เมืองซีเบนิคและเมืองโทรกีร์ 7 พฤษภาคม 2558 (ต่อ) พวกเรานั่งรถต่อไปยังเมือเมืองซีเบนิค (SIBENIK) ระยะทาง 36 กิโลเมตร ใช้เวลา 40 นาที พวกเราลงจากรถก็เจอกับความร้อนสุดๆ เราหนีร้อนจากประเทศไทยมาเจอร้อนกว่าหรือนี่ เช็คอุณหภูมิดูประมาณ 40 องศา โอ้ย.. แทบไม่อยากเดินไปไหนเลย รถมาส่งเราตรงนี้ เมืองซีเบนิค เมืองเก่าแก่ริมฝั่งทะเลเอเดรียติก เป็นท่าเรือน้าลึก บริเวณปากแม่น้าครึกคา (KRKA) ได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมจากอิตาลี จากนั้นพวกเราก็เดินมายังบริเวณเมืองเก่า เมืองซีเบนิคได้รับการพูดถึงในประวัติศาสตร์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1066 ในแผนผังราชวงศ์ของกษัตริย์พีทาร์เครสซิเมียร์ ที่ 4 (King Petar Kresimiriv) สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 9 และ 10 โดยเจ้าชายชาวโครแเอทถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งของของโครเอเชีย (Croatia) เมืองนี้องค์การ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี1997 เราเดินมาเรื่อยๆและขึ้นไปบนสุสานเพื่อไปชมวิว บนนี้ดูน่ากลัวเหมือนกัน เราเดินไปเรื่อยๆ เพื่อหามุมถ่ายรูปสวยๆ เพราะสุสานบังวิวสวยๆหลายมุม และในที่สุดก็หามุมสวยจนเจอ จากนั้นเราเดินเล่นไปยังที่ต่อไป เดินเข้ามาในจตุรัสใกล้มหาวิหาร จากนั้นเราเดินไปยังมหาวิหารเซนต์เจมส์ (St.Jame cathedral) มหาวิหารเซนต์เจมส์ (St.Jame cathedral) หรือมหาวิหารเซนต์จาคอ (Cathedral Of St.Jacov) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมการก่อสร้างในแบบผสมระหว่างศิลปะทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ดัลเมเชีย และทัสคานี ใช้สถาปนิกในการออกแบบถึง 3 คน และมีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน โดยสร้างขี้นในปี 1431 - 1535 ด้วยโครงสร้างที่มาจากหินปูนสีขาวล้วนๆ ไม่มีวัสดุอื่นปลอมปน ภายในเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นนักบุญเจมส์หรือจาคอบตามภาษาโครแอต ซึ่งเป็น 1 ใน 12 สาวกของพระเยซู ศิลปะโกธิกและเรอเนซองส์ วิหารได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการบูรณะใหม่ให้มีรูปร่างเหมือนเดิม ประตูด้านข้าง ด้านข้างซ้ายขวาของซุ้มประตูด้านข้างวิหารมีรูปปั้นอาดัมและอีฟ St.Jame cathedral ด้านล่างลงมามีรูปปั้นสิงห์โต ภายนอกวิหารประดับประดาด้วยรูปปั้นหน้าคนจำนวน 71 หน้า ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก โดยที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นหน้าของใคร ด้วยเวลาที่จำกัดพวกเราไม่ได้เข้าไปภายในโบสถ์จึงเดินชมอาคารบริเวณรอบๆมหาวิหารดูมีเสน่ห์ สวยงาม อากาศร้อนมากๆเลย พวกเราต้องแวะซื้อน้ำอัดลมเย็นๆทานให้หายร้อนซะหน่อย พักเหนื่อยสักครู่พวกเราก็ไปชมเมืองด้านทะเลกันต่อ ภาพทะเลสวยๆก่อนลาจากเมือง จุดหมายต่อไป พวกเราไปเที่ยวเมืองโทรกีร์ (Trogir) ระยะทาง 46 กิโลเมตรใช้เวลา 1 ชั่วโมง วิวข้างทาง ที่เราผ่านเพื่อไปยังเมืองโทรกีร์ Trogir เมืองประวัติศาสตร์ชายฝั่งเอดริแอติคแห่งเขตแคว้น Split-Dalmatia County เคยถูกปกครองโดยกรีกและโรมัน ทำให้เมืองได้รับอิทธิพลทางศิลปะจากกรีกและโรมันมากมาย ได้รับการอนรุักษ์ให้เป็นเมืองเก่า ทั้งป้อมปราการจตัรุัสและกำแพงเมือง ซึ่งได้รับการยกย่อง จากยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกในปี 1997 พวกเราเข้าประตูทางทิศเหนือ เป็นช่องทางหลักสำหรับเข้าเมืองตั้งแต่สมัยเวนิสครอบครองในศตวรรษที่ 15 ประตูเมืองที่เบื้องบนประดิษฐานรูปสลัก St. John of Trogir ผู้อุปถัมภ์พิทักษ์เมือง พวกเราเดินไปที่ลานจตุรัส JOHN PAUL II Square - Trg Ivana Pavla II (ตั้งชื่อตาม Pope John Paul II) เป็นจตุรัสหลักของเมืองรองรับชาวเมืองที่ผ่านมาผ่านไปตั้งแต่สมัยกรีก และโรมัน จนถึงปัจจุบัน ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย รอบๆ จตุรัสคืออาคารโบราณสถานทรงคุณค่าได้แก่ วิหาร St. Lawrence Cathedral,ศาลากลาง, หอนาฬิกาเมือง, ศาลาประชาคม และวัง Cipiko บริเวณนี้มีผู้คนมาเที่ยวคับคั่ง มีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารและร้านกาแฟ Cathedral of St. Lawrence (Croatian: Katedrala Sv. Lovre) วิหารสร้างขึ้นบนที่เดิมแทนที่วิหารเดิมซึ่งถูกทำลายลงในช่วงศตวรรษที่ 12 เมื่อมุสลิมรุกรานในปี 1123และเวนิสบุกในปี 1171 เริ่มสร้างใหม่เมื่อปี 1213 แล้วเสร็จในศตวรรษที่ 17 วิหารสไตล์โรมาเนสค์ ในขณะที่ส่วนหลังคา vault สไตล์โกธิค ส่วนหอระฆังเริ่มงานตอนปลายศตวรรษที่ 14 กว่าจะแล้วเสร็จก็ล่วงถึงตอนปลายศตวรรษที่ 16 รูปแบบวิหารจึงเป็นสไตล์ Romanesque-Gothic ทางเข้ามหาวิหาร งดงามด้วยกรอบและบานประตูหินแกะสลัก รูปแกะสลักในส่วนโค้งจันทร์ครึ่งซีก (lunette) เป็นฉากตอนประสูติพระไครสต์ - Nativity, Journey of the Magi (การเดินทางของเมจาย โหราจารย์สามคนไปปาเลสไตน์เพื่อเข้าเฝ้าพระคริสตกุมาร) และ Adoration of the Shepherds (คนเลี้ยงแกะสักการะพระคริสตกุมาร) ด้านบนเหนือทางเข้าหอเป็นรูปสลักนูนแสดงภาพไครสต์รับศีลจุ่ม (Baptism of Christ) เหนือขึ้นไปคือพระผู้เป็นพระบิดานิรันดร์กำลังอำนวยพร ด้านในโบสถ์ มองเห็นกางเขนแขวนสองชิ้น โดดเด่น เมื่อเข้าไปในมหาวิหารจะต้องไปชม Chapel of St John ศิลปะสไตล์เรเนอซองส์ ที่กล่าวได้ว่าสวยที่สุดในแดลเมเชีย สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถานที่เก็บโลงหินโบราณบรรจุศพในช่วง 1468 ถึง 1497 โดย Nikola Firentinac หินที่ใช้ในการสลักเป็นหินปูนคุณภาพเลิศ (limestone) จากท้องถิ่นแถบนี้ บริเวณตรงกลางด้านในสุดเป็นที่ตั้งโลงหินอ่อนของ Blessed John of Trogir (Sv. Ivan Ursini ผู้อุปถัมภ์พิทักษ์เมือง) ร่างของท่านนักบุญจอห์นได้ถูกนำมาเก็บไว้ที่นี่เมื่อปี 1681 ด้านข้างซ้ายขวา เป็นรูปปั้นนักบุญในอริยาบทต่างๆ หลังจากชมวิหารแล้วก็พวกเราขึ้นชมวิวของเมืองที่หอระฆัง ค่าเข้าชม 25 คูนา หอคอยที่นี่น่าหวาดเสียวดี คนสูงอายุคงขึ้นไม่ไหวแน่ เห็นวิวแล้วหายเหนื่อยเลย...คุ้มค่ากับที่อุตสาห์ปีนขึ้นมา อีกมุมที่ดูสวย มองลงไปเห็นหอนาฬิกาและศาลาประชาคม ศาลาประชาคมในอดีตใช้เป็นที่ตัดสินผู้กระทำความผิดและลงโทษต่อหน้าสาธารณชน ปัจจุบันใช้เป็นที่นั่งพักผ่อนของนักท่องเที่ยว หอนาฬิกาเป็นส่วนที่ยังคงเหลือของโบสถ์ Saint Sebastian ที่สร้างขึ้นหลังเกิดกาฬโรคระบาดในปี 1465-66 คร่าชีวิตผู้คนไป 2,000 รายเพื่อน้อมสำนึกในกรุณาของท่านที่ได้ช่วยคุ้มภัยโรคร้าย การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 1482 พวกเราเดินมาทางด้านหลังเห็น ประตูเมืองด้านทิศใต้ สร้างขึ้นตอนปลายศตวรรษที่ 16 ตกแต่งสไตล์เรเนซองส์ บานประตูไม้ของเดิมยังคงอยู่ในสภาพดี ใกล้ๆ กันนั้นคือศาลาพัก (Loggia-doorway)สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้คนที่มาถึงหลังจากประตูเมืองปิดได้อาศัยพักค้างคืนรอประตูเปิดเช้าวันรุ่งขึ้น จะเห็นสะพานยาวข้ามไปยังเกาะ Ciovo ที่เห็นเป็นโดมไกลๆนั่นเป็นหอคอย St. Mark's Tower ซูมให้ใหญ่ขึ้นหน่อย เดินไปไม่ถึงเพราะเวลาไม่พอ ได้เวลาพอสมควรพวกเราก็เดินทางไปยังเมืองสปลิท ระยะทาง 28 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที สนามกีฬาสร้างขึ้นในปี 1979 เพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬาเมดิเตอร์เรเนียมเกมส์ ( Mediterranean Games )และหลังจากนั้นก็ใช้เป็นสนามกีฬาการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ในระดับนานาชาติ เช่น European Athletics Championships ในปี 1990 และ IAAF Continental Cup ในปี 2010 บรรจุผู้เข้าชมได้มากถึง 62,000 คน พวกเรารับประทานอาหารเย็นกันที่นี่ มื้อนี้เป็นลาชอนญ่า แต่เราไม่ชอบเลย จึงขอมักกะโรนีเปล่าราดด้วยแกงกระหรี่ที่เราเตรียมมาจากเมืองไทย....... เขาทำจานใหญ่มากทำให้รสชาดจืดไปหน่อย..แต่ก็พอทานได้บ้าง บรรยากาศหลังร้าน เป็นทะเลชวนให้น่าถ่ายรูป และเห็นสนามกีฬาอยู่ใกล้ๆ พวกเรากลับไปยังโรงแรม Atrium เมือง สปลิท ซึ่งไม่ไกลจากร้านเท่าไหร่ บริเวณใกล้โรงแรมมีห้างสรรพสินค้าใหญ่ตั้งอยู่ พวกเราไม่รอข้าเดินไปสำรวจซะหน่อย ที่นี่มีของขายมากมาย โดยเฉพาะมีไวน์ขายราคาไม่แพงเลย เราได้ของมากมาย ทั้งไวน์ ซ็อกโกแลต ชา กาแฟ...เอามาฝากเขาทั้งนั้นเลย และรีบกลับมาเตรียมตัวนอนเพื่อพรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวต่อ |