Bloggang.com : Rain_sk : “อ้วนลงพุงและอ้วนลงตัว”-ทำไมอ้วนจึงอันตราย?

“อ้วนลงพุงและอ้วนลงตัว”-ทำไมอ้วนจึงอันตราย?

ทุกคนคงได้เห็นหรืออ่านจากสื่อพบว่า คนไทยชาย-หญิงมีน้ำหนักตัวมากกว่า 300 กิโลกรัม และต้องนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาเมื่อไม่นานมานี้ อาการอ้วนเช่นนี้ไม่น่าเรียกว่า “อ้วนลงพุง” แต่เป็น “อ้วนลงทั้งตัว” มากกว่า เพราะอ้วนทุกส่วนในร่างกาย ผู้เขียนเคยเห็นภาพเช่นนี้ทั้งในสื่อต่างๆ และพบด้วยตนเองเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ แต่ปัจจุบันเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราและกับคนไทยแล้ว

ทำไมอ้วนจึงอันตราย?

1. ระบบหายใจ ปอดขยายตัวในแนวตั้งลดลง ทำให้หายใจได้อากาศน้อยกว่าปกติ เหนื่อย หอบ ขาดออกซิเจน มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ การทำงานของสมองลดลง ซึม หลับง่าย และถึงขั้นเสียชีวิตได้

2. ภาวะไขมันสูงและโรคหัวใจ ในคนอ้วนร่างกายจะสร้างคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นวันละ 22 มก./กก. ของน้ำหนักไขมันที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีไตรกลีเซอไรด์สูง 1.1-2.6 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติหรือคนไม่อ้วน ส่วนหนึ่งเกาะตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดเล็กลงหรือตีบตันได้ หัวใจจึงทำงานหนักในการสูบฉีดโลหิต นำไปสู่การเกิดปัญหาของหลอดเลือดและหัวใจ

3. โรคความดันโลหิตสูง คนอ้วนเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนปกติ 2.5 เท่า โดย

- แบ่งเป็นชาย 78 % หญิง 65 %

- ทุกน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น 10 % ความดันตัวบนเพิ่ม 7 มม.ปรอท

- น้ำหนักตัวลด 1 กิโลกรัม ความดันตัวบนลดลง 0.33 มม.ปรอท ตัวล่าง 0.43 มม.ปรอท

- เป็นสาเหตุให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมา

4. โรคเบาหวาน โดยมีอินซูลินสูงกว่าธรรมดาและระดับน้ำตาลสูง เรียกว่า “ภาวะดื้อต่ออินซูลิน” ในระยะยาวตับอ่อนต้องทำงานหนัก เพราะผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ มีน้ำตาลสะสมในเลือดมากขึ้นและเป็นโรคเบาหวานได้

5. หลอดเลือดหัวใจตีบ/ตัน คนอ้วนมีโอกาสเสียชีวิตจากหลอดเลือดหัวใจตีบตัน 2 เท่าของคนรูปร่างปกติ

6. โรคตับ มีไขมันเกาะที่ตับมากกว่าปกติ เรียกโรคไขมันเกาะตับ (Fatty Liver Disease) ทำให้เกิดการอักเสบ เซลล์ตาย นำไปสู่การเกิดพังผืด ตับแข็ง ในระยะยาวเกิดภาวะตับวายหรือเป็นมะเร็งได้

7. โรคไต มีการคั่งของโซเดียมจากการดูดกลับของไต ทำให้บวม ความดันโลหิตสูง มีการรั่วของไข่ขาวทางปัสสาวะ มีความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยในไต ไตจะแข็งเป็นหย่อมๆ ถ้าเป็นโรคไต 80 % เป็นไตวายเรื้อรัง

8. โรคกระดูกและข้อ ส่วนสูงและน้ำหนักมีส่วนสัมพันธ์กัน น้ำหนักที่เพิ่มทำให้เกิดปัญหากระดูกและข้อ ปวดหลัง การเคลื่อนไหวช้าลง การลดน้ำหนักทำให้อาการดีขึ้น

รู้ได้อย่างไรว่าอ้วน?

1. น้ำหนักที่เหมาะสม

ผู้ชาย - ส่วนสูง (ซม.) ลบด้วย 100 (เช่น สูง 185 ซม. ควรหนัก 185-100 = 85 กิโลกรัม)

ผู้หญิง - ส่วนสูง (ซม.) 105 หรือ 110 (เช่น สูง 168 ซม. ควรหนัก 165-05 หรือ 110 หรือ 110-60 กก.) จะได้น้ำหนักตัวที่ควรจะเป็น

2. การหาดัชนีความหนาของร่างกายหรือดัชนีมวลกาย (Body Mass Index = BMI) ดัชนีมวลกายเป็นตัวชี้วัดว่าอ้วนหรือไม่ มีวิธีหาง่ายๆ คือ น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร)2 และแปรผลที่ได้ ดังนี้

BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)

ส่วนสูง (เมตร)2

การแปรผล

ต่ำกว่า 18 กก./ม2 แสดงว่า ขาดอาหาร

18.5-22.9 กก./ม2 แสดงว่า น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

23.0-24.9 กก./ม2 แสดงว่า มีน้ำหนักเกิน เริ่มอ้วนหรือท้วม

25.0-29.9 กก./ม2 แสดงว่าอ้วนปานกลาง

ตั้งแต่ 30 กก./ม2 แสดงว่าอ้วนมาก หรือเป็นโรคอ้วน

ค่า BMI ที่ได้ควรนำมาพิจารณาด้วยตนเองว่า ถ้าค่า BMI มากกว่า 23 กก./ม2 ก็หาวิธีควบคุมหรือลดน้ำหนักได้ก่อนที่น้ำหนักจะเพิ่มมากไปกว่าที่เป็นอยู่

จะรักษาอย่างไร

คงต้องใช้ความรู้จากหลายสาขาวิชาชีพร่วมกัน แพทย์ตรวจร่างกายอย่างละเอียดว่ามีโรคอะไรบ้าง นักกำหนดอาหารต้องมีส่วนในการดูแลเรื่องอาหาร เลือกชนิดอาหารที่ให้พลังงานต่ำ กำหนดปริมาณที่ควรบริโภคในแต่ละมื้อ ไม่ให้กินเกินความต้องการ นักกายภาพบำบัดดูแลแนะนำในเรื่องกายภาพบำบัดหรือการออกกำลังกายง่ายๆ เท่าที่สามารถทำได้ เพื่อช่วยให้มีการใช้พลังงานส่วนเกิน การเคลื่อนไหว ขยับร่างกาย เป็นการป้องกันไม่ให้มีแผลกดทับเพราะนอนนาน

ตัวอย่างนี้คงช่วยให้คุณผู้อ่านได้ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพที่มาจากโรคอ้วน ไม่ว่าจะ “อ้วนลงพุง” หรือ “อ้วนลงตัว” อาจจะบอกว่าอ้วนเป็น “ภัยเงียบ” หรือ “มัจจุราชเงียบ” ของสุขภาพ เพราะเป็นโรคที่ใช้เวลานาน ค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆ จนเกิดความชะล่าใจ แล้วจะเริ่มย้อนมาดูแลสุขภาพของตน และตรวจสอบว่าอ้วนหรือไม่แล้วหรือยัง หรือจะปล่อยให้ทั้ง “อ้วนลงพุงและอ้วนลงตัว” ต่อไป และอย่าลืมว่า “สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง”

Gourmet & Cuisine ฉบับที่ 125 ประจำเดือนธันวาคม

Create Date : 03 ธันวาคม 2554

Last Update : 3 ธันวาคม 2554 4:58:05 น.

0 comments

Counter : 1022 Pageviews.