เนบิวลาลากูนคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 4,000-6,000 ปีแสงจากโลก ในท้องฟ้าของโลกมันมีช่วง 90 'โดย 40' ซึ่งแปลว่าเป็นมิติที่แท้จริงของ 110 โดย 50 ปีแสง
เช่นเดียวกับเนวาร์บจำนวนมากปรากฏเป็นสีชมพูในภาพถ่ายสีที่มีการเปิดรับแสง แต่จะเห็นเป็นสีเทาหาก มองผ่านกล้องส่องทางไกลหรือกล้องโทรทรรศน์วิสัยทัศน์
เนบิวลาทะเลสาบ (cataloged เป็น Messier 8 หรือ M8, NGC 6523, Sharpless 25, RCW 146 และ Gum 72) เป็นกลุ่มดาวยักษ์ดวงหนึ่งในกลุ่มดาวราศีธนู มันถูกจัดว่าเป็นเนบิวล่าปล่อยและเป็นภูมิภาค H II
เนบิวลาลากูนถูกค้นพบโดย Giovanni Hodierna ก่อนปีพ. ศ. 1654 และเป็นหนึ่งในดาวเนปจูนที่ก่อตัวดาวเพียงสองดวง ที่สมามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า (อันนี้หมายถึง ภูมิภาคจุดชมดาว)
เห็นด้วยกล้องส่องทางไกลจะปรากฏเป็นรูปไข่ที่แตกต่างกันแพทช์เมฆกับแกนชัดเจน ในเบื้องหน้าเป็นกลุ่ม NGC 6530 ที่เปิดอยู่
เนบิวลามีจำนวนของดาวฤกษ์ Bok globules catalogued by E. E. Barnard ที่โดดเด่นที่สุดซึ่งได้รับการจัดทำโดย E. E. Barnard เป็น B88, B89 และ B296
................. ดาวฤกษ์................ดวงอาทิตย์ก็จัดเป็น ดาวฤกษ์ คือมันไม่ต้องพึงพาพลังงานจากเพื่อนๆ...............
นอกจากนี้ยังรวมถึงโครงสร้างที่เหมือนรูปกรวยหรือทอร์นาโดที่เกิดจากดาว O-type ที่ร้อนซึ่งทำให้เกิดแสงอัลตราไวโอเลตความร้อนและไอออนไนซ์บนพื้นผิวของเนบิวล่า
เนบิวลาลากูนยังประกอบด้วยศูนย์กลางของโครงสร้างที่เรียกว่าเนิร์กแวร์ Hourglass (ชื่อ John Herschel) ซึ่งไม่ควรสับสนกับเนปจูนนาฬิกาทรายที่รู้จักกันดีในกลุ่มดาว Musca
ในปี 2006 มีการตรวจพบวัตถุสี่ดวงแรกของ Herbig-Haro ภายในนาฬิกาทราย(เป็นชื่อเฉพาะ ของกลุ่มดาว) รวมถึง HH 870 ซึ่งเป็นหลักฐานแรกที่แสดงถึงการก่อตัวของดาวฤกษ์ที่ใช้งานอยู่โดยการเพิ่มกำลังภายใน( อันนี้สันนิฐานว่า มีแสงหรือพลังงาน ไม่พึ่งพาชาวบ้านหรือเปล่า)
เนบิวลาทะเลสาบ ( Lagoon Nebula) หรือรู้จักกันดีในชื่อ Messier 8 หรือ M8, และNGC 6523 เป็นกระจุกดาวอยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนู เป็นเนบิวลาประเภทปล่อยก๊าซและบริเวณเอช 2 ค้นพบโดย กีโยม เลอ ฌ็องตี ในปี 1747 และเป็นหนึ่งในสองของการก่อกำเนิดดาวฤกษ์ที่อยู่ในเนบิวลาจาง ๆ ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากละติจูดกลางทางตอนเหนือ
กลุ่มเมฆบอก (Bok globules) คือกลุ่มเมฆมืดประกอบด้วยแก๊สและฝุ่นคอสมิกที่หนาแน่นมาก ซึ่งบางครั้งก็เป็นแหล่งกำเนิดในการก่อตัวของดาวฤกษ์ มักค้นพบในย่านเอชทู และมักมีมวลประมาณ 2 ถึง 50 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ภายในบริเวณที่มีขนาดประมาณ 1 ปีแสง[2] ภายในประกอบด้วยโมเลกุลไฮโดรเจน (H2),คาร์บอนออกไซด์ และฮีเลียม และอีกประมาณ 1% (โดยมวล) เป็นฝุ่นซิลิเกต โดยมากแล้วกลุ่มเมฆบอกมักเป็นต้นกำเนิดของระบบดาวคู่หรือระบบดาวหลายดวง ผู้คนพบกลุ่มเมฆบอกครั้งแรกคือ บาร์ท บอก ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1940
กลุ่มเมฆบอกเป็นหัวข้อการวิจัยที่ยังดำเนินการอยู่อย่างกว้างขวาง โดยเป็นที่เข้าใจว่าเป็นหนึ่งในบรรดาวัตถุที่เย็นที่สุดในเอกภพ โครงสร้างและความหนาแน่นของกลุ่มเมฆยังเป็นเรื่องลึกลับ
คุยๆ บางครั้งหาเรื่องราว วิทยาศาตร์ จากภาษาไทยไม่ได้ ก็ต้องหามาจากภาษาอื่น แน่นอนครับว่า หลักๆคือภาษา อังกฤษ ยุคปัจจุบันนับว่าโชดดี ที่มีตัวช่วยอย่าง กูเกิล แป๊บเดี๋ยวก็ได้แล้ว
แต่ภาษาของเขา บางครั้งแปลกๆอยู่มั่ง แต่ก็ยังดี ทำให้เราพอจะคลำทางหาทิศได้ถูกต้อง... เพื่อนๆ น้องๆท่านใด สนใจสารคดี ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอยู่ในเอกสารภาษาอังกฤษ นับว่าไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อนะครับ แต่อุปสรรคหากว่ามีคือตัวเราเอง ว่าจะสนใจมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น