happy memories
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
13 ธันวาคม 2557
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๑๗o





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ 'จากดวงใจ ถวายพ่อหลวง ๘๗ พรรษา'


เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 87 พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ศูนย์การค้า โอ.พี.เพลส ร่วมกับกลุ่มศิลปินชั้นนำได้จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “จากดวงใจ ถวายพ่อหลวง ๘๗ พรรษา” (THE ROYAL FATHER IN OUR HEARTS) เพื่อเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อปวงชนชาวไทย ทั้งนี้ มีท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะรองราชเลขาธิการในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำนักราชเลขาธิการ ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธี เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ที่ผ่านมาณ ห้องอีเว้นท์ฮอลล์ ๒ ชั้น ๓ อาคารศูนย์การค้า โอ.พี.เพลส






นิทรรศการฯในครั้งนี้ได้รวบรวมผลงานอันเกี่ยวเนื่องกับพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งล้วนเป็นผลงานของศิลปินไทยชั้นนำกว่า ๓o ท่าน อาทิ อาจารย์ประสงค์ ลือเมือง, อาจารย์ธนฤทธิ์ ทิพย์วารี, อาจารย์วัชระ กล้าค้าขาย, อาจารย์ชัชวาล รอดคลองตัน, อาจารย์สุวัฒน์ วรรณมณี, อาจารย์ธวัชชัย สมคง, อาจารย์อลงกรณ์ หล่อวัฒนา, อาจารย์แดง บัวแสน, อาจารย์ดินหิน รักพงษ์อโศก, อาจารย์เนติกร ชินโย, อาจารย์อุตสาห์ ไวยศรีแสง, อาจารย์สําราญ มณีรัตน์, อาจารย์มณฑล พิณลํายอง, อาจารย์วราวุฒิ โตอุรวงศ์, อาจารย์เกรียงไกรกุลพันธ์, อาจารย์วิษณุพงศ์ หนูนันท์,อาจารย์ดุษฎี รักษ์มณี, อาจารย์สมยศคำแสง, อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม, ธนาเศรษฐ์ศิรอภิวัลย์, ยุทธนา พงศ์ผาสุก, ชิงชัยอุดมเจริญกิจ, ธง อุดมผล, อัญชลี อารยะพงศ์พาณิชย์, วุฒิกร คงคา, อาจารย์จุมพล อุทโยภาศ, อาจารย์ชัยณรงค์ กองกลิ่น ฯลฯ






สำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจภายในงานพบกับนิทรรศการจัดแสดงแม่พิมพ์ ขนมโบราณ หลากหลายรูปแบบที่หาชมได้ยาก นิทรรศการจัดแสดงช้างไม้โบราณ และช้างไม้ร่วมสมัย โดยผลงานการรังสรรค์จากศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย “เพชร วิริยะ” ศิลปินล้านนาผู้ซึ่งเฝ้ามองทุกอิริยาบถ และการเปลี่ยนแปลงของช้างมาตลอดชั่วชีวิต ถ่ายทอดสู่งานฝีมือการแกะสลักช้าง สื่อสะท้อนอารมณ์ความเคลื่อนไหวได้อย่างลงตัวและงดงาม กิจกรรมประมูลผลงานศิลปะเพื่อสมทบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์


นิทรรศการศิลปะเฉลิมพระเกียรติ “จากดวงใจ ถวายพ่อหลวง ๘๗ พรรษา” จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ระหว่างเวลา ๑o.๓o น. ไปจนถึงเวลา ๑๙.๓o น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)











ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com














นิทรรศการสามขัตติยนารีแห่งสยาม


เนื่องในโอกาสที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศยกย่องให้ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เป็นบุคคลสำคัญของโลก ประจำปี ๒๕๕๖ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวาระครบ ๑๕o ปี แห่งพระราชสมภพ อันมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษาสำหรับเด็กและสตรี การศึกษาด้านสาธารณสุขศาสตร์ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ ประยุกต์และสังคม และมนุษยศาสตร์ มูลนิธิเพชรรัตน-สุวัทนา จึงจัดนิทรรศการแห่งแรงบันดาลใจสำหรับเยาวชนไทยในชื่อ "สามขัตติยนารีแห่งสยาม ทรงสร้างเพื่อประโยชน์สุของคนไทย" โดย ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยา เลขาธิการมูลนิธิเพชรรัตน-สุวัทนา เปิดโตีะแถลงข่าวเม่อวันก่อน ที่วังรื่นฤดี ซอยสุขุมวิท ๓๔





เหรียญรัตนภรณ์ ของทั้ง ๓ พระองค์













เหรียญแฟเบร์เช่



ท่านผู้หญิงบุตรี กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ว่า เพื่อสร้างแรงบันดาลใจสำหรับการพัฒนาตัวเองและสร้างจิตสำนึกเพื่อประเทศชาติให้แก่นักเรียน นักศึกษาและประชาชน โดยน้อมนำพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพันณณวดี และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ ๖ ขัตติยนารีสามพระองค์ที่ทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนมชีพ ทั้งในด้านการพัฒนาตัวเองอย่างสมบูรณ์พร้อมและนำความรู้ความสามารถมาใช้ให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติบ้านเมือง


















"๑๕o ปี พระพันปีหลวงน่าจะมีการเฉลิมฉลองร่วมกัน นิทรรศการครั้งนี้เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามขัตติยนารีแห่งสยาม มีทั้งหมด ๓ โซนด้วยกัน คือ โซนที่หนึ่ง "นาถแห่งแผ่นดิน" ว่าด้วยพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของสมเด็นพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ มีเครื่องประดับประกอบนิทรรศการซึ่งนับว่าเป็นไฮไลท์ได้แก่ เหรียญแฟเบร์เช่ ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานแก่ข้าราชบริพารที่ถวายงานเป็นการขอบคุณ เมื่อครั้งที่ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะประพาสยุโรป เหรียญเฉลิมพระชนมพรรษา ๕o พรรษา พ.ศ. ๒๔๕๖ หรือ เหรียญหมูเสาวภา เป็นเหรียญที่พระราชทานให้แก่พระสหายที่เกิดในปีนักษัตรเดียวกันรวมถึงผู้ที่ถวายงาน นอกจากนี้ยังมี "ผ้าทรงสะพัก" หรือผ้าพาดพระอังสะ(ไหล่) อายุกว่า ๑oo ปี ที่มีความละเอียดงดงามมาจัดแสดงให้ชม" ท่านผู้หญิงบุตรี กล่าว





เหรียญหมูเสาวภา






นอกจากนี้ เลขาธิการมูลนิธิเพชรรัตน- สุวัทนา กล่าวถึงโซนสอง "ขัตติยนารีผู้ปิดทองหลังพระ" ว่าด้วยพระประวัติและพระกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ประกอบด้วย เหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลที่ ๖, ๗ และรัชกาลปัจจุบัน ผ้านิตติ้งที่เป็นงานอดิเรกที่ทรงถักเพื่อพระราชทานให้แก่ทหาร โซนที่สาม "สร้อยมุกที่หายไปกับลมหายใจเพื่อผู้อื่น" ว่าด้วยพระประวัติและพระกรณียกิจของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวราราชเทวี ในรัชกาลที่ ๖ ประกอบด้วย สร้อยไข่มุกพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เป็นเครื่องประดับชิ้นสำคัญที่บ่งบอกเรื่องราวหลากอารมณ์ในฐานะของแม่ที่มีความอดทนอุตสาหะ และความเฉลียวฉลาด ไข่มุกแต่ละเม็ดที่ถูกริดออกไปจากสร้อยเส้นยาว พระองค์ทรงใช้ในการดูแลพระราชธิดา พร้อมทั้งใช้เป็นทุนทรัพย์เพื่อแสวงหาความรู้ที่จะดำรงพระเกียรติของพระราชธิดา





นิตติ้งของเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯที่ทรงถักค้างไว้





สร้อยไข่มุกเส้นยาวที่พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ได้รับพระราชทานจากในหลวงรัชกาลที่ ๗



"อยากให้ประชาชนเข้ามาได้เห็นว่าเจ้านายทรงทำสิ่งได้กันบ้าง ทุกชิ้นที่นำมาจัดแสดงมีความสำคัญหมด เป็นสิ่งของหาดูได้ยากบางชิ้นมีอายุนับร้อยปี นอกจากนี้ในวังรื่นฤดี ที่ใช้สถานที่จัดนิทรรศการครั้งนี้ เป็นที่ประทับของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ ว่าทรงอยู่อย่างเรียบง่าย ทั้งนี้ผู้เข้าชมจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง โดยมีนักเรียนจากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และโรงเรียนราชินี มารับหน้าที่เป็นผู้บรรยาย" ท่านผู้หญิงบุตรีย้ำ






สำหรับนิทรรศการครั้งนี้ จัดถึงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ติดต่อเข้าชมเป็นหมู่คณะได้ที่ o-๙๑๔๓-๒๙๒๑-๒๒ ในวันและเวลาราชการ นอกจากนี้ทั้งหมดจะนำไปจัดแสดงอีกครั้งที่พระราชวังมฤคทายวันระหว่างวันที่ ๒๖ -๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา o๘.oo-๑๘.oo น. เนื่องจากอยากให้คนต่างจังหวัดและนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ร่วมชมด้วย



ภาพและข้อมูลจากเวบ
กระทู้พันทิป
thairath.co.th
komchadluek.net
manager.co.th
บล็อกคุณ Close To Heaven














'อันมีทิพเนตรส่องไป' ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพฯ


เมื่อเวลา ๑o.oo น. วันที่ ๑o ธ.ค. ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงบรรยายพร้อมทั้ง เปิดงานนิทรรศการและจำหน่ายหนังสือภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ "อันมีทิพเนตรส่องไป : Clairvoyance" และทอดพระเนตรภายในงานนิทรรศการ มีคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี รองประธานกรรมการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นายนิติกร กรัยวิเชียร นายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นางลักขณา คุณาวิชยานนท์ ผู้อำนวยการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ฯลฯ เฝ้าฯ รับเสด็จ


สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงบรรยายภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ "อันมีทิพเนตรส่องไป : Clairvoyance" ว่าสมุดภาพปีนี้แปลกกว่าเล่มก่อน ๆ ที่ผ่านมา คือมีภาพที่ถ่ายด้วยกล้องโทรทรรศน์ (telescope) เป็นการถ่ายภาพสิ่งใหญ่ เช่น ดวงดาว กระจุกดาว และเนบิวลา ที่อยู่ห่างไกลมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรือแทบไม่เห็น ท้องฟ้าเป็นเรื่องที่มนุษย์สนใจใคร่รู้ และศึกษามาเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว จนถึงปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นก็ศึกษาได้กว้างขวางลุ่มลึกยิ่งขึ้น


"ข้าพเจ้าเป็นคนมองฟ้ามาแต่เด็ก ถึงจะไม่ได้เรียนมากจนเป็นนักดาราศาสตร์ได้ แต่ก็มีโอกาสเรียนรู้มากขึ้น โดยอาศัยเครื่องมือสมัยใหม่ การได้เห็นท้องฟ้า อันเป็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ การได้ใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องกราด ที่ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ทำให้ได้เห็นโครงสร้างเล็กๆ และได้รู้ ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยทราบมาก่อน เช่น ใบของพืชที่เรากลั่นน้ำมันออกมาได้ เพราะมีกระเปาะน้ำมันให้กลิ่นซึ่งเป็นแคปซูลระดับนาโน มีรูปจากยานไร้คนขับหรือโดรน ทำให้เราได้เห็นภาพจากที่สูง เครื่องมือเหล่านี้ทำให้เรามีตาทิพย์ที่ได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าเห็นได้ ส่วนภาพอื่น ๆ มีลักษณะที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นศิลปะแปลก ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และยังมีภาพจากประเทศที่ข้าพเจ้าเคยไปเป็นครั้งแรก ได้แก่ ติมอร์เลสเต และมอลตา" สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัส


สำหรับนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ "อันมีทิพเนตรส่องไป : Clairvoyance" ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เปิดให้ผู้ชมเข้าชมระหว่างวันที่ ๑๑ ธ.ค. ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๘ มี.ค. ๒๕๕๘ หยุดทุกวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา ๑o.oo-๒๑.oo น. และมีการจำหน่ายหนังสือภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ "อันมีทิพเนตรส่องไป : Clairvoyance" ในราคาเล่มละ ๙oo บาท ที่ห้องนิทรรศการ ชั้น ๙ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (สี่แยกปทุมวัน) และศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายได้ทั้งหมดนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย







ภาพและข้อมูลจากเวบ
khaosod.co.th
เฟซบุคหอศิลป์กทม.














ประทานภาพลายกราฟิกทรงออกแบบ เพื่อผลิตเป็นผ้าพันคอคอลเลคชั่นพิเศษ


นับเป็นพระกรุณาธิคุณอันสูงสุดที่ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ได้ประทานภาพลายกราฟิกทรงออกแบบให้แก่สยามพารากอนเพื่อใช้ในการผลิตผ้าพันคอคอลเลคชั่นพิเศษ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองการครบรอบ ๙ ปี ของศูนย์การค้าสยามพารากอน “Sirivannavari Bangkok Limited Edition for Siam Paragon 9 Years Anniversary” (สิริวัณณวรี แบงคอก ลิมิเต็ด อิดิชั่น ฟอร์ สยามพารากอน ไนน์ เยียร์ส แอนนิเวอร์ซารี่) โดยภาพลายกราฟิกทรงออกแบบได้สะท้อนถึงระยะเวลาในการทรงงานในสายแฟชั่นของพระองค์ ตั้งแต่คอลเลคชั่นทรงออกแบบครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน โดยงานกราฟิกทรงออกแบบนี้ได้ถูกนำมาจากภาพลายฝีพระหัตถ์ที่ทรงบันทึกไว้ในสมุดส่วนพระองค์ โดยได้ประทานพระอนุญาตให้เผยแพร่และผลิตเป็นผ้าพันคอเพื่อร่วมฉลองในโอกาสนี้เป็นครั้งแรก ผ้าพันคอคอลเลคชั่นพิเศษนี้มีทั้งหมด ๙ ลาย และผลิตเพียงลายละ ๙ ผืนเท่านั้น และจะจัดแสดงให้ชมตั้งแต่วันนี้-๑๔ ธันวาคมนี้ที่ บริเวณฮอลล์ออฟมิเรอร์ ชั้น M ศูนย์การค้าสยามพารากอน



















ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com














ยลพุทธศิลป์แผ่นดิน ร.๙


ช่วงเวลาที่คนไทยกำลังอยู่ในห้วงแห่งความสุข กับโอกาสมหามงคลที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๗ พรรษา ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจคนไทยไม่เสื่อมคลาย และเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสพิเศษดังกล่าว อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ได้นำผลงานเด่นในด้านพุทธศิลป์ ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม พระพุทธรูป ตลอดจนพระและเหรียญบูชาชุดสำคัญมาจัดแสดงให้พี่น้องคนไทยได้ชมเป็นครั้งแรกในนิทรรศการพุทธศิลป์แห่งรัชกาลที่ ๙ "ชมพระ ส่องพระ ส่องใจ" บริเวณไลฟ์สไลต์ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน






ผลงานของ อ.เฉลิมชัย สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้เป็นหนึ่งในศิลปะประจำรัชกาลที่ ๙ ทั้งด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม และพระเครื่อง ที่ล้วนมีอัตลักษณ์แตกต่างจากทุกยุคทุกสมัยและเป็นหนึ่งเดียวในโลก จัดทำอย่างวิจิตรบรรจงที่สุดเพื่อถวายพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากการที่มีโอกาสได้ถวายงานในฐานะหนึ่งในศิลปินผู้วาดภาพประกอบหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง "พระมหาชนก" และทรงมีพระราชกระแสรับสั่งที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจสำคัญ






"เมื่อครั้งที่เข้าเฝ้าถวายงานเรื่องพระมหาชนก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งว่าการเขียนภาพพระมหาชนกนั้นไม่อยากให้ลอกเลียนศิลปะจากสมัยอื่นๆ อยากให้สร้างใหม่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ภาพพระมหาชนกจึงกลายเป็นงานที่ถูกพระราชหฤทัยมาก แต่การวาดภาพเป็นเพียงผลงานจิตรกรรมเท่านั้นยังไม่ยิ่งใหญ่พอ จึงมีการสร้างวัดร่องขุ่นขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และมีสไตล์พิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ในสมัยรัชกาลที่ ๙ มีงานศิลปะที่มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น" อ.เฉลิมชัย กล่าว






ขณะเดียวกัน เจ้าของผลงานอธิบายพร้อมกล่าวเชิญชวนร่วมชมนิทรรศการยิ่งใหญ่ว่า ในส่วนของพระเครื่องนั้นที่ผ่านมาการสร้างพระเสมือนกับการทำลายพระ เพราะขี้เหร่มากไม่มีความสวยงามเลย นั่นทำให้พุทธศิลป์ของชาติตกต่ำไปด้วย จึงรู้สึกสะเทือนใจและไม่ภูมิใจกับพระที่สร้างขึ้น เวลาตลอด ๓ ปีที่ผ่านมาจึงทุ่มเทสร้างขึ้นมาใหม่อย่างสวยงาม เพื่อให้เป็นมาตรฐานแก่วงการพระเครื่อง ทั้งยังอยากปรับมาตรฐานสุนทรียภาพของคนไทยว่าพระที่สวยงามนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งจะส่งผลให้พุทธศิลป์ของชาติดูดีขึ้นตามไปด้วย เมื่อเราเป็นศิลปินที่เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๙ ก็จะพยายามทำให้งานศิลป์ของรัชสมัยนี้สวยงามยิ่งใหญ่และมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และอยากเชิญชวนคนไทยให้มาชมความสวยงามกันเยอะ ๆ เพราะหลังจากนี้จะไม่จัดแสดงงานใหญ่แบบนี้ที่ไหนอีกแล้ว ต้องตามไปชมที่วัดร่องขุ่น จ.เชียงรายเท่านั้น






"สำหรับผลงานชิ้นสำคัญที่จัดแสดงได้แก่ ภาพจิตรกรรมสีอะคริลิกบนผ้าใบ "ความเบิกบานแห่งรัชสมัย ร.๙" พ.ศ. ๒๕๕๗ สื่อความหมายถึงพระจันทร์ เลข ๙ หมายถึงสวรรค์แทนความสุขและความเบิกบาน รูปนกกัณฑิมา หมายถึง ประชาชนชาวไทยที่อยู่อาศัยให้พระบารมีของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนดอกบัวและใบบัว หมายถึง ปวงประชาต่างแซ่ซ้องยกย่องในทศพิธราชธรรมของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ส่วนภาพจิตรกรรมสีอะคริลิคบนผ้าใบ "พระเมตตาบารมี" พ.ศ. ๒๕๕๗ เลข ๙ ในภาพที่ล้อมกรอบด้วยแสงเหลืองแห่งจันทรา หมายถึง พระเมตตาของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ โดยแสงสีแดงรอบนอก หมายถึง พระบารมี แสงทองที่แผ่ออกไปเป็นจุดทอง ๔ ชั้น หมายถึง พรหมวิหาร ๔ ประการของพระองค์ ขณะที่พระเนตรหลังเลข ๙ หมายถึงทรงเฝ้ามองความทุกสุขของประชาชนอยู่เสมอ ขณะที่ผลงานไฮไลท์ คือ พระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ สูง ๓ เมตรชื่อ “พระพุทธเมตตาแห่งรัชกาลที่ ๙” พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นงานชิ้นใหญ่ที่สุดใช้เวลาในการสร้างกว่า ๓ ปี สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นพุทธศิลป์ร่วมสมัยที่มีเอกลักษณ์ประจำยุคสมัยรัชกาลที่ ๙ ที่มีพุทธลักษณะที่ไม่เหมือนพระพุทธรูปยุคสมัยใด ๆ ทั้งสิ้นเป็นปฏิมากรรมที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่สง่างามขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับอยู่เหนือบังลังก์ทิพย์แวดล้อมไปด้วยครุฑและนาค แสดงให้เห็นถึงพลังความรู้สึกสัมผัสที่แตกต่างไปจากงานปฏิมากรรมในอดีตทั่ว ๆ ไป" ศิลปินล้านนาแจงรายละเอียด






นอกจากนี้ยังมี พระพุทธรูปและเหรียญบูชาต่าง ๆ ที่ได้คัดสรรเฉพาะชุดที่เป็นหมายเลข ๙ เท่านั้น กับชุดพิเศษที่คัดไว้เป็นของสะสมส่วนตัว ที่ไม่มีใครเคยเห็นและไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ มีรายละเอียดที่ประณีตงดงามให้ชื่นชมด้วยการส่องผ่านเลนส์ขยาย โดยนิทรรศการพุทธศิลป์แห่งรัชกาลที่ ๙ "ชมพระ ส่องพระ ส่องใจ" เปิดให้ชมตั้งแต่วันนี้ จนถึง ๑๔ ธันวาคม บริเวณไลฟ์สไลต์ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน



















ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th
komchadluek.net














เทิดไท้องค์ราชันย์ และ ความสัมพันธ์ไทยจีน ๔o ปี


เนื่องในวันครบรอบเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ๘๗ พระชนมพรรษาและเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ทรงเจริญพระชนมายุ ๖o พรรษาและงานฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีน ครบ ๔o ปี โดย มูลนิธิช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรมฯ หน่วยงานภาครัฐ ต่าง ๆ ผู้แทนสมาคมจีนต่าง ๆ ในประเทศไทยและจีน ได้ร่วมกันจัดคอนเสิร์ตการกุศลและ นิทรรศการศิลปะภาพเขียน


การจัดงานครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก มูลนิธิจื้อ อ้าย วู เซิน แห่งประเทศจีน, สมาคมวิญญูชนไทย-จีน,มูลนิธิตามรอยพ่อ และมูลนิธิส่งเสริมวัฒนธรรมและบริการสังคมนานาชาติ ฯลฯ โดยได้เรียนเชิญ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายจีน ตลอดจนบุคคลสำคัญและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้งฝ่ายไทยและ ฝ่ายจีน อีกทั้งมีสื่อสารมวลชน ในประเทศ และต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง, ไต้หวัน, สาธารณะประชาชนจีน ให้เกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้


มีการจัดแสดง นิทรรศการจิตรกรรมภาพวาด ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา โดยนักจิตรกร “ไป๋ตั้นจั๋วหม๋า” ที่มีชื่อเสียง ณ บริเวณหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑o.oo -๑๙.oo น.


ชมงานแสดงคอนเสิร์ตการกุศล โอเปร่าที่สุดอลังการ สัมผัสความสง่างาม ของศิลปินโอเปร่าที่โด่งดังระดับโลก อาทิ ศาสตราจารย์ติง อี้ , ร.ศ. หลิว เจีย หมิง, ศาสตราจารย์หวังยาง นักเป่าทรัมเป็ท ที่มีชื่อเสียงก้องโลก, อาจารย์เหย้า ลี่ เซิน, ศิลปินนักร้องจากกรมศิลปากร อาจารย์มานิตย์ ธุวะเศรษฐกุล, วงดนตรี ออร์เคสตร้า จากกองทัพเรือ โดย วาทยากร ประจำวง น.อ.ณรงค์ แสงบุศย์, การแสดงของนักร้อง นักแสดงชื่อก้องโลก ด้วยศิลปวัฒนธรรมชาวมองโกล ตามด้วย วง CITY LOVE และ วง ERGUNA จัดขึ้นในวันศุกร์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๓o น. - ๒๒.oo น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย


วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย ส่วนหนึ่งทูลเกล้าถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพื่อสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิตามรอยพ่อ และมูลนิธิช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายนอกจากนี้ นำเงินช่วยเหลือวัดที่ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และองศ์กรการกุศลอื่น ๆ ต่อไป



ภาพและข้อมูลจากเวบ
thaiticketmajor.com














๓ ละครเพลงเทิดพระเกียรติ


ในช่วงเวลานี้ กระแสของการแสดง "พระมหาชนก เดอะ ฟีโนมีนอน ไลฟ์ โชว์" ที่สวนเบญจกิติ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กำลังเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง จนทางคณะผู้จัดได้เพิ่มวันจากเดิม โดยนายโยธิน ดำเนินชาญวนิชย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดับเบิ้ลเอ หนึ่งในคณะกรรมการผู้จัดงานเป็นผู้สนับสนุนให้เพิ่มรอบการแสดงพิเศษขึ้นอีกในวันที่ ๑o-๑๑ ธันวาคมนี้ และล่าสุด (เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา) มีข่าวดีที่คณะผู้จัดงานแจ้งบนเวทีว่า มีผู้สนับสนุนรายอื่น ๆ ร่วมกันเพิ่มรอบ การแสดงจะมีต่อจนถึงวันที่ ๒o ธันวาคม ๒๕๕๗ แล้ว


เนื่องจากการแสดงเปิดให้ชมฟรี ดังนั้นผู้ชมต้องมารับบัตรที่นั่งภายในช่วงเวลา ๑๗.oo-๑๙.oo น. บริเวณประตูทางเข้างาน และประตูจะเปิดให้เข้าได้ตั้งแต่ ๑๘.oo น. และประตูจะปิดในเวลา ๒o.oo น. การเดินทางไปแต่เนิ่น ๆ ผู้ชมจะสามารถเลือกที่นั่งที่ต้องการได้ เพราะไม่มีการระบุหมายเลขเก้าอี้ แต่บัตรจะแบ่งที่นั่งเป็นโซนต่างๆ


ตลอดการแสดงหลายวันที่ผ่านมา ประชาชนหลั่งไหลไปดูเป็นจำนวนมากเช่นกับทุกวัน จนบางวันเกิดปัญหาบัตรเกินจำนวนที่นั่ง ซึ่งเกิดความวุ่นวายพอสมควร จึงฝากให้ผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดที่นั่งกับจำนวนบัตรที่ปล่อยออกไป ขอให้มีความเหมาะสมลงตัวกัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดที่นั่งจะได้ทำงานอย่างไม่เครียด และขอเรียนให้ทราบว่า เมื่อเข้าไปภายในแล้ว คณะจัดงานมีน้ำดื่มตราช้าง แจกให้ทุกท่านดื่มฟรี รวมทั้งขนมขบเคี้ยวจากผู้สนับสนุนด้วย ห้องน้ำก็มีให้บริการหลังอัฒจรรย์ จึงไม่ต้องห่วงกันว่าจะหิวน้ำหรือหาสุขาได้ยากเย็น






ส่วนงานที่แถลงข่าวไปเมื่อวันจันทร์ที่ ๘ ที่ผ่านมา ที่โรงแรมเดอะ สุโกศล พญาไท คือ ละครเฉลิมพระเกียรติ "ไกลกังวล มิวสิคัล ออน เดอะ บีช" ซึ่งจะจัดขึ้นในปีหน้าที่ริมชายหาดหัวหิน ข้างพระราชวังไกลกังวล ในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ - ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ จัดโดยกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัด ร่วมกับ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย รวมทั้งภาคเอกชน เพื่อเฉลิมพระเกียรติถวายความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคลพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ในปี ๒๕๕๘ หลังจากที่เคยจัดแสดงครั้งแรก เมื่อปี ๒๕๕๖


ปีที่แล้ว ถ้าจำกันได้ ผู้จัดงานได้เนรมิตเวทีการแสดงยิ่งใหญ่ สวยงามมาก โดยเฉพาะฉากโรงแรม “บ้านเกลียวคลื่น” ที่มีทะเลอยู่ด้านหลัง กับฉากบรรยากาศย้อนยุคหัวหิน ฉากสถานีรถไฟที่ดูสมจริงยิ่งนัก หลายคนยังจำช่วงที่นำเสนอเพลง “ราตรีประดับดาว” เพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๗ ทำเอาผู้ชมหลั่งน้ำตาอย่างซาบซึ้ง และยังทำให้เพลงลูกกรุงอมตะ ”หัวหินสิ้นมนต์รัก” ของครูไสล ไกรเลิศ เพลงไพเราะที่ถูกลืม กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง


"ไกลกังวล มิวสิคัล ออน เดอะ บีช" มีจำนวนเพลงในละคร ๒๑ เพลง ในจำนวนนี้ได้อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ ๓ บทเพลง ได้แก่ "ราตรีประดับดาว และ "ตำหนักใหม่ ไกลกังวล" พระราชพิพนธ์ในรัชกาลที่ ๗ และบทเพลง "ไกลกังวล"






เพลงพระราชนิพนธ์ "ไกลกังวล" คือบทเพลงลำดับที่ ๒๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองขณะประทับอยู่ที่วังไกลกังวล เมื่อปี ๒๕oo เพื่อพระราชทานให้เป็นเพลงประจำวงดนตรี "อ.ส.วันศุกร์" ผู้ประพันธ์คำร้องภาษาไทยคือ นายวิชัย โกกิลกนิษฐ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕o๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นาย Rual Maglapus อดีตสมาชิกวุฒิสภาของประเทศฟิลิปปินส์ประพันธ์คำร้องภาษาอังกฤษ และใน พ.ศ. ๒๕๑๔ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้กราบบังคมทูลขอพระราชทา­นให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค แต่งคำร้องภาษาไทย "เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย" เพื่อปลุกจิตสำนึกให้คนไทยรักและหวงแหนแผ่นดินไทย


ละครเพลงเรื่องนี้ ยังมีเพลงใหม่มีหนึ่งเพลงคือ เพลง "โกงนิดๆ" ขับร้องโดย เบน ชลาทิศ ซึ่งร่วมแสดงละครด้วย งานนี้มีการเพิ่มที่นั่งมากกว่าปีที่แล้ว และยังมีเก้าอี้ด้านนอกที่ถ่ายทอดสดการแสดงขึ้นจอให้ได้ชม ในกรณีที่ที่นั่งเต็ม สํารองบัตรได้ที่ o๙-o๒๓๗-๕๙๕o และ o๙-o๒๓๗-๕๙๖o ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ นี้และดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ //www.facebook/ไกลกังวล Musical on the Beach


ปิดท้ายในในวันอาทิตย์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ นี้ ที่โรงละครวังหน้า จะมีละครเวทีบทเพลงพระราชนิพนธ์เทิดพระเกียรติ เรื่อง “รากฟ้า กับ แสงดิน” จัดโดย สถาบันดนตรีมาตรฐานสากลรัชปาร์มิวสิก ร่วมกับ MediaAtyoung studio ซึ่งจะอัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ๒๑ บทเพลงมาเรียงร้อยเรื่องราวในรูปแบบละครเวที รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนา เปิดจองบัตรแล้วที่ o-๒๙o๗-๙๑๙๙ และ o๘-๖๓๕๑-๗๒๑๔



ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net














พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ สอนปฏิบัติการภูมิปัญญา 'หม้อห้อม'


“หม้อห้อม” เป็นภาษาพื้นเมืองภาคเหนือของประเทศไทย เกิดจากรวมคำว่า “หม้อ” กับ “ห้อม” เข้าด้วยกัน ห้อม (หรือบางครั้งเขียนเป็น ฮ่อม) เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับคราม ที่ชาวบ้านนำเอาลำต้นและใบมาหมักในน้ำตามกรรมวิธีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ได้น้ำเป็นสีกรมท่า (น้ำเงินเข้ม) และนำสีที่ได้นั้นมาย้อมผ้าขาวให้เป็นสีครามหรือกรมท่า เรียกกันว่า “ผ้าหม้อห้อม” ซึ่งถือเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายอีกแบบหนึ่งของคนไทย


เพื่อเผยแพร่ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาอย่างแพร่หลาย และเป็นเอกลักษณ์ของ จ.แพร่ พิพิธภัณฑ์ผ้าใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้จัดกิจกรรมปฏิบัติการ “ภูมิปัญญาผ้าหม้อห้อม” โดยได้รับเกียรติจาก วุฒิไกร ผาทอง จากร้านแก้ววรรณา จ.แพร่ ซึ่งเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในการทำผ้าหม้อห้อมมาให้ความรู้และสาธิตวิธีการทำผ้าหม้อห้อมพร้อมกล่าวว่า ในโลกนี้มีพืชพรรณที่ให้สีหม้อห้อมอยู่ประมาณ ๓o ชนิด ซึ่งมนุษย์ใช้กันมาเป็นเวลานับพันปี จนกระทั่งในช่วงราว ๆ ๒oo-๓oo ปีที่ผ่านมา ชนชาติลื้อ จากประเทศลาว ได้อพยพเข้ามาอยู่ในหลายหมู่บ้านของ จ.แพร่ ทั้งทุ่งโฮ้ง พระหลวง และเวียงทอง และได้นำกรรมวิธีการย้อมสีด้วยต้นห้อมและครามมาด้วย ซึ่งคนแพร่รู้จักใช้มรดกที่บรรพบุรุษให้มานี้อย่างชาญฉลาด ทั้งการใช้พืชพรรณให้สีแบบดั้งเดิม จนกลายเป็นการย้อมสีหลากหลายชนิดในปัจจุบัน ทำให้เสื้อหม้อห้อมของ จ.แพร่ นั้น มีชื่อเสียงติดปากติดหูคนไทยมาช้านาน


“ในระยะหลัง การย้อมสีหม้อห้อมแบบธรรมชาติได้หายไปจากเมืองแพร่ จึงเกิดการรวมตัวกันของชาวบ้าน จนนำไปสู่การก่อตั้งแก้ววรรณาหม้อห้อมธรรมชาติ เมื่อพ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการย้อมหม้อห้อมด้วยกระบวนการธรรมชาติดั้งเดิม ไม่ปล่อยน้ำเสียส่วนเกิน ไม่มีฝุ่น ไม่มีสารเคมี สีย้อมได้มาจากไร่ห้อมที่ชาวบ้านปลูกในป่าห้วย ซึ่งโดยปกติต้นห้อมเป็นพืชที่สามารถเกิดและเติบโตได้เองตามธรรมชาติ แต่ทั้งนี้ต้องเป็นพื้นที่ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์เท่านั้น จึงมีส่วนกระตุ้นให้ชาวบ้านตระหนักถึงคุณค่าของป่าไม้ และช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติไปในตัว” ผู้เชี่ยวชาญผ้าหม้อห้อมให้ความรู้


พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงเคล็ดลับเฉพาะในการทำหม้อห้อมของแก้ววรรณาว่า หม้อห้อมนั้นมีเคล็ดอยู่มากและต้องอยู่กับเขาทุกวัน ว่ากันว่าต้องพูดต้องคุยกับหม้อห้อม ซึ่งที่แท้แล้วคือการกวนหม้อให้ออกซิเจนเข้าไปทำปฏิกิริยากับครามกับด่างนั่นเอง เมื่อได้หม้อห้อม เราลองย้อมแล้วออกมาซักด้วยน้ำด่าง ก่อนจะตากให้แห้ง แล้วนำมาใช้ ตรงนี้เป็นเคล็ดลับที่ทำให้หม้อห้อมสีไม่ตก จึงรับรองได้ว่าหม้อห้อมดี สีจะไม่ตก


ก่อนเสร็จสิ้นกิจกรรมครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญการทำหม้อห้อมแห่งเมืองแพร่ ทิ้งท้ายแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้สนใจศึกษาเรื่องหม้อห้อมอย่างจริงจัง เนื่องจากต้องการรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนให้คงอยู่ และช่วยเผยแพร่ภูมิปัญญาดั้งเดิมนี้ให้ลูกหลานชาวแพร่ได้สืบทอดต่อไป รวมทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ชาวบ้านตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ และช่วยกันดูแลรักษาป่าไม้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อรักษาระบบนิเวศของต้นห้อมให้คงอยู่คู่ป่าต่อไป


สำหรับผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมประจำเดือนครั้งต่อไป กับกิจกรรม “ผูกผืนเก่า พันผ้าใหม่” ลุ้นรับผ้าพันคอจากร้านพิพิธภัณฑ์ หรือบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟรี ติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ที่ เฟซบุ๊ก //www.facebook.com/qsmtthailand อินสตาแกรม @queensirikitmuseumoftextiles







ภาพและข้อมูลจากเวบ
komchadluek.net














ยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก


จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพระนครศรีอยุธยา และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกำหนดจัดงาน “ยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก” ประจำปี ๒๕๕๗ ระหว่างวันที่ ๑๒-๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ (รวม ๑o วัน) ณ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่คณะกรรมการมรดกโลกแห่งองค์การสหประชาชาติได้ประกาศขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี ๒๕๓๔


นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การจัดงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก ในปีนี้มีการจัดกิจกรมต่าง ๆ มากมาย ซึ่งจะเริ่มด้วยพิธีบวงสรวงพระเจ้าอู่ทอง และพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และมีพิธีเปิดงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลกประจำปี ๒๕๕๗ ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ภายในงานมีกิจกรรรม อาทิ การออกร้านกาชาด การแสดง และจำหน่ายสินค้า OTOP การออกร้าน นิทรรศการผู้สนับสนุนการจัดงาน และที่พลาดไม่ได้คือ การแสดงแสง เสียงที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ณ วัดมหาธาตุ (๑o วัน ๑o คืน) บัตรเข้าชมราคา ๒oo บาท และ ๕oo บาท
ร้อยตรีชัยวัฒน์ เจริญสุข ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ก่อนที่ทุกท่านจะเข้าชมการแสดงแสง เสียงที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ณ วัดมหาธาตุ ขอเชิญสัมผัสกับการจำลองบรรยากาศหน้างาน สมัยกรุงศรีอยุธยา (ตลาดย้อนยุค) โดยใช้เงินพดด้วงแลกซื้ออาหารไทยคาวหวาน ณ วัดหลังคาขาว ซึ่งท่านสามารถที่จะเลือกซื้ออาหารและนั่งชมการแสดง บรรยากาศย้อนยุคที่หนึ่งปีมีครั้งเดียวเท่านั้น และพบกับการแสดงบนเวทีของตลาดย้อนยุคนำเสนอ “โขน”..นาฏศิลป์ชั้นสูงของไทย โดยสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ซึ่งจัดการแสดงทั้งหมด ๑o ตอน ๑o คืน ได้แก่


วันที่ ๑๒ ธันวาคม ตอน ปฐมเหตุรามเกียรติ์
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ตอน ทศเศียรลักสีดา
วันที่ ๑๔ ธันวาคม ตอน บุตรพระสุริยาถวายพล
วันที่ ๑๕ ธันวาคม ตอน กลศึกนางยักษ์
วันที่ ๑๖ ธันวาคม ตอน รามลักษณ์เคลื่อนพลโยธา
วันที่ ๑๗ ธันวาคม ตอน อสุราพุ่งหอกโมกขศักดิ์
วันที่ ๑๘ ธันวาคม ตอน สังหารยักษ์บุตรพญาขร
วันที่ ๑๙ ธันวาคม ตอน ชุบศรพรหมาศ
วันที่ ๒o ธันวาคม ตอน ท้าวมาลีวราชพิพากษา
วันที่ ๒๑ ธันวาคม ตอน หนุมานอาสาฆ่าทศกัณฐ์



















ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com
เฟซบุคงาน
tiewpakklang.com














เชิญเที่ยวงาน ๒o ปี เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ช็อปของดี ราคาย่อมเยา


เนื่องในโอกาสครบรอบ ๒o ปี แห่งการดำเนินงาน มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ในปีนี้ และเป็นการต้อนรับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก เตรียมจัดงานแฟร์การกุศลครั้งยิ่งใหญ่แบบจัดเต็มกว่าทุกปีที่ผ่านมากับงาน “๒o ปี เพื่อนพึ่ง(ภาฯ) เพื่อผู้ประสบอุทกภัย” เพื่อหารายได้นำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย อีกให้ประชาชนชาวไทยได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ สินค้าฝีมือของชาวบ้าน เกษตรกรผู้ประสบภัย ตลอดจนสินค้าคุณภาพจากผู้ผลิต สำหรับใช้สอยหรือเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ บริเวณพระตำหนัก วังสวนกุหลาบ พระราชวังดุสิต





ท่านผู้หญิงเพ็ญศรี วัชโรทัย และ รศ.ดร.นพ.พิชิต สุวรรณประกร
นำทีมแถลงข่าวการจัดงาน ๒o ปี เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) เพื่อผู้ประสบอุทกภัย



ภายในงาน ท่านผู้หญิงเพ็ญศรี วัชโรทัย ประธานกรรมการอำนวยการจัดงาน, รศ.ดร.นพ.พิชิต สุวรรณประกร รองประธานมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย, รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ชลังค์ ลอยสูงวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาลูกค้าและชนบท ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, ฐิติวัฒน์ ว่องวรรณกุล ผู้จัดการร้านค้าส่วนพระองค์ฯ, คฑา ชินบัญชร และ ผาณิต พูนศิริวงศ์ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ และการตลาด ร่วมแถลงข่าวการจัดงานเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ประจำปี ๒๕๕๗ ในชื่อ “๒o ปี เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) เพื่อผู้ประสบอุทกภัย ณ อาคารรับรองพระราชวังดุสิต





ตี๋ ดอกสะเดา, รศ.ดร.นพ.พิชิต สุวรรณประกร, ท่านผู้หญิงเพ็ญศรี วัชโรทัย,
คฑา ชินบัญชร และ พิชชาภา พันธุมจินดา



รศ.ดร.นพ.พิชิต สุวรรณประกร รองประธานมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย กล่าวว่า มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ใน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้ทรงมีพระดำริให้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๘ เพื่อดำเนินงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ทั้งในการช่วยเหลือด้านการยังชีพ การเฝ้าระวังภัย การอพยพหลบภัย การฟื้นฟูที่อยู่อาศัย และการฟื้นฟูอาชีพอย่างยั่งยืนตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง





ม.เกษตรศาสตร์ โดย รศ.ดร.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดี
ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รองอธิการบดี เตรียมนวัตกรรมใหม่ๆ ไว้คอย โดยมี สุเทพ
กังเกียรติกุล ประธานฝ่ายพื้นที่มหัศจรรย์พรรณไม้ (Hi-Fantastic) ร่วมด้วย



“ในการดำเนินงานช่วยเหลือจำเป็นต้องใช้ทุนทรัพย์เป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนได้มาจากน้ำใจของคนไทยทั้งสิ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ องค์ประธานกิตติมศักดิ์ตลอดชีพ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา องค์ประธานมูลนิธิ จึงได้มีพระดำริ ในการจัดงานทุนดำเนินงานของมูลนิธิด้วยการจัดงานเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการระดมทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ของสมาชิกที่มูลนิธิเข้าไปส่งเสริมอาชีพ เป็นการสร้างรายได้ให้ผู้ประสบภัยอีกทางหนึ่ง รวมถึงช่วงระยะเวลาการจัดงานยังเป็นช่วงปลายปี จึงเป็นโอกาสดีที่คนไทยจะได้มาจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้าภายในงานเพื่อนำไปใช้เองหรือมอบเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่อีกด้วย”





วิลาสินี จันทร์วุฒิวงศ์ นางสาวไทย ประจำปี ๒๕๕๗ พร้อมด้วย
รองนางสาวไทยอันดับ ๑-๔ พิมพ์ชนก จิตชู, เสาวลักษม์
ไชยศิริธัญญา, พัชรวรรณ หุตะเศรณี และ อาทิมา เนตรทิพย์



ฐิติวัฒน์ ว่องวรรณกุล ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าที่จะวางจำหน่ายภายในร้านค้าส่วนพระองค์ และร้านผลพลอยพอเพียง ที่นอกจากสินค้ายอดนิยมอย่างตับบดฝีพระหัตถ์ ๓ สูตร ได้แก่ ตับบดเสวยสูตรธรรมดา สูตรมาซาล่า สูตรฮาลาล และไส้กรอกเห็ดเสวย ในปีนี้ยังได้มีการนำ ดอกกล้วยไม้พระนาม คือ โสมสวลีออคิด นำไปจัดพิมพ์บนผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อาทิ เสื้อคอกลม เสื้อโปโล แก้วน้ำ และร่ม เป็นต้น ส่วนตำราอาหารได้มีการรวบรวมตำรับอาหารเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) กว่า ๗o เมนู มาจัดพิมพ์ ๒ ภาษารูปเล่มสวยงามในชื่อ โสมสวลีรังสรรค์





พัชรา มาดล กับ นันทวัน สุวรรณปิยะศิริ และ นฤมล ล้อมทองชวนช็อป
ที่ร้านมูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาวุโส พบกับศิลปินนักแสดงมาให้ความบันเทิงคับคั่ง



งาน “๒o ปี เพื่อนพึ่ง(ภาฯ) เพื่อผู้ประสบอุทกภัย” ผู้เข้าชมงานยังคงจะได้ชม ชิม ช็อป กันอย่างจุใจ เริ่มที่ โซนยอดฮิต โซน Hi-ness ณ ท้องพระโรง ประกอบด้วย ร้านค้าส่วนพระองค์ ร้านมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) พบกับสินค้าขายดี อาทิ ตับบดฝีพระหัตถ์ ๓ สูตร ได้แก่ ตับบดเสวยสูตรธรรมดา สูตรมาซาล่า สูตรฮาลาล และไส้กรอกเห็ดเสวย ตำรับอาหารเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยอดนิยม เสื้อคอกลม เสื้อโปโล แก้วน้ำ และร่ม คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดที่เป็น Limited Edition รวมถึงร้านค้าในพระบรมวงศานุวงศ์ ร้านมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ร้านมูลนิธิเพชรรัตน-สุวัทนา ร้านภูฟ้า, โซน Hi-N เป็นพื้นที่ร้านแม่บ้านเหล่าทัพ ร้านมูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาวุโสและสินค้าที่มีคุณภาพนานาชนิด, โซน Hi-Hope พื้นที่จำหน่ายเพชรนิลจินดา เสื้อผ้าแพรพรรณ เครื่องประดับ ของใช้ในบ้าน





สมาชิกส่วนหนึ่งของกลุ่มเวียงวังและคลังประวัติศาสตร์
นำโดย ปัณณพัทธ์คำนึง, วีรณา ไวถนอมสัตว์ จะบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับวังสวนกุหลาบ
ชีวิตสาวชาววัง พระราชวังสวนดุสิต โดยมีสินค้าชาววัง
อาทิ น้ำปรุง น้ำอบ สูตรพระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ จำหน่าย



ที่พิเศษในปีนี้ยังได้จัดพื้นที่เรียกว่า “ตลาดในวังฯ” มาไว้ในงานเดียว โดยแบ่งเป็น “ตลาดชวนชมในวังฯ” จะมีการจัดนิทรรศการแสดงกิจกรรมและผลงานของมูลนิธิฯ ในรอบ ๒o ปี “ตลาดน้ำในวังฯ” เป็นการรวบรวมตลาดน้ำยอดนิยมในประเทศมาให้ชิมและช็อป ในบรรยากาศสวนริมน้ำที่ไม่เคยมีที่ใดมาก่อน “ตลาดผลพลอยพอเพียงเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ในวังฯ” จะเป็นตลาดที่สนับสนุนชุมชนให้ปลูกพืชผัก ผลไม้ ข้าว ประมงและปศุสัตว์แบบเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งสินค้าที่สืบเนื่องจากการทำการเกษตรอินทรีย์แบบเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นประโยชน์ต่าง ๆ เช่น น้ำส้มควันไม้ ใช้ไล่มดไล่แมลง ที่รบกวนอยู่ตามบ้าน ตามสวน น้ำหมักชีวภาพ นำมาช่วยขจัดสิ่งที่เป็นมลพิษให้กลายเป็นปุ๋ยได้ และยังช่วยบำบัดท่อระบายน้ำต่าง ๆ “ตลาดเกษตรอินทรีย์ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงในวังฯ” ซึ่งได้จากการส่งเสริมให้ผู้ประสบอุทกภัยผลิตอาหารรับประทานเองให้ได้ภายใน ๔๕ วัน หลังน้ำลดและต่อยอดเป็นรายได้เสริม และเป็นอาชีพการเกษตรอินทรีย์ต่อไป






“ตลาดอิ่มสุข Organic Riceberryในวังฯ” ซึ่งจะเป็นการนำเอาข้าว Riceberryที่ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์และสินค้าที่แปรรูปเป็นอาหารของคาวหวาน bakery donut มารวมไว้ในตลาดแห่งนี้ รวมทั้งพืชผักผลไม้ เกษตรอินทรีย์จากโรงคัดแต่งผักต้นแบบมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยากฯซึ่งจำหน่ายอยู่ตามห้างชั้นนำ รวมทั้งมีร้าน Riceberry Café & Cuisine มาบริการอาหารและของหวาน เครื่องดื่มที่มาจากการชนะการประกวดทั่วประเทศและที่พัฒนาเพิ่มเติมที่มีเมนูทั้งไทยและเทศที่อร่อยถูกปากถูกใจ






นอกจากนี้ยังมีการรวมพลคนรัก Riceberry ได้แก่ ผู้ที่รักการปลูกข้าว Riceberry รักการทำอาหาร ขนม ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน น้ำ น้ำชา กาแฟ เบเกอรี่ทั่วประเทศมาวางจำหน่ายในถนน ที่เรียกว่า“ถนนข้าวสาร Riceberry SRI” หรือ “Riceberry Avenue” สำหรับด้านวิชาการความรู้ด้านเกษตรกรรมก็ยังคงมีมาให้ผู้สนใจได้ชมกันอย่างจุใจเหมือนเช่นเคย โดยปีนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะมีการสาธิตการหย่อนกล้าข้าวด้วยเครื่องหย่อนกล้าข้าว “เพื่อนพึ่ง(ภาฯ)” ในการทำนาแบบประณีต SRI เพื่อนพึ่ง(ภาฯ) การสาธิตการทำ biogas การแสดงผลงานทางวิชาการ เป็นต้น






งาน “๒o ปี เพื่อนพึ่ง(ภาฯ) เพื่อผู้ประสบอุทกภัย” จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๙-๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ บริเวณพระตำหนัก วังสวนกุหลาบ พระราชวังดุสิต บัตรผ่านประตูคนละ ๒o บาท รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายสมทบมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ







ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com
กระทู้พันทิป














เทศกาลไนท์ แอท เดอะ มิวเซียม ครั้งที่ ๕


มาถึงแล้วกับเทศกาลประจำปีของมิวเซียมสยาม และยังเป็นโอกาสเดียวเท่านั้นในรอบปี ที่จะได้ชมพิพิธภัณฑ์ตอนกลางคืนที่หลายคนรอคอย กับเทศกาล “ไนท์ แอท เดอะ มิวเซียม ครั้งที่ ๕ (Night at the Museum 5) ตอน ปลุกยักษ์” ที่จะทะลุขีดจินตนาการกับการเนรมิตสถานที่ให้กลายเป็นเมืองยักษ์ พร้อมรอต้อนรับทุกคน มาร่วมปลุกตำนานแห่งพลังอันยิ่งใหญ่ สู่แรงบันดาลใจแห่งการสร้างสรรค์ ปลุกพลัง “ยักษ์” ในตัวคุณ!! เริ่ม ๑๙ -๒๑ ธันวาคมศกนี้ ณ มิวเซียมสยาม ถนนสนามไชย ตั้งแต่เวลา ๑๖.oo - ๒๒.oo น.


ตะลึงกับแลนด์มาร์กยักษ์ขนาดมหึมาเท่าตึก ๒ ชั้น ตื่นตากับสารพัดยักษ์นานาชาติ ไขความลับคติความเชื่อเรื่องยักษ์ของคนไทย และมาดู มาฟัง กับการจับคู่ยักษ์ในจินตนาการกับคนพันธุ์ยักษ์ระดับโลกที่มีบางอย่างคล้ายกัน รวมทั้งยังมีอาหารยักษ์ กินแบบยักษ์ ที่จะนำมาโชว์ และให้ชิมกันในงาน ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นยักษ์ขนาดเท่าชามก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่จานยักษ์ หรือ เฉาก๊วยแก้วยักษ์ ปาท่องโก๋ยักษ์ และขนมเบื้องทศกัณฐ์ มาสนุกสนานกันต่อกับบูทเกมนานาชนิด พร้อมร่วมชมการแสดง “The Spirit of Giant” ที่แสง สี สุดตระการตา เรื่องราวของยักษ์วัดแจ้ง กับยักษ์วัดโพธิ์ทะเลาะกัน ต่างฝั่งต่างแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อเอาชนะ มาร่วมหาสาเหตุแห่งศึกยักษ์ครั้งนี้ และช่วยกันให้กำลังใจว่า ยักษ์ทั้งสองจะหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้บ้านเมืองกลับมาสงบได้อย่างไร ซึ่งคุณก็ไม่อาจคาดเดา!!!


ไม่เพียงเท่านี้ยังจะได้ค้นหาแรงบันดาลใจ ผ่านเรื่องราวของคนเล็กคิดยักษ์ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ตัวแทนของคนเห็นยักษ์ ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวของคนคิดยักษ์จากทั่วโลกที่เขาได้มีโอกาสไปพบเจอ, เก่ง The Voice หรือ ธชย ประทุมวรรณ ตัวแทนคนเป็นยักษ์ ด้วยการนำความเป็นไทยมาผสมผสานกับความสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว และจิรัฏฐ์ พรพนิตพันธุ์ ตัวแทนของคน Gen ยักษ์ ผู้ก่อตั้งนิตยสาร Cheeze ที่จุดกระแสการแต่งตัวแนวสตรีตแฟชั่นให้บูมขึ้นในเมืองไทย ที่กล้าสร้างจุดแตกต่างของตนเองในโลกบันเทิง ที่จะมาปลดปล่อยพลังในตัวคุณ


พบมิติใหม่แห่งการเรียนรู้ในเทศกาล “ไนท์ แอท เดอะ มิวเซียม ครั้งที่ ๕ (Night at the Museum 5) ตอน ปลุกยักษ์” ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๑ ธันวาคมศกนี้ ที่มิวเซียมสยาม (ท่าเตียน) ตั้งแต่เวลา ๑๖.oo - ๒๒.oo น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ o-๒๒๒๕-๒๗๗๗, //www.museumsiam.org หรือ facebook.com/museumsiamfan



ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th












ภาพวาด วินนี เดอะ พูห์ ของเอิร์นเนสต์ โฮเวิร์ด เชพเพิร์ด
ที่มีผู้มาประมูลซื้อจากสถาบันโซเธบีส์ ไปในราคา 314,500 ปอนด์




ประมูลภาพ 'วินนีเดอะพูห์' ราคา ๑๖ ล้าน


ภาพวาดประกอบนิทานต้นฉบับอันเป็นเอกลักษณ์ที่เผยให้เห็น “วินนี เดอะ พูห์” และผองเพื่อนเล่นเกม “พูห์สติ๊ก” วานนี้ (๙) ถูกนำออกประมูลขายที่กรุงลอนดอนไปในราคา ๓๑๔,๕oo ปอนด์ (ราว ๑๖ ล้านบาท) ทุบสถิติในการประมูลภาพวาดประกอบหนังสือ


ภาพวาดฝีมือ “เอิร์นเนสต์ โฮเวิร์ด เชปเพิร์ด” ที่ถ่ายทอดภาพ หมีพูห์, คริสโตเฟอร์ โรบิน และพิกเล็ต ตัวละครแสนรักของนักเขียนชาวอังกฤษ อลัน อเล็กซานเดอร์ ไมล์น สามารถทำลายสถิติโลก จนกลายเป็นภาพวาดประกอบหนังสือที่ถูกประมูลซื้อในราคาแพงที่สุด ณ สถาบันประมูลโซธบีส์


ภาพวาดดังกล่าว ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพประกอบนิทานที่โด่งดังที่สุดในยุคนั้น เผยให้เห็นตัวละครทั้งสามยืนบนสะพาน พร้อมจับจ้องแม่น้ำเบื้องล่างด้วยสายตาอันเปี่ยมไปด้วยความหวัง ในเรื่องนี้ พูห์ได้คิดค้นเกม “พูห์สติ๊ก” ซึ่งในปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเขาและเพื่อนในนิทานiร่วมกันขว้างกิ่งไม้ลงแม่น้ำ แล้วรอให้ไม้ท่อนนั้นลอยไปโผล่อีกด้านหนึ่งของสะพาน






ภาพดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ๑๙๒๘ ในหนังสือ “บ้านมุมพูห์” (The House at Pooh Corner) ของไมล์น ก่อนจะถูกนำมาใช้เป็นภาพหน้าปกของหนังสือวินนี เดอะ พูห์ หลากหลายเวอร์ชัน ที่ได้รับความนิยมจากเด็ก ๆ นับตั้งแต่นั้นมา สถาบันประมูลแห่งนี้ระบุว่า ภาพวาดนี้ “อาจจะเป็นภาพประกอบหนังสือที่โด่งดัง และชวนให้รำลึกถึงความหลังมากที่สุดในศตวรรษที่ ๒o”


ฟิลิป เออร์ริงตัน ผู้จัดการฝ่ายหนังสือของสถาบันประมูลโซเธบีส์ กล่าวกับเอเอฟพีว่า “ภาพวาดนี้เป็นของสำคัญอย่างเหลือเชื่อ ภาพนี้ตีพิมพ์ ๒ ครั้งในหนังสือ “บ้านมุมพูห์” และผมเคยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ภาพนี้จะยังตราตรึงในจินตนาการของผู้อ่าน แต่มันกลับส่งผลเกินความความคาดหมายใด ๆ”


ก่อนหน้านี้ ภาพวาดอื่นของเชพเพิร์ด ทำราคาประมูลสูงสุดที่สถาบันโซเธบีส์ได้ไม่ถึง ๑๔o,ooo ปอนด์ (ราว ๗.๒ ล้านบาท) ขณะที่สถิติเก่าของภาพวาดประกอบหนังสือที่กวาดราคาสูงสุดอยู่ที่ ๒๙o,ooo ปอนด์ (ราว ๑๔.๙ ล้านบาท)


เออร์ริงตันกล่าวว่า “เรารู้สึกดีใจมากที่เราสามารถทำลายสถิติสองรายการซ้อน”


เออร์ริงตันชี้ว่า “หากย้อนกลับไปเมื่อปี ๑๙๗๔ ภาพนี้ทำราคาได้ไม่กี่ร้อยปอนด์ แน่นอนว่าไม่ถึงพันมาร์ก การประมูลครั้งนี้จึงเป็นข้อบ่งชี้ว่าตลาดภาพวาดประกอบหนังสือเพิ่งเจริญรุ่งเรืองเมื่อเร็ว ๆ นี้”







ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th














เรียนรู้รากวัฒนธรรม 'มอญ' ที่บางกระดี่.


คณะตะลอนทัวร์ Sook travel ที่จัดโดยศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ได้เคลื่อนทัพมายังชุมชนมอญบางกระดี่ โดยคราวนี้ได้ใช้ชื่อกิจกรรมว่า “ตะลอนทัวร์บางกระดี่ ชีวิตดี๊ดี”

ทำให้ทุกคนในคณะทัวร์ได้รับรู้กันว่า เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คนกลุ่มแรกที่มาตั้งถิ่นฐาน ใน “ชุมชนบางกระดี่” คือทหารมอญที่อพยพมายังประเทศไทย พวกเขาได้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารตั้งรกราก และอาศัยบนแผ่นดินไทยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ชาวบ้านในชุมชนได้สร้างอาชีพทำกินและยังคงอนุรักษ์วัฒนธรรมในแบบมอญไว้อย่างเข้มแข็งซึ่งปัจจุบันชุมชนบางกระดี่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสความเป็นมอญอย่างแท้จริง


เราเริ่มต้นกันที่วัดบางกระดี่ เพื่อนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจำท้องถิ่น โดย นายธวัชพงศ์ มอญดะ ผู้ก่อตั้งศูนย์ศิลปวัฒนธรรมมอญบางกระดี่ได้เล่าถึงความโดดเด่นของวัดบางกระดี่ว่า พระภิกษุยังคงรักษาระเบียบวินัยสงฆ์อย่างเคร่งครัด สวดมนต์เป็นภาษามอญอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เพราะปกติพระจะสวดเฉพาะภาษาบาลีเท่านั้น เรายังได้รู้ว่า ทุกวันพระชาวมอญที่นี่ทั้งชายและหญิงจะหยุดทำงานเพื่อมาทำบุญที่วัด โดยแต่งกายด้วยชุดมอญเป็นการแสดงถึงศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวมอญที่สืบทอดมาแต่อดีต สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด คือ พระประธานปางมารวิชัยแกะสลักตามศิลปะมอญด้วย “ไม้พรมมา” อายุ ๑๓o ปี โดยใช้ช่างฝีมือจากพระประแดง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่ที่อยู่คู่ชุมชนมาช้านาน


“ในประเทศไทยมีวัดมอญประมาณ ๔,ooo กว่าวัดที่วัดบางกระดี่จะมีหอสวดมนต์ ซึ่งในสมัยก่อนจะมีการสวดมนต์ทำน้ำอมฤตด้วยบทสวดพระปริตร เพื่อไถ่บาปจากการออกรบ” นายธวัชพงศ์เล่าความสำคัญของวัดมอญแห่งนี้


จากนั้นคณะทัวร์ได้เข้าชม “ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมมอญบางกระดี่” ซึ่งนายธวัชพงศ์ได้จัดบริเวณบ้านเพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์อนุรักษ์ความเป็นมาของชาวมอญ โดยรวบรวมเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีความเป็นอยู่ เช่น พิธีแต่งงานพิธีบวชนาค พิธีรำผี พิธีงานศพ เพื่อคงไว้มิให้สูญหายโดยจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์เกิดขึ้นเมื่อ ๑๙ ปีก่อน


“เริ่มตั้งพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่สมัยเริ่มบวชเรียน เพราะเห็นรถรับซื้อของเก่ามากว้านซื้อของโบราณในชุมชนแล้วเกิดความเสียดายในวัฒนธรรมปู่ย่า หลังจากลาสิกขาบทจึงใช้พื้นที่ด้านล่างของบ้านตัวเองดัดแปลงสร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ในชุมชน และจากชาวมอญที่อื่น มาจัดแสดงและอนุรักษ์ไว้”


ภายในพิพิธภัณฑ์ได้มีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้โดยจัดวางตามหมวดหมู่ตามพิธีกรรม เช่น ข้าวของเครื่องใช้ในพิธีรำผี ทางพิพิธภัณฑ์ก็ได้การรวบรวมและให้ข้อมูลแก่ผู้ที่มาเยี่ยมชม โดยการนับถือผีเป็นเอกลักษณ์ของวิถีชีวิตของชาวมอญ ทำให้ลูกหลานมีจิตสำนึกรักในบรรพบุรุษของตนถือเป็นการควบคุมความประพฤติของคนในครอบครัว


“ลูกคนโตของตระกูลจะเป็นผู้สืบทอดต้นผี ในตระกูลหนึ่งจึงมีเสาผีเพียงบ้านเดียวเท่านั้น โดยต้นผีจะดูแลคนทั้งตระกูล ระวังไม่ให้ทำผิดรีตรอยของมอญ หากคนในตระกูลเกิดละเมิดข้อห้ามใด เช่น มีหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ใช่ลูกสาวของบ้านนั้นเผลอไปยืนพิงเสาบ้านหรือนอนในบ้านหลังนั้น เชื่อว่าจะทําให้สมาชิกในตระกูลนั้นเจ็บป่วย และจะต้องรําผีเพื่อขอขมาต่อผี แต่พิธีการดังกล่าวชาวมอญถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ฝ่ายผู้หญิงเองจึงควรสงวนตัวและรู้ว่าอะไรควรไม่ควรเพื่อไม่ให้สมาชิกในครอบครัวเดือดร้อน” นายธวัชพงษ์ เล่าถึงความสำคัญของการนับถือผี


“รูปปั้นหงส์คู่” เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของชาวมอญที่เห็นได้ทั่วไปในชุมชนบางกระดี่ โดยหงส์ทั้งคู่จะหันหน้าไปทางทิศที่ตั้งกรุงหงสาวดี เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงถิ่นฐานในอดีตของชาวมอญในประเทศพม่า เป็นที่มาของเหตุผลที่หลายบ้านนิยมประดับหงส์ไว้เพื่อไม่ให้ลูกหลานลืมรากของตนนั่นเอง


ด้านวัฒนธรรมทางดนตรีของชาวมอญ วงทะแยมอญ คณะหงส์ฟ้ารามัญ ที่จัดตั้งมาแล้วกว่า ๓o ปี นำโดยนายกัลยา ปุงบางกระดี หัวหน้าคณะฯ ได้เล่าให้ฟังว่าการขับร้องมอญมีมากว่า ๒oo-๓oo ปีแล้ว “ทะแยมอญ” เป็นชื่อที่คนไทยเรียกการแสดงของคนมอญ ซึ่งเพี้ยนมาจากคำแต็ะแหฺย็ะฮ์ ในภาษามอญ หมายถึง การขับร้อง ส่วนที่มีการจัดตั้งคณะหงส์ฟ้ารามัญขึ้นมาก็เพื่อสืบสานการขับร้องในแบบฉบับชาวมอญ ซึ่ง ณ ตอนนี้หงส์ห้ารามัญนับเป็นวงดนตรีมอญวงเดียวที่เหลืออยู่ในประเทศไทย


“เราเล่นเครื่องดนตรีเกือบทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นจะยาม (จะเข้) ปุงตัง (เปิงมาง) อะโลด (ขลุ่ย) หะเด (ฉิ่ง)และโกรเจิกป๊อย (ซอสามสายมอญ) และคงความเป็นเอกลักษณ์ด้วยการใช้คนขับร้องเป็นชาย ๒ คน และหญิง ๒ คน เป็นลูกหลานมอญของเราเอง”


เมื่อรากฐานทางวัฒนธรรมได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น “บางกระดี่” จึงเป็นอีกชุมชนมอญในประเทศไทยที่มีความเข้มแข็ง งดงาม และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อย่างไม่เสื่อมคลาย



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com
thaimtb.com




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor





Create Date : 13 ธันวาคม 2557
Last Update : 13 ธันวาคม 2557 9:48:23 น. 0 comments
Counter : 3727 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.