YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
ความน่า …เขกกระโหลก... ของคนทำงาน

ความน่า …เขกกระโหลก... ของคนทำงาน



กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง...
มันเป็นเสียงที่ดังอย่างแผ่วเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน อาจจะเป็นเพราะถูกเสียงดนตรีที่สปอร์ตคลับเปิดกระหน่ำแก้วหูที่แย่งพื้นที่ในอากาศไปเสียเกือบหมดก็ได้ หรือว่าจริงๆแล้วมันเป็นเสียงที่คุณดีเจเจ้าประจำเกิดนึกสนุก อยากจะมิกซ์เอาเสียงกริ่งประหลาดๆนี่เข้าให้

แต่ฟังไปฟังมา เสียงกริ่งเบาๆนั่นก็ชักจะลากยาวเกินไปแล้ว ดีเจคงไม่เพี้ยนมิกซ์เสียงประหลาดๆอย่างนี้แน่ๆ ลองหันไปมองรอบๆห้องล็อคเกอร์ ก็เห็นแต่ละคนกำลังสาละวนอยู่กับการแต่งตัว แต่งหน้า ทำผม ไม่มีใครสนใจไอ้เสียงบ้านั่นสักคน หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้ยินก็ได้ แล้วฉันจะไปสนใจมันทำไมมากมาย

แต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ก็คว้ากระเป๋าออกจากตู้ หิ้วผ้าเช็ดตัวออกไปคืนที่เคาน์เตอร์ด้านนอก โอ้! คราวนี้ชัดเจนมากมายเลยทีเดียว มันไม่ใชเสียงโทรศัพท์ แต่เป็นเสียงดังสนั่นบาดหูอย่างน่าอกสั่นขวัญแขวนเป็นที่สุด สอบถามพนักงานได้ความมาว่า วันนี้ทางตึกเขาจะมีการทดสอบสัญญาณหนีไฟ มันช่างดังกรีดหัวใจได้ดีจริงๆ กว่าจะรู้ว่าเป็นการทดสอบสัญญาณเฉยๆ ฉันก็ขวัญกระเจิงไปเสียแล้ว ฉันบอกขอบคุณแล้วก็ผละออกมา

แต่เฮ้ย! แปลว่ากริ่งในห้องล็อคเกอร์มันใช้ไม่ได้สิ เสียงที่ได้ยินเบาๆตอนอยู่ในห้องเมื่อกี้น่าจะเป็นเสียงข้างนอกที่เล็ดลอดเข้าไปมากกว่าจะเป็นเสียงที่ดังอยู่ในห้องจริงๆ แล้วอย่างนี้ถ้าคนที่กำลังอาบน้ำ หรืออบไอน้ำอยู่มันต้องไม่ได้ยินแน่ๆ อย่างเมื่อกี้ตอนที่ฉันได้ยินเสียงกริ่งเบาๆนั้น ก็มาได้ยินเอาตอนที่เดินออกจากห้องอาบน้ำมาแล้วนั่นแหละ ตอนอาบน้ำเสียงฝักบัวมันก็กลบเสียหมด ยิ่งในห้องอบไอน้ำด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง

น่ากลัวนะนี่ ฉันไม่รอช้า รีบบอกพนักงานคนที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที ฉันตะโกนแข่งกับเสียงกริ่งไปว่า “พี่คะ ในห้องล็อคเกอร์แทบจะไม่ได้ยินเสียงกริ่งเลยละค่ะ”

คำตอบที่ฉันได้รับกลับมาคือ “อ๋อ ใช่ค่ะ ด้านในจะไม่ได้ยินค่ะ น้องต้องออกมาฟังด้านนอกค่ะ ถึงจะได้ยินชัดเจน” ว่าแล้วพี่แกก็ยิ้มให้หนึ่งที แล้วก็เดินจากไป ก่อนที่ฉันจะได้บอกเขาว่า

“อ๊าววว! เวรกรรมสิค้าบ”










คอนโดที่ฉันอาศัยอยู่มันค่อนข้างจะหรูหราเลยทีเดียว ใครๆก็พากันคิดว่าที่นี่ระบบอะไรก็คงจะดีเลิศ ยามที่คอยดูแลอยู่ก็น่าจะต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่า ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่คิดอย่างนั้น

จะว่าไปยามที่นี่ก็น่ารักมาก คอยบริการอะไรให้ตลอดเวลา แม้แต่เปิดประตูรถแท็กซี่ให้ (ซึ่งมันก็เกินจำเป็นไปนิดหนึ่งนะ) ถึงแม้ว่าวันไหนที่ฉันกลับบ้านดึกๆก็จะเห็นพี่แกแอบหลับอยู่เป็นประจำก็ตามที แต่โดยรวมๆ พวกเขาก็ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เลวเลยทีเดียว

จนมาวันหนึ่ง ระบบงานรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็ปล่อยให้คนแปลกหน้าคนหนึ่งบุกขึ้นมากดกริ่งถึงประตูบ้านได้ แถมยังเป็นเวลาที่ไม่มีใครอยู่เสียด้วย นอกจากแม่บ้านทำความสะอาด พอพวกเรากลับมาถึงบ้านถึงได้รู้ว่ายามปล่อยใครก็ไม่รู้ขึ้นมาโดยที่ไม่ได้โทรมาแจ้งให้เราทราบเสียก่อนด้วย จึงไปซักไซ้ไล่เรียงเอากับยามว่าให้เขาขึ้นมาได้อย่างไร

“อ๋อ ผมไม่ได้ปล่อยเขาขึ้นไปครับ ผมเป็นคนพาเขาขึ้นไปเองแหละครับ” ยามนายนั้นบอก

“อ้าว แล้วคุณพาเขาขึ้นไปโดยไม่ถามเจ้าของบ้านเสียก่อนหรือว่าเขาคือใคร” แม่ฉันยัวะ

“ก็ เจ้าของบ้านก็ต้องรู้อยู่แล้วนี่ครับ ว่าคนที่ขึ้นไปหานั้น คุณรู้จักหรือไม่รู้จัก ทางผมจะไม่ทราบหรอกครับว่าเขาคือใคร” ยามคนเดิมพูดต่อด้วยสายตาใสซื่อบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

“แปลว่าคุณก็จะพาทุกคนที่มาหาฉันขึ้นไปถึงประตูบ้านให้ฉันดูเองอย่างนั้นสิ แล้วถ้าฉันไม่อยู่ล่ะ” แม่ถามอย่างประหลาดใจที่สุด

“เขาก็จะไม่เจอคุณนายครับ” คุณยามที่น่าสงสารยังคงยิ้มลูกกะตาใสซื่อต่อไป

“เฮ้อ...” แม่ระบายลมหายใจ ในขณะที่ฉันเริ่มแอบขำ ระคนไปกับความหวั่นใจในระบบความปลอดภัย

สงสัยต้องพูดกันยาว ฉันแอบคิดในใจ










มันเกิดกับตัวเอง เมื่อฉันไปช่วยขายหนังสือที่บูธงาน a book fair 2008 ในห้าง Central World Plaza

สิบโมงห้างเพิ่งเปิด แต่ลูกตาฉันยังไม่เปิดดี สมาธิยังไม่เต็มถัง สติยังไม่เต็มร้อย ฉันสาละวนกับการจัดกองหนังสือตรงหน้าให้ดูเรียบร้อย ปรับสภาพจิตใจให้พร้อมจะทำงาน ฉันปลุกตัวเองให้ตื่นด้วยการยิ้มทักทายต้อนรับผู้คนที่เริ่มเข้ามาเลือกดูหนังสือ

“น้องคะ” เสียงเรียกจากทางด้านหลัง “เบเกอรี่แอนด์ไอลดกี่เปอร์เซ็นต์คะ”

ฉันงงจริงๆ แล้วบอกเขาไปว่า “เอ่อ...ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

เขาหันรีหันขวางอยู่แป๊บหนึ่ง ในขณะที่ฉันยิ้มให้อย่างพนักงานขายที่มีมารยาทดี แม้ในใจจะคิดว่า นี่กูมาขายหนังสือ (เว้ย!)

เมื่อไม่เห็นพนักงานคนอื่นอยู่ใกล้ๆ เขาก็หันมาถามฉันอีกครั้งว่า “น้องช่วยเช็คให้หน่อยได้ไหมคะ”

ฉันงงอีกครั้ง คราวนี้งงมากกว่าเดิม ก่อนจะตอบออกไปว่า “อันนี้ไม่ทราบจริงๆค่ะ ร้านมันอยู่ตรงไหนยังไม่รู้เลยค่ะ”

ฉันรู้ตัวว่าได้ปล่อยทั้งเป็ดทั้งห่านออกไปเป็นฝูงก็เมื่อสายไปแล้ว คุณพี่คนเดิมมองหน้าฉันอย่าง.. เอ่อ.. อย่างบรรยายไม่ถูก ก่อนจะพูดว่า “เบเกอรี่แอนด์ไอเป็นชื่อหนังสือนะคะ”

โอ้ว อ๊ากกกก!
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ต้องเข้านอนก่อนตีสี่ให้ได้ถ้ารู้ว่าต้องทำงานตอนเช้า







ก็แหม คนทำงานก็พลาดกันได้สิ -_-"




Create Date : 11 กรกฎาคม 2551
Last Update : 11 กรกฎาคม 2551 17:49:32 น. 3 comments
Counter : 814 Pageviews.

 


โดย: coji วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:05:22 น.  

 


โดย: เพราะผมไม่มี Time Machine วันที่: 12 กรกฎาคม 2551 เวลา:1:29:09 น.  

 
ว่ออออสิงดำ


โดย: ปุ๊กกู่ IP: 58.8.184.190 วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:51:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
11 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.