตระกูลใหญ่โดยสมบูรณ์

มันเป็นบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลบิดามันล้วนฝากความรักความหวังทั้งมวลไว้ที่มัน หวังให้มันดำเนินรอยตามบรรพบุรุษสอบรับราชการเป็นขุนนางใหญ่จึงว่าจ้างอาจารย์มีชื่อเสียงมาจากทั่วทุกสารทิศมาอบรมสอนดังนั้นมันมิเพียงเป็นกงจื้อรุ่มรวยยังเป็นนักศึกษาคงแก่เรียนผู้หนึ่ง

กงจื้อผู้นั้นร่ำเรียนหนังสือตั้งแต่หกขวบศึกษากับอาจารย์เลิศล้ำมาสิบกว่าปี แตกฉานตำราทั้งห้า(หมายถึงตำราคำภีร์โบราณทั้งห้าที่ขงจื้อได้รวบรวมไว้ อันได้แก่ ซือจิงหรือคัมภีร์กวีนิพนธ์ ซูจิงหรือประวัติศาสตร์โบราณ หลี่จี้ หรือบันทึกว่าด้วยธรรมเนียมประเพณีอี้จิงหรือคัมภีร์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงและชุนชิว หรือประวัติศาสตร์สมัยชุนชิว)หลักพิชัยสงคราม โคลงฉันท์กาพย์กลอนล้วนท่องจำขึ้นใจกล่าวถึงด้านสติปัญญาเชื่อมั่นว่าไม่ด้อยกว่าผู้ใด หากแต่เหนือฟ้ายังมีฟ้าโลกภายนอกกว้างไพศาลมากผู้มีปัญญา ปีนั้นกงจื้อนั้นกลับสอบไม่ผ่านยามผิดหวังเสียใจถึงกับกินไม่ได้นอนหลับ ร่างกายผ่ายผอมลงทุกวันสร้างความเจ็บปวดใจแก่บิดามารดามันยิ่งนักสุดท้ายท้อแท้ถึงที่สุดผูกเชือกกับขื่อคาแขวนคอหมายฆ่าตัวตาย แต่ชะตายังไม่ถึงฆาตหญิงรับใช้กลับมาพบเห็นช่วยเหลือมันได้ทันท่วงที

หญิงรับใช้นั้นความจริงเข้ามาทำงานในบ้านมันไม่นานหากแต่จิตใจดีงาม วันนั้นนางยกถาดอาหารมาส่งยังห้องกงจื้อ บังเอิญพบเห็นเหตุการณ์นับตั้งแต่นั้นนางกริ่งเกรงกงจื้อผู้นั้นคิดฆ่าตัวตายอีกจึงอาสามาส่งอาหารห้องกงจื้อนั้นทุกวันอาศัยโอกาสนี้กล่าววาจาปลอบประโลมหลายคำ กงจื้อผู้นั้นยามทดท้อไม่แยแสสนใจนางกลับเพียรมาดูแลพูดจาปลุกปลอบกำลังขวัญ ความจริงทั้งสองอายุไม่ห่างกันเท่าใดยามพูดจาย่อมล่วงรู้จิตใจของอีกฝ่าย กงจื้อผู้นั้นรับฟังทุกวันค่อยเปิดใจภายหลังพูดคุยถูกคอลืมเลือนความท้อแท้อาลัยไป กลับกลายเป็นทุกวันเฝ้าให้หญิงรับใช้นั้นมาส่งอาหารเพื่อได้พบเจอกับนาง

ผลการอยู่ร่วมทุกเช้าค่ำกลับบ่มเพาะเป็นความรักโดยไม่รู้ตัวกงจื้อนั้นบังเกิดกำลังใจท่องอ่านหนังสืออีกครา วันเวลาผ่านไปรวดเร็วทางราชสำนักจัดสอบรับราชการอีกครั้ง คราครั้งนี้กงจื้อกลับสมปรารถนา สอบได้ตำแหน่งขุนนางประจำมณฑลฮกเกี้ยนยามยินดีปรีดากลับบ้าน ในใจหมายรับตัวหญิงรับใช้มาตบแต่งเป็นภรรยาแต่มิคาดนางกลับสาบสูญไป ทั้งบิดามารดายังหมั้นหมายธิดาขุนนางท้องที่ผู้หนึ่งให้กงจื้อนั้นไม่ยินยอม บิดามันเดือดดาลเป็นการใหญ่ กักขังไว้ภายในบ้านกงจื้อเห็นความนี้มีเลศนัย สอบถามบ่าวคนสนิทค่อยทราบว่าบิดาทราบเรื่องระหว่างมันกับหญิงรับใช้ท่านไม่ยินยอมให้บุตรชายตบแต่งคนรับใช้เป็นภรรยา ดังนั้นขับไล่นางออกจากบ้านฟังว่าหญิงรับใช้นั้นกลับไปอยู่บ้านเดิม กงจื้อผู้นั้นยามร้อนรุ่มใจลอบหลบหนีออกจากบ้านในคืนนั้น สืบเสาะจนพบนางมิคาดยามนั้นนางป่วยไข้ไม่สบายกลับกลายพิการเป็นใบ้แล้ว”

บอกเล่าถึงตอนนี้ พลันหยุดเล็กน้อย เซี่ยวฮ้งรับฟังอย่างเงียบงันยามนั้นค่อยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“บิดาผู้นั้นไม่ถูกต้องคนทั้งสองรักใคร่กัน ไยต้องคำนึงฐานะอันใด”

ชายชราลี้สี่ยิ้มพลางกล่าวว่า

“กาลก่อนเราก็เคยคิดเช่นนั้นท่านลองฟังเราบอกเล่าจนจบเป็นไร?”

พลางกล่าวสืบต่อไปว่า

“คนทั้งสองรักใคร่ผูกพันด้วยชีวิตกงจื้อผู้นั้นไม่แยแสว่าหญิงรับใช้นั้นเป็นใบ้หรือฐานะต่ำต้อยค่ำคืนนั้นตบแต่งเป็นสามีภรรยา มันทราบว่าบิดาต้องส่งคนติดตามมาดังนั้นนำภรรยาหลบหนีไปยังเมืองข้างเคียง ภายหลังกลับสืบทราบว่า ตำแหน่ง ขุนนางนั้นเป็นบิดาติดสินบนซื้อหามา กงจื้อบังเกิดความละอายใจไม่กลับไปรับตำแหน่งอีกคิดเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ชั่วชีวิตมีความเป็นอยู่สุขสบาย ไม่เคยกระทำเรื่องราวใดมาก่อนคิดประกอบอาชีพเช่นคนทั่วไปกลับไม่ง่ายดายนัก

ภายหลังบิดามันสืบเสาะมาถึงท่านให้มันทอดทิ้งภรรยาติดตามกลับไป กงจื้อไม่ยินยอม บิดามันกลับส่งคนมารังควานหมายบีบบังคับให้มันทอดทิ้งภรรยากลับบ้าน มันได้แต่นำภรรยาหลบหนีอีกแต่ไม่ว่าหลบหนีไปถึงที่ใด คนของบิดาล้วนติดตามมาถึง สองสามีภรรยาหลบหนีหลายปีค่อยเสาะพบถึงสถานที่เปลี่ยวร้างแห่งหนึ่งคนของบิดาสืบหาไม่เจอไม่ได้ติดตามมาอีก

คนทั้งสองไม่เผชิญการรังควานอีกกลับครองคู่อยู่ร่วมอย่างมีความสุข หญิงรับใช้นั้นมาตรว่าเป็นใบ้ไม่อาจพูดจาแต่กลับสามารถหุงหาอาหาร ดูแลบ้านเรือน นับเป็นภรรยาที่ดีผู้หนึ่ง กงจื้อผู้นั้นก็รักใคร่ดูแลนางมันแปรเปลี่ยนจากกงจื้อตระกูลใหญ่เป็นชาวบ้านชนบทผู้หนึ่ง ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวคนทั้งสองต่างดูแลกันและกัน ผ่านไปหลายปีหญิงรับใช้นั้นให้กำเนิดบุตรชายแก่กงจื้อผู้นั้นคนหนึ่ง เด็กชายนั้นทั้งเฉลียวฉลาดทั้งน่ารัก กงจื้อนั้นก็ทุ่มเทความรักทะนุถนอมแก่บุตรจนหมดสิ้นแต่ฟ้าคล้ายไม่ปราณีผู้คน บุตรชายมันเพิ่งเติบใหญ่กลับป่วยไข้สาหัสความจริงโรคร้ายนี้หากอยู่ในเมือง มีเงินทองสามารถจ้างหมอมารักษาได้แต่กงจื้อตัดขาดจากตระกูลยามนี้เป็นชาวชนบทยากไร้อาศัยในถิ่นเปลี่ยวร้างไหนเลยมีปัญญาว่าจ้างหมอเก่งกาจมารักษาบุตรชายมันป่วยไข้ได้ห้าวันก็เสียชีวิตลงสร้างความเศร้าเสียใจแก่กงจื้อสองสามีภรรยานั้นประหนึ่งจะขาดใจตายตาม”

กล่าวถึงตรงนี้สีหน้ากลับหม่นหมองลงพลันกรอกสุราใส่ปากอึกหนึ่ง หันมากล่าวกับเซี่ยวฮ้งว่า

“บุตรชายมันยามเสียชีวิตคล้ายอายุไม่ห่างจากท่านเท่าใด”

ยามกล่าววาจาดวงตาทอประกายลึกล้ำเซี่ยวฮ้งพลันเอ่ยขึ้นว่า

“คาดว่ากงจื้อผู้นั้นแค้นเคืองบิดาตนเองยิ่งนักใช่หรือไม่?”

ชายชราลี้สี่แย้มยิ้มคราหนึ่งกล่าวว่า

“ผิดแล้ว ในชีวิตกงจื้อผู้นั้นเผชิญเรื่องราวผิดหวังเศร้าเสียใจครั้งใหญ่ไม่ต่ำกว่าสี่ห้าครั้งแต่ที่เศร้าเสียใจที่สุดเป็นการเสียชีวิตของบุตรชาย มันยิ่งเศร้าเสียใจต่อการตายของบุตรรักปานใดกลับยิ่งทราบถึงความรักความหวังดีที่บิดาทุ่มเทให้แก่มันเท่านั้น ยามนั้นค่อยสำนึกถึงความรักที่บิดามีต่อตนความแค้นเคืองต่อบิดาในหลายปีนี้พลันสลายไปหมดสิ้น”

“ความรักผูกพันฉันท์บิดาบุตรนั้นลึกล้ำยิ่งใหญ่สุดที่ความแค้นเคืองอันใดตัดขาดได้”

เซี่ยวฮ้งรับฟังอย่างเงียบงัน สีหน้ามันแม้เรียบเฉยแต่ดวงตาทอประกายวูบวาบจากนั้นกล่าวช้าๆว่า

“ภายหลังกงจื้อนั้นเป็นอย่างไร?”

ชายชราลี้สี่ทอดถอนใจคราหนึ่งกล่าวว่า

“กงจื้อนั้นพอฉุกใจได้คิด ก็นึกละอายใจต่อบิดาไม่กล้าบากหน้ากลับไป ภายหลังไม่นาน ได้ข่าวว่าบิดามันเสียชีวิตลงสร้างความเศร้าเสียใจแก่มันไปชั่วชีวิต”

กล่าวจบทอดถอนใจอีกคราสองมือไพล่หลังแหงนหน้าเหม่อมองท้องฟ้า แผ่นหลังงองุ้มเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

เซี่ยวฮ้งพลันกล่าวขึ้นว่า

“ท่านคือกงจื้อผู้นั้นหญิงรับใช้นั้นก็คือพั้วพั่วใบ้ภรรยาท่าน”

ชายชราลี้สี่รับฟังเพียงแย้มยิ้มทั้งไม่ตอบรับทั้งไม่ปฏิเสธ กลับกล่าวว่า

“ท่านเชื่อถือแล้วกระมังว่าเรารู้จักโคลงกวีของลี้แป๊ะจริงๆ”

ชายชราลี้สี่แม้ไม่กล่าวจากปากแต่เช่นนี้เท่ากับยอมรับแล้วเรื่องราวของกงจื้อผู้นั้นนับเป็นเรื่องราวอันวิโยคโศกตรมเรื่องหนึ่งชายชราลี้สี่ยามบอกเล่าบางคราสีหน้าเศร้าสลด บางคราน้ำเสียงแจ่มใสยินดีราวกับเผชิญเรื่องราวด้วยตนเองเพียงแต่สภาพชายชราลี้สี่ยามนี้ไหนเลยใกล้เคียงกับคำว่า “กงจื้อ (คุณชาย)ที่หล่อเหลารุ่มรวย” ผู้อื่นหากได้ยินเรื่องราวนี้ต้องล้วนคิดว่าชายชราลี้สี่นี้เพ้อเจ้อเหลวไหล ไหนเลยคาดคิดว่าเป็นเรื่องจริง

ชายชราลี้สี่กรอกสุราอึกหนึ่งจากนั้นรำพึงรำพันขึ้นว่า

“ชีวิตคนเฉกเช่นตะวันบนฟ้า วันนี้แม้ลาลับทว่ายังมีรุ่งเช้าวันใหม่ไม่ว่าเรื่องราวใดขอเพียงยังมีโอกาส ภายภาคหน้าไม่แน่ว่ายังสามารถแก้ไขกลับกลายขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ย่อมยังมีโอกาสแก้ไขทุกเรื่องราว”

เซี่ยวฮ้งรับฟังใบหน้าเรียบเฉยค่อยกล่าวช้าๆขึ้นว่า

“บิดาท่านเมื่อเสียชีวิตเวลานั้นท่านยังมีโอกาสแก้ไขอันใด?”

ชายชราลี้สี่รับฟังกลับไม่มีโทสะเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า

“เรายังบอกเล่าท่านไม่หมดสิ้นเรื่องราวที่บิดาเราเสียชีวิต เราสำนึกเสียใจตลอดมา ก่อนท่านตายได้ส่งบ่าวเก่าแก่คนสนิทออกตามหาเราทว่าเราอยู่กลางป่าเขารกร้างห่างไกลผู้คน วันที่บ่าวคนสนิทเสาะพบเราก็เป็นเวลาปีเศษบิดาเราเสียชีวิตตั้งแต่เดือนที่สามที่พวกมันออกมา สร้างความเศร้าเสียใจแก่เรายิ่งนักดังนั้นติดตามพวกมันกลับไปเคารพหลุมศพบิดา พอไปถึงบ้านเก่า ค่อยพบว่ามิเพียงใหญ่โตเช่นกาลก่อนแต่ยังโอ่โถงกว่าเดิมแสดงว่ากิจการของตระกูลยิ่งมายิ่งรุ่งเรือง ดังนั้นลอบสอบถามข่าวคราวค่อยทราบว่าหลังจากบิดาเราล้มป่วยลง น้องชายต่างมารดาเราก็ดูแลกิจการแทนมันอายุห่างจากเราสิบกว่าปี สติปัญญาเฉลียวฉลาด ฟังว่าหลังจากเราจากไปหลายปีมันเข้าสอบขุนนางครั้งแรกกลับได้ถึงตำแหน่งถ้ำฮวย หลังจากบิดาล้มป่วยก็ลาออกจากราชการมาดูแลกิจการแทนอาศัยเวลาเพียงปีเศษ กิจการของตระกูลลี้เราก็ก้าวหน้ารุ่งเรืองกว่าเดิมเราพอทราบเช่นนั้นในใจทั้งนึกละอายทั้งริษยาอยู่บ้าง ค่ำคืนนั้นเราและภรรยาพำนักยังห้องเดิมของเราพบว่าห้องหับยังเป็นเฉกเช่นเมื่อครั้งเราอยู่ โต๊ะ เตียง หนังสือยังวางในตำแหน่งเดิม ในห้องยังรมด้วยกลิ่นกำยานที่เราโปรดปราน บ่าวรับใช้เก่าแก่บอกว่าตั้งแต่เราจากไปบิดาเราสั่งให้ดูแลห้องนี้เฉกเช่นเดิม หวังว่าสักวันเรากลับมาเวลานั้นเราคล้ายถูกค้อนหนักพันชั่งฟาดใส่ทรวงอก เข่าทั้งสองข้างคล้ายไร้เรี่ยวแรงหลังจากครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่ค่ำคืนหนึ่ง รุ่งเช้ากราบไหว้หลุมศพบิดาก็ชักชวนภรรยาลอบจากมาโดยไม่บอกกล่าว”

“ท่านทราบหรือไม่เพราะเหตุใด?”

เซี่ยวฮ้งกล่าวว่า

“ท่านสำนึกเสียใจต่อบิดาท่านไม่อาจบากหน้าอยู่ที่นั่นสืบไป”

ชายชราลี้สี่กล่าวว่า

“ท่านกล่าวไม่ผิดเราบังเกิดความเสียใจต่อบิดาเราจริงๆ แต่ที่เราลอบจากมากลับมิใช่ไม่อาจบากหน้าอยู่สืบไปเพียงแต่หากเราอยู่ที่นั้นสืบต่อ น้องชายต่างมารดาเราต้องไม่สบายใจมาตรว่าเราไม่แยแสต่อทรัพย์สมบัติของตระกูล แต่สิบปากบอกกล่าวไม่เท่าคนคาดคิดขอเพียงน้องชายเราบังเกิดความระแวงสงสัย ไยมิใช่ก่อกวนเป็นมรสุมโลหิตพี่น้องพิฆากกันเองขึ้น? ในชีวิตบิดาเรายึดถือชื่อเสียงของตระกูลเฉกเช่นชีวิตตนเรายิ่งไม่อาจทำลายได้ ดังนั้นได้แต่จากมา จากนั้นลอบย้ายที่อยู่ป้องกันไม่ให้บ่าวเก่าแก่ติดตามมาพบเจอหลายสิบปีนี้อย่าว่าแต่พวกมันเสาะหาเราไม่พบเจอเราเองก็ไม่ทราบข่าวคราวของตระกูลอีก แต่คาดว่าด้วยความสามารถของน้องชายเราตระกูลลี้เราต้องเจริญรุ่งเรืองยิ่ง พอคิดได้เช่นนี้ความผิดพลาดในอดีตที่ผ่านมาคล้ายได้แก้ไขกลับกลายแม้ว่าบิดาเราอยู่ในปรภพไม่อาจล่วงรู้ แต่เรายังมีคำว่ากล่าวกับตนเอง”

เซี่ยวฮ้งรับฟังถึงกับเงียบงันไปชั่วขณะค่อยกล่าวขึ้นว่า

“ไม่ว่าเรื่องราวใดเพียงมีโอกาสก็สามารถแก้ไขกลับกลาย?มาตรว่าเป็นความผิดมิอาจให้อภัยก็สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลง?”

ชายชราลี้สี่กล่าวว่า

“โลกนี้มีผู้ใดไม่เคยกระทำผิด?ชีวิตคนผู้หนึ่งไหนเลยสมบูรณ์พร้อม ขอเพียงสามารถสำนึกเสียใจไม่ว่าความผิดพลาดใดย่อมสามารถแก้ไขกลับกลาย”

หลายประโยคนี้กล่าวอย่างนุ่มนวลประหนึ่งบิดาปลอบประโลมบุตรเซี่ยวฮ้งทอดตามองเงาจันทร์เสี้ยวบนผิวน้ำ ปากกลับกล่าวพึมพำคำ “ขอเพียงสำนึกเสียใจก็สามารถแก้ไขกลับกลาย”อย่างเลื่อนลอย

ยามนั้นชายชราลี้สี่กรอกสุราอึกหนึ่งกล่าวคำ “ถูกแล้ว ขอเพียงสำนึกเสียใจ ย่อมยังมีโอกาสแก้ไขกลับกลาย” จากนั้นยกน้ำเต้าสุราขึ้นกล่าวว่า

“สุราดี บรรยากาศอภิรมย์ สมควรดื่มลงไป”

เซี่ยวฮ้งรับคำว่า “สมควรดื่มสมควรดื่ม” พลางกรอกสุราใส่ปากดื่มลงไปอึกหนึ่ง ชายชราลี้สี่ส่งเสียงหัวร่อฮาฮากรอกสุราติดตาม หนึ่งชราหนึ่งฉกรรจ์ ท่านดื่มอึกหนึ่งเราดื่มอึกหนึ่งชั่วไม่นานใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ คนกลับเมามายแล้ว




Create Date : 04 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2558 23:17:56 น. 0 comments
Counter : 477 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

เมฆครองครึ่งฟ้า
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add เมฆครองครึ่งฟ้า's blog to your web]
space
space
space
space
space