มุมมอง (2) : ฟอไฟฟุดฟิด อังกฤษ อเมริกัน a7 นิทานเรื่อง The Wonderful Wizard of Oz เป็น fiction = วรรณกรรมที่แต่งขึ้นมาจากจินตนาการ สร้างโลกของตัวเองที่ชัดเจน ตัวละครก็มีบทบาทชัดเจนว่าเป็นฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรม
ส่วนเรื่อง Wicked ใช้โลกเดียวกันนั้นเป็นสถานที่เดินเรื่อง ตัวละครหลัก ๆ ก็ชุดเดียวกัน แต่เป็นการ turn the story on its head = ทำให้เรื่องราวกลับหัวกลับหางหมด โดยเติมบริบททางประวัติศาสตร์ การเมือง และศาสนาเข้าไป และที่สำคัญโดยการพลิกมุมมอง ทำให้เป็นนิยายสำหรับผู้ใหญ่มากกว่านิทานสำหรับเด็ก
หนังสือ Wicked กล่าวได้ว่าเป็นนิยายลักษณะ revisionist คือแก้ไขทบทวนสิ่งที่คนทั่วไปยึดถือมาตลอด ซึ่งในกรณีนี้คือนิทานของ Frank L. Baum
นิยายอีกเรื่องของ Gregory Maguire ผู้แต่ง Wicked ก็ออกมาแนวเดียวกัน นั่นคือหยิบนิทานเรื่องซินเดอเรลลามาแล้ว turn the story on its head โดยเล่าจากมุมมองของพี่สาวต่างแม่ของซินเดอเรลลา กลายเป็นหนังสือเรื่อง Confessions of an Ugly Stepsister = คำสารภาพของพี่สาวต่างแม่ผู้ขี้เหร่
ภาษาอังกฤษมีภาษิตว่า You cant really know a man until youve walked a mile in his shoes. = เราจะไม่สามารถรู้จักใครได้จริง ๆ จนกระทั่งได้เดินหนึ่งไมล์โดยใส่รองเท้าของเขา
ดังนั้นก่อนที่เราจะเกลียดใครหรือดูถูกใคร ก็ลอง put yourself in (his/her) shoes = สมมุติตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ของเขาก่อน แล้วอาจจะเกลียดเขาไม่ลงก็เป็นได้.
ดิฉันชอบฟังการสัมภาษณ์ ซูจี เพราะเธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี และนี่น่าจะเป็นคุณสมบัติอันสำคัญที่หล่อนหยัดยืนสู้ได้อย่างยาวนานนัก แต่ไม่ใช่แต่หวัง ทำด้วย จึงได้มา หล่อนให้สัมภาษณ์ไว้ว่า I dont believe in people just hoping. We work for what we want. I always say that one has no right to hope without endeavor. ฉันไม่เชื่อในคนที่ได้แต่หวัง เราต้องแสวงหา ในสิ่งที่เราต้องการ ไม่มีใครมีสิทธิที่จะหวังได้ โดยปราศจากความบากบั่น.
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของนักร้องคุณภาพ Whitney Houston วิทนีย์ ฮูสตัน ที่เป็นตำนานของวงการเพลง หลายคนคงเคยได้ฟังเพลง I Will Always Love You พลังเสียงของเธอเหลือล้นจริง ๆ ค่ะ เสียดายที่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่มาก
สัปดาห์นี้กลับมาที่ภาพยนตร์เรื่องของสตรีเหล็กคนดัง ออง ซาน ซู จี และหลายฝ่ายกำลังเป็นกำลังใจให้เธอในการต่อสู้อันยาวนาน คำศัพท์แรกจากเรื่อง witness สิ่งที่เราเห็นมักจะมีอิทธิพลต่อเรามากกว่าที่เราคิด ชีวิตของสตรีเหล็กผู้นี้เห็นพ่อ ที่เคยเป็นนายพลที่ช่วยทำให้พม่าเป็นอิสระ เห็นครอบครัว เห็นประเทศของตนเปลี่ยนแปลงไป ศัพท์คำนี้เป็นได้ทั้งคำนาม และ กริยาค่ะ อ่านว่า วิท-เน็ซ พยาน ผู้เห็น เป็นพยาน ลงนามเป็นพยาน หรือหมายถึง ดู เห็น We will never forget the scene we witnessed during the war. พวกเราจะไม่มีทางลืมภาพที่ได้เห็นระหว่างสงคราม ประโยคนี้ใช้ witness เป็นคำกริยาค่ะ They tried to influence the witness. พวกเขาพยายามจะมีอิทธิพลเหนือพยาน witness ในประโยคนี้ใช้เป็นคำนามค่ะ แต่ซู จีไม่ได้เพียงแต่ witness เพียงแต่ได้เห็นเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเข้าไปมีส่วนร่วม take part in - She has been taking part in building her countrys democracy. หล่อนเข้าไปมีส่วนร่วมในการนำชาติไปสู่ประชาธิปไตย หรือจะพูดให้ถูกหล่อนไม่ใช่แค่ร่วม แต่หล่อน lead อ่านว่า ลีด หมายถึง นำ นำทาง จนกลายเป็นผู้นำ leader เพื่อการนำชาติไปสู่ความเป็นอิสระ
เช่นสมมุติว่าคุณยืนอยู่ที่ตีนเทือกเขาหิมาลัยแล้วมองขึ้นไปก็อาจกล่าวได้ว่า It was an awesome sight. = มันเป็นภาพที่น่าทึ่งน่าเกรงขาม
หรือถ้าคุณไปเจอเผ่าคนป่าที่ไม่รู้จักวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีแต่พูดภาษาอังกฤษได้ แล้วคุณสำแดงอิทธิฤทธิ์โดยสาธิตการใช้ปืน พวกเขาก็อาจจะคุกเข่ากราบไหว้คุณแล้วพึมพำในหมู่กันเองว่า He has awesome powers. = เขามีพลังที่น่าทึ่งน่าเกรงขาม
จริง ๆ แล้ว awesome ควรเก็บไว้ใช้ในโอกาสที่พิเศษ
จริง ๆ เพราะเราคงไม่ได้เจออะไรบ่อย ๆ ที่ทำให้เราอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง แต่ในทางปฏิบัติ awesome กลับเป็นคำที่ติดปากคนอเมริกันมากที่สุดคำหนึ่ง จนติดอันดับคำที่พึงเนรเทศของ Lake Superior State University ประจำปี 2527 และอีกทีในปี 2550
ความหมายในเชิงสแลงของมันคือ สุดยอด ยอดเยี่ยม ใช้เวลาต้องการแสดงความปลาบปลื้มชื่นชมอย่างมาก เช่น That slam dunk was awesome! = การโดดขึ้นไปยัดห่วงนั้นสุดยอดเลย
ก็อย่างว่าแหละครับ อะไรก็ตามที่ใช้พร่ำเพรื่อย่อมคลายความพิเศษ เมื่อเวลาผ่านไป awesome ก็กลายมาเป็นคำที่ใช้แสดงความชื่นชมกับอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน เช่น This fried rice is awesome. = ข้าวผัดนี่สุดยอด Youre no longer constipated? Thats awesome. = คุณหายท้องผูกแล้วเหรอ ดีจังเลย. ▷▷..ยิ่งใหญ่แต่ไม่ยืนยง
ก็ตะลึงกันทั่วโลกนะครับเมื่อ Whitney Houston นักร้องระดับซูเปอร์สตาร์ดวงดับจากโลกไปด้วยวัยก่อนสมควร ตามหลัง Michael Jackson และ Amy Winehouse ผู้ยิ่งใหญ่แต่ไม่ยืนยง
ทุกคนคงจำได้ว่ารู้สึกอย่างไรครั้งแรกที่ได้ยิน Whitney เค้นเพลง I Will Always Love You ออกมาจากวิญญาณทุกอณูของเธอ บันดาลใจให้นักร้องคาราโอเกะทั่วโลกนำเพลงนี้ไปเชือดคืนแล้วคืนเล่าจนเราแทบจำไม่ได้ว่ากาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วเพลงนี้เคยไพเราะกระชากวิญญาณขนาดไหน
หลายคนไม่ทราบว่าเพลงนี้เดิมทีเป็นเพลง country = ลูกทุ่ง ประพันธ์โดยสาวสวยผมทองปอดใหญ่เสียงเล็ก Dolly Parton (ผู้สร้างสวนสนุก Dollywood ในรัฐเทนเนสซี)
Monster (ม๊อนสเต่อร์) ปกติเรารู้จักในความหมาย สัตว์ประหลาด (เช่น Godzilla is a monster who destroys Tokyo for fun. = ก๊อดซิลล่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ชอบทำลายโตเกียวเพื่อความสนุก)
และถ้าคุณเคยดูหนังเกี่ยวกับฆาตกรโรคจิตก็อาจจะเคยเจอคำนี้ในอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือ คนที่โหดร้ายผิดมนุษย์มนา เช่น Hes a monster who enjoys nothing more than using his wife for a punching bag. = เขาเป็นคนใจยักษ์ที่ไม่ชอบอะไรไปมากกว่าการใช้ภรรยาเป็นกระสอบทราย
ที่อเมริกาถ้าคุณเป็นแฟนกีฬา (หรือเพียงชอบนั่งอืดในเก้าอี้นวมตัวสบายพลางจินตนาการว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทีมกีฬาที่โปรดปราน) ช่องเคเบิลที่คุณต้องสมัครคือ ESPN (ย่อจาก Entertainment and Sports Programming Network = เครือข่ายรายการบันเทิงและกีฬา)
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ยักษ์ใหญ่ ESPN โดนสื่ออื่นจับมาเตะรอบวงโทษฐานนำเสนอข่าวเกี่ยวกับ Jeremy Lin โดยพาดหัวด้วยคำที่เหยียดหยามชาวจีน
สำหรับท่านที่ไม่ได้ตามข่าว Jeremy Lin เป็นนักบาสทีม New York Knicks ผู้โด่งดังแทบจะชั่วข้ามคืน เพราะเป็นสิ่งที่หายากยิ่งใน NBA (National Basketball Association) นั่นคือเป็นคนเอเชียที่เก่งกาจปราดเปรื่องในการยิงลูกลงห่วง
นักบาส NBA ส่วนใหญ่จะเป็นคนผิวดำ ตามด้วยผิวขาว แต่คนเอเชียที่เป็นนักบาสอาชีพก็มีเพียง Yao Ming เจ้าของความสูง 2.29 เมตร ซึ่งปัจจุบันก็แขวนรองเท้าไปแล้ว
ส่วน Jeremy Lin ก็ไม่ได้สูงมากมาย แค่ 1.90 เมตร ตำแหน่งก็เป็น point guard ไม่ใช่ center แต่ฝีมือส่อแววตั้งแต่เล่นบาสให้ทีมมหาวิทยาลัย Harvard แล้ว มาดังระเบิดก็ตอนที่ทำให้ the Knicks ชนะรวดเจ็ดเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยพลิกเกมจากแพ้เป็นชนะอย่างไม่น่าเชื่อ
ความแพรวพราวของ Lin ในสนามบาสทำให้แฟน ๆ พากันคลั่งไคล้ Lin ชนิดที่ว่าถ้าเป็นเมืองไทยก็คงเรียกว่า “ลินฟีเวอร์” ไปแล้ว แต่ฝรั่งเรียกว่า Linsanity (เป็นการจับนามสกุลของเขาไปผสมกับ insanity = ความบ้าคลั่ง ซึ่งมักใช้ในภาษาสแลงหมายถึง ความไม่น่าเชื่อ)
หลังจากชนะเจ็ดเกมรวด the Knicks ก็มาพ่ายต่อ New Orleans Hornets ทำให้ ESPN พาดหัวข่าวยิงไปตามมือถือว่า Chink in the Armor
การที่ ESPN พาดหัวข่าวว่า Chink in the Armor อาจ มองได้ว่าเป็นการเหยียดหยามความเป็นจีนของ Jeremy Lin โดยนำคำว่า chink เสนอในบริบทของสำนวนที่ใช้คำนี้ในความหมายอื่น เพื่อที่จะเป็นข้ออ้างว่าไม่ได้ตั้งใจดูถูก สำนวนมันพาไปเอง
Chink ในบริบทของสำนวนนี้ความจริงแปลว่า รอยแตก หรือ จุดโหว่ ส่วน armor (อ๊าร์เหม่อร์) ก็แปลว่า ชุดเกราะ รวมกัน chink in the armor ก็แปลว่า จุดอ่อนในชุดเกราะ
ความจริงถ้า ESPN นำสำนวนนี้ไปใช้กับทีมที่ไม่มีคนจีนเล่นก็อาจไม่มีใครว่าอะไร แต่ในเมื่อ Jeremy Lin เป็นตัวชูโรงของ the Knicks และข่าวชิ้นนั้นออกมาในแนวเย้ยการจบสิ้น winning streak (= การที่ชนะรวดหลาย ๆ เกมติดกัน) ของ the Knicks ก็เลยตีความได้ว่าการพาดหัวเช่นนั้นอาจมีเจตนาลบหลู่ดูแคลนกัน
ทุกวันนี้คนอเมริกันหลายคนเป็นทุกข์โดยไม่รู้ตัว เพราะจิตใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไม่ว่าจะเกลียดชังประธานาธิบดีโอบามา เกลียดชังสถาบันการเงินที่รวยเอา ๆ ในขณะที่คนธรรมดาแทบจะไม่สามารถ make ends meet = ชักหน้าให้ถึงหลัง เกลียดประเทศจีนที่ แย่ง งานไปจากสหรัฐ เกลียดคนเม็กซิกันที่ แย่ง งานจากคนผิวขาว ฯลฯ
ความทุกข์โดยมากมีวิธีบรรเทาง่ายนิดเดียว นั่นคือการเปลี่ยนมุมมอง เช่น แทนที่จะมองผลเฉพาะหน้า (สงสัยโดนนายด่าแน่เลยเรา) ก็อาจเปลี่ยนมุมมองไป take the longer view มองผลระยะยาวกว่านั้น (อีกสิบปีข้างหน้าความผิดพลาดของเราในวันนี้จะยังคงสำคัญอยู่ไหม)
ความเกลียดก็เป็นความทุกข์ชนิดหนึ่ง แต่เรามักจะไม่รู้ตัวว่าเป็นความทุกข์ เพราะเราเป็นฝ่ายเกลียดคนอื่น เป็นฝ่าย กระทำ ไม่ได้แปลเป็นภาษาบาลีแล้วเป็นสิ่งที่ต้องห้าม
พระพุทธเจ้ามียาวิเศษสำหรับการขจัดความเกลียด นั่นคือการแผ่เมตตา ดูเผิน ๆ เหมือนว่าเป็นการช่วยคนที่เราแผ่เมตตาให้ แต่อันที่จริงแล้วกลับช่วยผู้ที่แผ่เมตตาเองให้จิตใจสงบเยือกเย็นลง เพราะทำให้เข้าใจว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น เราก็เลยจะรู้สึกว่า เฮ้ย เรายังไปมัวเสียเวลาเสียสติเกลียดชังเขาอยู่ทำไม
ฝรั่งโดยมากแผ่เมตตาไม่เป็น แต่สิ่งที่เขาทำเป็นคือ empathy (เอ๊มผะถี่) = ความเห็นอกเห็นใจซึ่งมาจากการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (ต่างจาก sympathy ซึ่งหมายถึงความเห็นใจธรรมดา โดยไม่ได้รู้สึกคล้อยตามไปด้วย)
มนุษย์ส่วนใหญ่จะมีอุปนิสัยเห็นแก่ตัว มองทุกอย่างโดยยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดังนั้นเราจึงควรต้องคอยเตือนสติตัวเองให้มี empathy = เห็นอกเห็นใจคนอื่นโดยรู้สึกคล้อยตาม โดยการปรับมุมมองให้มองจากสายตาของคนอื่น
ภาษาอังกฤษมีภาษิตว่า You cant really know a man until youve walked a mile in his shoes. = เราจะไม่สามารถรู้จักใครได้จริง ๆ จนกระทั่งได้เดินหนึ่งไมล์โดยใส่รองเท้าของเขา
ดังนั้นก่อนที่เราจะเกลียดใครหรือดูถูกใคร ก็ลอง put yourself in (his/her) shoes = สมมุติตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ของเขาก่อน แล้วอาจจะเกลียดเขาไม่ลงก็เป็นได้.
หนังสือ ฟอไฟฟุดฟิดอังกฤษอเมริกัน เล่ม 1-6 รวมซีดี ลดจาก 600 เหลือ 550 บาท หรือถ้าไม่เอาซีดีก็เพียง 480 บาท ส่ง EMS ฟรี ส่งธนาณัติสั่งจ่ายนายเสาวพจน์ ศรีวลี 20/1 ซอยอินทามระ 7 ป.ณ. สามเสนใน กท. 10400 หรือเข้าบัญชี ธ.กรุงเทพ หมายเลข 111-4-02764-0 แฟกซ์ใบสั่งจ่ายไปที่ 0-2616-8215 อย่าลืมเขียนชื่อ-ที่อยู่นะครับ เว็บไซต์ผม //boonhod.com อีเมลผม boonhod@hotmail.com ติดตามได้ทาง Twitter @boonhod
//www.dailynews.co.th/article/42/10345