ตุลาคม 2556

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
เมื่องสีทองแห่งทะเลทราย......Jaisalmer-03


19/12/2012 วันที่สี่ของการเดินทาง

หลังจากนั่งรถมาตลอดคืน (จริงๆมีแบบนอนด้วยในรถคันเดียวกัน แต่ถนนอินเดียไม่ดี นอนแล้วอาจจะปวดหลังเลยไม่เลือก) เราก็ถึง Jaisalmer ตอนตี4 ซึ่งมันมืดและหนาวมากๆๆๆ ก็มีนายหน้าชายหนุ่ม (ซึ่งเค้าบอกว่า ตัวเค้าเป็นเจ้าของโรงแรม) และมาหาลูกค้าถึงรถ เค้าบอกว่าโรงแรมของเค้าเริ่มต้นที่ 300รูปี (แต่ไม่รู้จบที่เท่าไร่555)

ซึ่งแน่นอนว่าพวกเราก็ไปกับเค้า เพราะไม่มีทางเลือก ก็มันทั้งมืดทั้งหนาวนี่น่า55 ที่พักที่เค้าพาเราไป อยู่ห่างจากจุดที่ลงรถนิดเดียวเอง นั่งรถตดยังไม่ทันหายเหม็นก็ถึงละ55 ซึ่งอยู่ในเขตเมืองเก่านั่นแหละ (ไม่ได้อยู่บนป้อม) ชื่อว่า Hotel Shiva Palace

ถึงจะเรียกว่า Hotel ก็เหอะ แต่จริงๆมันคือตึกแถวที่เอามาทำเป็นที่พักนั่นเอง (น่าจะเป็นตึกแถวสร้างใหม่ให้คล้ายๆกับศิลปะแบบเก่า)เรารออยู่ที่รถของเค้า ให้พี่ต่อไปดูมาก่อน พี่ต่อไปดูมาให้ บอกว่าสภาพก็โอเคอยู่ได้ มีห้องน้ำในตัว แต่น้ำร้อนต้องรอตอนเช้า เพราะที่นี่ใช้ระบบอัตโนมือต้มด้วยฟืน55

พวกเราเลยถามว่าเท่าไร ก็มาดันมาทำลวดลายบอกว่าคุณคิดว่าห้องดีๆแบบนี้ น่าจะราคาเท่าไร่ล่ะ ด้วยความงกปนหมั่นไส้เลยบอกว่า 300รูปี (ก็ตามที่เคยบอกอะ ว่าเริ่มที่300รูปี) เค้าก็ตกลงทันที ก็เลยแอบเซ็งนิดนึงรู้งี้ชั้นต่อ 200ไปเลยดีกว่า55 งกจริง

ขึ้นห้องได้ ก็สลบเหมือด ถึงกับลืมปิดไฟนอนกันเลย เราตื่นกันอีกทีก็ 10โมงกว่าแล้ว เลยรีบอาบน้ำเตรียมจะไปหาอะไรกินตอนเช้า เราอยากไปทัวร์ไปทะเลทรายเลยตั้งใจจะไปหาเอเจ้นท์ในเมืองเก่า และก็จะเอาตั๋วรถไฟไปยกเลิกด้วยเพราะได้รู้สัจจะธรรมแล้วว่า นั่งรถบัสสะดวกกว่ามากกก

แต่เรานึกขึ้นได้ ว่าเจ้าของโรงแรม(คนหนุ่ม)ตอนเรามาถึง ก็มีโฆษณาทัวร์ทะเลทรายของที่พักตัวเอง เลยลองดูสักหน่อย ก็ขึ้นไปต่อรองที่ชั้นดาดฟ้า ซึ่งเป็นส่วนร้านอาหารและออฟฟิศที่เจ้าของตัวจริงอยู่ เป็นผู้ชายผอมๆดูมีอายุหน่อย

ก่อนคุยเรื่องทัวร์ทะเลทรายเราให้พี่ต่อถามเรื่องขอใบรับรองที่เราจะซื้อซิมการ์ด ว่าให้เค้าออกให้ได้ไหม ทางเค้าบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงมายเฟรนด์(555+++)เค้าออกให้ได้อยู่แล้ว

ก็เลยเข้าเรื่องทัวร์ทะเลทราย ตอนแรกเราอยากได้แบบไปเช้า-เย็นกลับ แต่ว่าลุงเจ้าของแกบอกว่าไปเช้าเย็นกลับไม่ค่อยมีไรน่าสน ถ้าไหนๆจะไปแล้ว ก็พักสักคืนสิจะได้ไปสันทรายสวยๆ ไม่มีขยะไม่มีรอยเท้าและคนเยอะๆวุ่นวาย เหมือนสันทรายแซม ( Sam Dune)

ตอนนั้นเราคิดว่าแบบพัก1คืนก็ว่าน่าจะดีเหมือนกัน(จริงๆแล้วเราก็อยากนอนกลางทะเลทรายสักครั้งในชีวิต) ลุงแกเปิดราคานอน 1คืนอูฐ2ตัว อาหาร 3มื้อมาที่ เกือบๆ 7000 รูปี(สองคน)

เราเลยต่อไปเหลือ 3500 รูปีแกรีบตอบตกลง แล้วแกก็สำทับว่าทริปนี้มีคู่รักชาวญี่ปุ่นอีกคู่ อย่าบอกคู่คนญี่ปุ่นนะว่าเราได้ราคาเท่านี้ เป็นความลับให้เฉพาะเราสองคน เข้าใจมั๊ยยยยมายเฟรนด์5555

เห็นแกรีบรับราคานี้ ก็แอบเซ็งอีกแล้ว แสดงว่าน่าจะลดได้อีก จริงๆมารู้ทีหลังว่าราคานี้สำหรับหน้าหนาว ก็ยังแพงไปน่าจะต่อลงได้อีกสัก500-1000รูปี เปิดราคามานี่กะฟันหัวแบะเลยนะลุง นี่แกทำกะเพื่อนแกแบบนี้เหรออออ แต่ก็ยังดีที่ต่อราคาไป แอบรู้สึกแย่นิดหน่อยตรงที่เค้าเหมือนไม่ค่อยจริงใจเท่าไร่ เพราะเหมือนพูดอะไรก็เชื่อถือไม่ค่อยได้

หลังจากเสร็จธุระเรื่องทัวร์ทะเลทราย เราก็จะไปยกเลิกตั๋วรถไฟที่สถานี ก็นั่งตุ๊กๆไปด้วยความที่คิดว่าแป๊ปเดี่ยวน่าจะเสร็จ ก็เลยบอกให้ลุงตุ๊กๆรอ บอกลุงเค้าว่าน่าจะไม่เกินสิบห้านาที เพราะคิวไม่เยอะมีแต่พวกทหารประมาณ 4-5คน กะนักท่องเที่ยวฝรั่ง1คู่ (ลุงแอบทำหน้าประมาณว่าแน่ใจเหรอว่าจะไม่นาน ตอนนั้นยังไม่รู้ตัว55)

แต่เอาเข้าจริง รอนานมากกกกก จนต้องไปบอกลุงตุ๊กๆว่าไม่ต้องรอแล้วจ้า เพราะไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่ ทั้งๆที่คนก็ไม่ได้เยอะ แต่ก็เห็นมีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงแค่คนเดียว แล้วเจ้แกก็ทำงานช้าได้โล่ห์ แถมโดนแซงคิวอีก คนแซงก็เป็นพวกพี่ทหารนั่นแหละ

แล้วพอถึงคิวพวกเรา ปรากฎว่ามันยกเลิกไม่ได้ เสียทั้งเงินและเวลาเปล่าๆเลย เซ็งมากกกกก กว่าจะออกมาได้ก็ตั้งบ่าย3 กว่าๆ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยคิดดู

ทำพี่ต่อโมโหหิวแล้ว55 เราเลยต้องรีบบึ่งกลับไปหาของกินให้เร็วที่สุด แล้วก็เลือกร้านตรงทางขึ้นป้อมร้าน Jaisal Italy นี่หล่ะ


บรรยากาศและสถานที่สวยมากกก มองเห็นป้อมอย่างชัดเจนเรารีบนั่งโดยที่ไม่ได้เข้าไปดูด้านใน ซึ่งก็มีที่นั่งเหมือนกันร้านนี้เป็นร้านอาหารอิตตาลี่แบบมังสวิรัติ




รสชาติอาหารไม่ค่อยถูกปากเท่าไร่ อย่างสปาเก็ตตี้ก็จืดมากกกก ซุปเห็ดก็ไม่มีความข้นเลย เหมือนเอานมมาต้มเฉยๆจืดมากๆ ดีที่มีเกลือกะน้ำตาลให้ ปรุงกันสนุกเลย

อันที่กินได้มากสุดก็พิซซ่าหน้าฮาวาเอี้ยนที่มีแต่สัปปะรดนี่แหละ55++ ส่วนน้ำดื่มเหมือนเคยเห็นรีวิวแว๊บๆว่าน้ำเลม่อนโซดาอร่อยเลยสั่งมาลอง

ตอนแรกเห็นมาเป็นขวดนึกว่าจะมาน้ำเลม่อนโซดาซ่าๆหวานๆ กลายเป็นโซดามะนาวเปรี้ยวๆ ที่ไม่มีความหวานเลย ก็เลยตักน้ำตาลทรายใส่ลงไป ปรากฎว่ามันเป็นฟองฟู่เหมือนอีโน แบบฟองเยอะมากอะ55




นั่งสักพักพี่ต่อก็ไปเข้าห้องน้ำมา แล้วบอกว่าโซนข้างในก็มีนะ เข้าไปดูก่อนสิ ก็เลยลองเดินไปดู ข้างในก็ตกแต่งได้สวยงามและน่ารักมากๆ เลยย้ายไปนั่งด้านในกัน

ร้านนี้มี Wifi ให้ใช้ฟรีนะ แต่ต้องเล่นอยู่โซนด้านในนี่แหละ ข้างนอกไปไม่ถึง จะว่าไปจริงๆแล้วพวกเราชอบบรรยากาศเมืองนี้กันมากๆ โรแมนติคและสวยงามจริงๆ ประทับใจเมืองนี้มากเลย

พอนั่งสักพักเลยสั่งสาสซี่กล้วยปั่นมาที่นึง อืม... รสชาติมันแย่จริงๆให้ตายสิ หวานซะแสบคอไม่อร่อยอย่างแรง55+++









นั่งสักพักเราก็ออกมาเข้าห้องน้ำเตรียมตัวจะไปซื้อรองเท้าและกระโปรง เพื่อใช้สำหรับวันพรุ่งนี้ในการไปทัวร์ทะเลทราย หลังจากออกจากห้องน้ำ ก็เจอเจ้าของร้านชวนคุยอยู่ตั้งนาน (คุยกะคนภาษาอังกฤษแข็งแรงมากๆอย่างเรา ต้องทำใจ555+++)

จำได้ว่าคุยอยู่นาน จนพี่ต่อต้องออกมาตามนึกว่าหายไปไหน แล้วเจ้าของร้านได้ยินว่าเราจะไปหาซื้อของเลยแนะนำร้านตรงทางเดินขึ้นมาร้านเค้า ว่าเป็นคนรู้จักขายราคาถูกให้ไปเลือกดู

เรากะพี่ต่อได้อีแตะมาคนละคู่ ราคาถูกดีทำจากหนังอูฐสวยงาม เราก็ใส่เลยทันทีเพราะเห่อ55 เสร็จแล้วเลยถามลุงร้านรองเท้า ว่ามีร้านแนะนำซื้อพวกส่าหรีหรือกระโปรงมั๊ยลุงก็พาไปร้านคนรู้จัก

แต่ร้านนี้ของค่อนข้างแพงอะ เราได้ผ้าส่าหรีแบบไม่ค่อยสวยมา1ผืน ไม่รู้เอามาทำไมเหมือนกันส่วนพี่ต่อได้เทอบัน 5เมตรสีชมพูสวยสดมา1 ผืน ให้คนขายสอนวิธีใส่ให้หมุนกันสนุกเลย55 และพี่ต่อก็ทำออกมาได้สวยดี

หลังจากออกจากร้าน เหลือบไปเห็นกระโปรงแขกยาวสีดำลายนกยูง สวยมาก และเหลืออยู่ตัวสุดท้ายก็เลยต้องเอามา พอมาดูที่ห้อง ปรากฎว่าขาดเป็นรู ขอบใจนะ55 ครั้นจะเอาไปเปลี่ยนก็ไม่อยากเพราะลายมันสวย เลยเอามาเย็บซ่อมเอง เอาไว้ใช้พรุ่งนี้

หลังจากเสร็จจากซื้อของ ก็เดินกลับบ้าน ร้านขายของในบริเวณนี้ค่อนข้างขายของแพงกว่าร้านค้าด้านนอกเมืองเก่าอย่างเช่นน้ำแอ๊ปเปิ้ลโซดา(อร่อยมากๆหวานๆหอมๆซ่าๆ)ที่เราชอบกินกัน ร้านนี้ขาย 35รูปี ข้างนอกขาย 25รูปี

เดินๆอยู่สักพักก็เจอคนเย็บรองเท้าถามว่าจะเย็บไหม เราก็งงว่าถามทำไมอะ ชั้นเพิ่งซื้อไม่เสียอะไรซะหน่อย55 (แล้วเดี๋ยวก็ต้องเสียใจที่ไม่เย็บ55++)


20/12/2012 วันที่ห้าของการเดินทาง

วันนี้รีบตื่นตั้งแต่ตีห้า เพราะกลัวเก็บของไม่ทัน และเค้านัดรถมารับเอาไว้ตอนแปดโมงเช้า แต่ก็ต้องอารมณ์เสียตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่เพราะน้ำร้อนจะมาตอนหกโมง เลยต้องเก็บของไปพลางๆ

แต่พอหกโมงเช้า น้ำก็ยังไม่ร้อน พี่ต่อเลยไปตามถามดูกับลุงเจ้าของที่พัก เค้าบอกว่าอีกแป๊ปเดียว แต่มันหลายแป๊ปจนรำคาญมากเลยขึ้นไปดูเองบนดาดฟ้า เห็นคนต้มน้ำเพิ่งขนฟืนขึ้นไปนั่งจุดไฟอยู่ ก็เลยยืนคุมงานอยู่ตรงนั้น บอกว่าลุงคะ หนูรีบมาก ขอร้อนด่วนๆเพราะต้องไปกับคนอื่นด้วยไม่อยากให้ใครรอ

ลุงก็เลยต้องเร่งมือ เพราะมีสายตาอำมหิตจับจ้องอยู่55 ไม่งั้นก็รอไปเหอะ กว่าจะได้อาบน้ำก็จาเข้าไปเกือบเจ็ดโมงละ รีบกันสุดชีวิต กระเป๋าเดินทางฝากไว้ที่โรงแรม ส่วนเราลงมาพร้อมกระเป๋าเป้ใส่ของ1ใบและถุงนอน 2ถุง ซึ่งก็ทันเวลารถมารับพอดีปรากฎว่าพอไปถึง เค้าก็ให้ขึ้นรถจี๊บเลย อ้าว แล้วไหนอะคู่รักญี่ปุ่นที่จะไปด้วยกัน นี่ชั้นต้องรีบเพื่ออะไรเนี่ย55

พอนั่งรถจี๊ปไปสักพักก็เริ่มเข้าเขตทะเลทราย เจอฝูงแพะฝูงใหญ่ ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่ชาวมุสลิมแถวนั้นเลี้ยงไว้



พอขับไปได้สักพัก คนขับถามว่าสนใจเข้าไปเดินเล่นในหมู่บ้านชาวมุสลิมไหม พวกเราเห็นว่าไม่น่าสนใจเลยไม่แวะ ก็เลยรีบไปกันต่อ



ไปแวะที่บ้านพักคนเลี้ยงอูฐที่จะพาเราทัวร์ทะเลทรายกันในวันนี้ ขณะที่พวกเรากำลังรอลุงคนเลี้ยงอูฐ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านพักเป็นคนต้มจัย ให้เราดื่มรอไปพลางๆ

น้องอูฐของพวกเราหน้าตาน่ารักมาก ตาหวานขนตาเด้งดึ๋งปิ๊งๆเลย ตัวของพี่ต่อชื่อไมเคิลแจ๊กสัน ส่วนของเราชื่อไรจำไม่ได้555+++


นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ขี่อูฐกัน แล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะขี่อูฐเหมือนกัน เพราะว่าพอขึ้นหลังมันได้แล้ว หลังจากมันยืนขึ้นปุ๊ป เริ่มเดินปั๊ป รู้ทันทีว่าซวยแน่ๆ จะไปถึงสันทรายมั๊ยเนี่ยเพราะมันกระแทกมากๆ และนั่งไม่สบายตูดเลยสักนิด



อีกอย่าง พอเราขึ้นหลังอูฐได้แล้วตรงเท้าเรา มันไม่มีที่ให้วาง ทำให้ต้องทิ้งขาลงข้างตัวอูฐซึ่งเป็นท่าที่เมื่อยมากๆ พี่ต่อก็เลยถามลุงเลี้ยงอูฐ ว่ามีที่วางเท้าให้ไหมลุงเลยหาเชือกมามัดเป็นที่วางเท้าให้ เรื่องมากจริงๆผู้หญิงคนนี้55

ก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเยอะ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะพอหลังจากมันเดินได้ประมาณเกือบๆชั่วโมง เราก็มีอาการตูดก็ระบมไปหมดแถมกระโปรงนกยูงตัวสวยที่ซื้อมาแล้วต้องมานั่งเย็บเมื่อคืนก็ทำพิษ

เพราะว่ามีเลื่อมปักลาย ทำให้มันสีต้นขาด้านใน ระหว่างขาเรากับหลังอูฐ ทำให้เป็นแผลถลอกและแสบมากๆ ทรมานจริงๆแต่เวรกรรมยังไม่หมด เพราะว่านี่เดินทางมายังไม่ถึงครึ่งทางเล้ยยย

ไม่อยากจะนึกว่าต้องนั่งอูฐไปจนเย็น กว่าจะถึงสันทรายที่เป็นที่พักน่าจะต้องนั่งอีกไม่ต่ำกว่า5ชั่วโมง คิดแล้วอยากกระโดดลงไปเดินให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ

แต่ด้วยความเกรงใจคนเลี้ยงอูฐ แล้วก็กลัวว่าเค้าจะต้องวุ่นวายและลำบากเลยไม่ได้บอกไป ทนนั่งไปเรื่อยๆท่ามกลางแสงแดดตอนบ่ายโมง จากอากาศหนาวๆตอนเช้า ตอนนี้ก็ร้อนพอควร (แต่ไม่ได้ร้อนมาก แค่อุ่นๆ น่าจะดีกว่าแดดกลางทะเลทรายช่วงบ่ายโมงตอนหน้าร้อนนะ55)



โชคดีที่เราเอาร่มมาด้วย เลยเอามากางกันแดดซะเลยลุงเห็นก็ชมว่าเป็นไอเดียที่ดีมาก5555++++

ระหว่างทางอยู่ดีๆ เจ้าอูฐตัวของเราก็มีอาการเหมือนคนคัดจมูก หายใจฟึดฟัดๆเป็นระยะๆ และสะบัดหน้าไปมา ดูเหมือนจะจามแต่ไม่จามอยู่สักพักใหญ่ ก็เลยทำให้มีละอองน้ำมูกอูฐ กระเด็นมาโดนอยู่หลายครั้ง55

แต่ในที่สุดเจ้าอูฐก็ทนไม่ไหว สะบัดหน้าอย่างแรงมีอาการคล้ายๆคนจาม ปรากฎว่ามีหนอนสีขาวรูปร่างเหมือนหนอนไหมที่ทอดขายกันที่ไทย แต่ตัวเบ่อเริ่มเลย กระเด็นออกมาจากรูจมูกน้องอูฐ ตัวขาวอวบเชียว ดิ้นดุ๊กดิ๊กๆอยู่บนพื้นทราย

เอ่อ ไม่ทราบว่ามันเข้าไปอยู่ได้ไง ตัวใหญ่ขนาดนั้นแบบว่าเราอยู่บนหลังอูฐยังเห็นชัดอะ อ้อ แต่ก่อนที่จะมา เคยได้ยินว่าเจ้าอูฐเนี่ยตัวเหม็นมาก แต่อาจเป็นโชคดีที่มาหน้าหนาวเพราะน้องอูฐไม่มีกลิ่นเหม็นเลยสักนิด


หลังจากเดินมาได้อีกสักชั่วโมงกว่าๆ ลุงก็หาที่จอดอูฐให้เราลงนั่งพักใต้ต้นไม้ เราดีใจมากกกกกกกกกกกกก ที่ได้ลงจากหลังอูฐเพราะตูดระบมไปหมดแล้ว



หลังจากที่ลุงปูที่นั่งให้เสร็จ ลุงก็ไปเตรียมทำอาหารกลางวันให้เรา โดยทอดข้าวเกรียบ ชงจัยและเอากล้วยให้เรานั่งกินรอไปพลางๆก่อน




ตรงนี้เป็นเขตทะเลทรายที่ยังมีต้นไม้ขึ้นประปรายเป็นพุ่มๆ และใต้ต้นไม้ที่เรานั่งอยู่นี่ เป็นต้นที่มีหนามเยอะมากๆๆๆ

เหมือนเคยเห็นต้นนี้ในสารคดีที่แนะนำวิธีเอาตัวรอดในทะเลทราย เค้าบอกว่าต้นไม้อันนี้ถ้าไปเกี่ยวโดนเสื้อผ้าละก็ กว่าจะแกะออก หรือดิ้นหลุดก็นานเลย

น่าจะจริงเพราะแค่เกี่ยวทอร์บันของพี่ต่อ ก็แกะกันอยู่ตั้งนานกว่าจะออก อ้อแล้วที่สำคัญผลไม้ของเจ้าต้นนี้ น่าจะอร่อยน่าดู เพราะเจ้าอูฐของเราทั้งสองตัวกับพวกแพะ(ของชาวบ้านที่เลี้ยงไว้ แต่มาปล่อยให้หากินในทะเลทราย)ต่างก็มะรุมมะตุ้มเจ้าต้นนี้กันใหญ่ โดยเฉพาะเจ้าแพะ ถึงกับปีนกันเลยทีเดียวเป็นภาพที่ตลกมาก55



หลังจากจบมื้ออาหารกลางวันฝีมือลุง อันประกอบด้วยจาปาตีกับแกงดอกกะหล่ำเจรสชาติกินกันตาย เราก็นอนเล่นพักผ่อนกันสักพักก่อนจะไปต่อ อ้อ ถ้าปวดห้องน้ำก็ต้องวิ่งไปกลางทุ่งหลบหลังต้นไม้กันเอาเอง เลือกทำเลได้ตามสบายเลยนะ555++++




จากนั้นเราต้องกลับไปขึ้นหลังอูฐอีกครั้ง รู้สึกอยากร้องไห้จริงๆ เพราะต้องไปทรมาน บนหลังอูฐอีกแล้ว555

ขณะที่กำลังจะเดินไปขึ้นอูฐ ปรากฎว่ารองเท้าแตะที่ซื้อเมื่อวานตัวหูคีบก็หลุดออกจากตัวรองเท้า อ้อ...มิน่าเมื่อคืนถึงมีคนมาเสนอบริการเย็บรองเท้าให้ เพราะอย่างนี้นี่เอง55

ตอนที่กลับไปอยู่บนหลังอูฐ เรารู้สึกว่า 1นาทีนี่ราวกับ 1ชั่วโมง มันนานมากๆ เพราะเริ่มไม่ไหวกะตูดแล้ว นั่งไปต้องเกรงตูดไป เพราะกลัวตูดกระแทกกับหลังอูฐ คิดดูแค่หลังอูฐโดนตูดนิดหน่อยก็เจ็บมากๆๆๆแล้วอะ

ระหว่างทางลุงก็แวะบ่อน้ำที่คล้ายๆที่พักระหว่างทางในทะเลทราย เพื่อไปดื่มและเติมน้ำไว้ใช้ จากนั้นก็เดินทางต่อผ่านสันทรายมาหลายสัน เราก็ถามว่าใช่ไหมๆ แต่ก็ยังไม่ใช่สักกะสัน

ตอนนั้นเนี่ยในใจได้แต่ภาวนาว่าสันไหนก็ได้ เหมือนๆกันนั่นแหละลุง55 ช่วยให้ลงจากหลังอูฐซะทีเหอะไม่ไหวแล้ว ทั้งเจ็บตูดและเกร็งจนจะเป็นตะคริวที่ตูดอยู่แล้ว5555++++

หลังจากทนต่อไปชั่วโมงกว่าๆ พวกเราก็มาถึงสันทรายที่เราจะพักกันสักที โอ๊ยยยยย ดีใจมากๆๆๆๆ พอลงจากหลังอูฐกันได้ ก็เดินไม่เป็นกันเลยที่เดียว


ต้องเดินกางขากันดูดสีกัน แล้วเวลานั่งก็ต้องคอยเอาแขนยันพื้นก่อนนั่งลง เพราะลงตรงๆจะเจ็บตูดมาก

หลังจากไปทำธุระหลังพุ่มไม้ ก็ถึงได้รู้ว่าตูดเป็นแผลถลอก มิน่าตูดตูถึงเจ็บมากๆ การขี่อูฐวันนี้สร้างความบอบช้ำให้ตูดเป็นอย่างยิ่ง55 ทั้งเจ็บและก็ยอกกันไปทั้งตัว ยังดีที่วิวข้างทางสวยนะ55

สันทรายนี้สวยอย่างที่เจ้าของโรงแรมบอกจริงๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นสันทรายกว้างสุดลูกหูลูกตาอย่างที่หวัง บริเวณสันทรายน่ากินพื้นที่ประมาณแค่ 2กม. ถัดไปก็ยังเป็นทะเลทรายนั่นแหละเพียงแต่มีต้นไม้ขึ้นเป็นพุ่มๆ สลับไปมาเป็นระยะๆ




อูฐของเราคุณลุงเอาเชือกมาคล้องขาหน้าไว้ทั้งสองตัว แล้วปล่อยให้ไปเดินหากินตามสะดวกตามต้นไม้ ส่วนพวกเราก็ไปถ่ายรูปกัน

ด้านลุง กำลังเตรียมอาหารเย็นให้พวกเรา อากาศทะเลทรายหน้าหนาวกลางวันแดดเปรี้ยงๆ (แต่ไม่ได้ร้อนมาก) พอตกเย็น จากอากาศอุ่นๆอยู่ดีๆกลายเป็นหนาวทันทีซะงั้น คว้าเสื้อกันหนาวแทบไม่ทัน ส่วนทรายตรงสันทรายอะ ถึงแม้จะเป็นตอนบ่ายก็ตามที แต่มันเย็นมาก เย็นเหมือนน้ำแข็งเลย แต่ถ้าเป็นหน้าร้อนคงจะไม่เย็นแบบนี้





อาหารค่ำก็แบบเดียวกับตอนกลางวันนั่นแหละ หลังจากกินอิ่มแล้ว พวกเราก็นั่งผิงไฟดื่มจัยที่ลุงชงให้

ระหว่างนั้นพี่ต่อก็คุยกะลุงไปเรื่อยๆ ลุงเล่าให้ฟังว่าลุงเกิดและโตที่ทะเลทราย ไม่เคยได้เรียนหนังสือแต่ที่พูดภาษาอังกฤษได้ เพราะรับนักท่องเที่ยวเนี่ยแหละ ลุงทำมาหลายปีแล้วอูฐที่ใช้ไม่ใช่ของลุง แต่เป็นอูฐของหมู่บ้าน ที่ให้ยืมกันใช้ เพื่อมารับนักท่องเที่ยว

หมู่บ้านลุง(ถ้าจำไม่ผิด) มี2ตัว หมู่บ้านอื่นๆก็เป็นลักษณะนี้เหมือนกัน พี่ต่อกะลุงก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งประมาณสองทุ่มพวกเราก็ขอตัวจะไปนอน ลุงก็เลยไปปูที่นอนให้

ที่นอนเป็นผ้าหนาๆ ที่ใช้ปูนั่งกินอาหารกันเมื่อตอนกลางวันนั่นแหละและ ก็มีผ้าห่มนวมหนาๆเตรียมไว้ให้อีกคนละผืน โชคดีที่เราเอาถุงนอนไปด้วยเพราะดูแล้วไม่น่าจะสะอาดพอนะ (จริงๆเราเป็นมนุษย์ถุงนอนกันทุกที่ในทริปนี้เลยตะหาก5555) อีกอย่างอากาศตอนกลางคืนหนาวมาก ขนาดใส่เสื้อหนาวหลายชั้น และตัวนอกสุดเป็นขนเป็ด นอนในถุงนอน บนที่นอนหนาๆ และห่มผ้าห่มนวม ก็ยังเย็นๆอยู่เลย

คืนนั้นก่อนนอนก็ยังอุสาห์ได้ล้างหน้าแปรงฟันนะ พยายามกันมากอะ55++ ตอนกลางคืนกลางทะเลทราย หนาวและเงียบมากๆ แต่มีดาวบนท้องฟ้าเยอะพอควร แค่ดวงเล็กไปหน่อย พวกเราแอบได้ยินเสียงดนตรีแว่วมาจากที่ไกลๆ เป็นระยะๆ จนกระทั่งหลับไปเลย






Create Date : 31 ตุลาคม 2556
Last Update : 26 กรกฎาคม 2558 2:45:27 น.
Counter : 2280 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gohachimitsu
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



New Comments