YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
วันที่ 4 มิตรภาพ ณ ฤาษีเกศ






เป็นวันที่ตั้งใจจะ slow life แต่ life กลับไม่ slow ตามที่คิด

เมื่อเช้าตื่นไปฝึกโยคะอย่างมุ่งมั่น กำหนดจิตให้เปิด โล่ง ว่าง 

พนักงานขึ้นมาทำความสะอาดก็ทำไป เราแค่ไม่เกะกะใครเป็นพอ


ดีดี้ๆ เสียงเรียกแบบอินเดียดังขึ้น

แปลเป็นภาษาไทย เอ้ย ภาษาจีน ก็คือ เจ๊ๆ นั่นแหละ

แต่เวลาคนอินเดียเรียกดีดี้แล้วมันน่ารักจังเลย ชอบนะ .. เพียงแต่ว่า เรียกตอนนี้เนี่ยนะ

คือกำลังอยู่ในท่าศีรษะอาสนะ หัวปักพื้น กำหนดลมหายใจ จับเวลา 5 นาทีอยู่

หนังสือชื่อด้วยรักและชอกโกแลตที่เคยอ่านสมัยเป็นวัยรุ่นมีข้อความหนึ่งเขียนไว้ว่า

คุณมีพื้นที่ในตารางเวลาของคุณเหลือสำหรับบุคคลที่ไม่ได้นัดหมายรึเปล่า

เลยเปลี่ยนเป็นเอาขาวางบนพื้นแทนหัว แล้วดูต้นเสียงว่าเสียงใสๆ นี่เสียงใครหนอ

เป็นเด็กหญิงอินตระเดียนี่แหละค่ะอายุน่าจะราว 6-7 ขวบ

เธอลากเสื่อโยคะมาวางข้างๆ แล้วพูดว่า .. Teach me how do?

You want me to teach you how to do headstand?

คุณพ่อยืนเป็นกำลังใจให้อยู่ห่างออกไปหน่อย พูดขึ้นมา

She wants you to teach her some basic yoga.

เด็กน้อยพยักหน้าใส ซื่อ บริสุทธิ์ เอาจริงๆ คือตอนเห็นพ่อของแม่หนูนี่เราฉุนนิดหน่อยนะ

คือเป็นผู้ใหญ่แล้ว บอกให้ลูกสาวรอให้พี่สาวถอนหัวออกจากพื้นก่อนได้ไหมคะ 

แต่เห็นหน้าอิหนูนี่แล้ว เข้าใจอารมณ์โกรธไม่ลงเลยว่าเป็นยังไง

แต่ดูท่าแล้วคง headstand ไม่ไหวล่ะลูก เด็กไปนิดนะคะ ชวนเล่นสุริยนมัสการดีกว่า

เริ่มต้นด้วยการชวนคุยว่า เวลาพระอาทิตย์ขึ้นหนูทำอะไรลูก

เด็กน้อยฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง คุณพ่อช่วยแปลภาษาให้

สวดมนต์! เธอว่า แล้วก็ลงนั่งขัดสมาธิพร้อมวางมือเป็นมุทราอย่างรวดเร็ว หลับตาแล้วร่าย

โอมภูภูสวาตัดสวาเรนัมบาโกเดสวาฮีดิโยประโจตะยา

ดีนะที่เรียนมาบ้างเลยพอรู้ว่าเด็กน้อยสวดว่าอะไร

นั่นคือ Gayatri Mantra ที่คนฮินดูสวดเวลาพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง

(Om Bhuur-Bhuvah Svah Tat-Savitur-Varennyam |
Bhargo Devasya Dhiimahi Dhiyo Yo Nah Pracodayaat ||)

เมื่อสวดเสร็จเราก็ชวนเด็กน้อยลุกขึ้นยืน แล้วสวดนามพระอาทิตย์

Om Rham Mitraya Namaha (สอนคนอินเดียสวดมนต์นี่มันเขินแฮะ)

เด็กน้อยว่าตามโดยมีคุณพ่อช่วยไกด์ให้ แล้วจัดเกมส์สุริยนมัสการไป

ด้วยประสบการณ์ที่เคยสอนโยคะเด็กมา บวกกับครูพักลักจำ volunteer ที่อาศรมตอนสอนเด็กมาด้วย

นักเรียนคนเดียวของเราคงสนุกอยู่หรอก ดูเริงร่ามาก

แถมนางวิ่งไปกินข้าวแล้วย้อนกลับมาอีกรอบตอนที่เราฝึกปรานายามะพอดี

ฝึกปรานายามะมีเวลาที่ต้องกลั้นหายใจ นางก็มาดี่ดี๊ๆ ตอนกำลังบีบจมูกได้ที่อยู่พอดีเลย

เฮร่ย.. จะชวนเล่นก็ดูเวล่ำเวลาบ้างไอ้หนู พ่อแม่ก็นะ .. เฮ้อ โอเคๆ เราฝึกผิดที่เอง

คราวหลังสงสัยต้องหนีไปนั่งริมแม่น้ำคงคาบนก้อนหินสูงๆ ไม่มีใครรบกวน

เอ้า เลิกก็เลิกฝึก คราวนี้อิหนูมาชวนเล่นตบแผะปิ๊กกาจู มันคืออะรายยยย *_*

สรุปมันก็คือเกมส์ตกแผะนางเงือกน้อยของเรานั่นเอง นางตั้งใจอธิบายมาก 

อธิบายไปจนถึงเวลาเป่ายิ้งฉุบ กติกาแพ้ชนะมันเป็นยังไง

หนูน้อยตั้งท่าจะเล่นไม่เลิกจนเราต้องบอกว่าหิวข้าวแล้ว ต้องไปแล้ว พอๆ เลิกๆ


วันนี้เป็นวันแห่งการสร้างมิตรภาพหรือไร

พ้นจากเด็กน้อยมาก็มาเจอหนุ่มใหญ่มิตรภาพงามตอนกินข้าวเช้า 

ทั้งหนุ่มอินเดีย และหนุ่มอเมริกัน หนุ่มอินเดียชวนไปเที่ยวเดลี หนุ่มอเมริกันชวนคุยเรื่องขึ้นเขา

คือว่าหนุ่มอเมริกันนายนี้ ชื่อ อเล็กซ์ เคยทำงานอยู่เมืองไทย แต่ลาออกละ กลับประเทศ

(เดี๋ยวนะ คือสงสัยว่าอินเดียจะเป็นเมืองสำหรับคนตกงานไม่ก็อกหัก

เพราะคนที่เจอที่นี่ส่วนใหญ่ ถ้าไม่อกหักก็ตกงาน)

มาที่นี่แบบไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้น เขามาเดินๆๆ แต่เดินไปอีกทาง ไม่ใช่ทางที่ไปสะพาน เลยเงียบๆ

เจอนักบวขชุดส้มนั่งอยู่บนเขา เขากวักมือเรียกให้ไปนั่งด้วยกัน ไม่มีขอเงินไม่มีอะไรทั้งนั้น

พ่อหนุ่มนี้ก็ไปนั่งด้วยเป็นเวลาสามวัน คือเดินไปนั่ง แล้วก็เดินกลับมานอนที่โฮสเทล

ไม่มีการสอน ไม่มีการสื่อสารเท่าไหร่ เพราะคุยภาษากันไม่ค่อยรู้เรื่อง

แต่นักบวชคนนี้ก็มีชวนว่าวันนี้จะมีการเดินยาตราไปไหนก็ไม่รู้ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง รู้แต่เดิน 4 ชั่วโมง

แล้วหนุ่มนี้ก็รับปากว่า เออ ไป .. ไปไหนก็ไม่รู้ แต่ไป ตอนแรกเราก็ว่าจะไปแฮะ แต่นัดครู Tabla ไว้แล้ว

เลยได้แต่รอหนุ่มอเล็กซ์กลับมาเล่าให้ฟังอยู่เนี่ย


ระหว่างที่คุยกับอเล็กซ์นั้น ข้าพเจ้าก็ได้สั่งน้ำร้อนมาหนึ่งแก้ว

เมื่อพนักงานยกมาเสิร์ฟ แก้วน้ำร้อนนั้น มันควรจะใส แต่มันดูขุ่นยังไงอยู่ 

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแก้วรึเปล่า ก็น่าจะกินได้นะ ผ่านชากาแฟที่นี่มาแล้วหลายแก้ว

เลยลองชิมดู หวานค่ะ นั่นไง เคยเจอไหม สั่งน้ำร้อน ได้น้ำร้อนใส่น้ำตาลมา

ได้ความหวานเต็มเปี่ยม เลยพร้อมลุยคลาส tabla วันนี้

ครูให้ไปเรียนที่บ้านอีกแล้ว บทเรียนยากขึ้นทุกทีๆ ครูเริ่มใส่เทคนิคมาให้

เอาล่ะ ท่าจะได้ซื้อกลองกลับบ้านแน่ Tabla 6000-8000 รูปี น้ำหนัก 8 กิโลกรัม 

ค่าส่งของทางไปรษณีย์กิโลกรัมแรก 1000 รูปี กิโลต่อไป 200 รูปี 

ถ้าแบกกลับเอง น้ำหนักกระเป๋าเท่าไหร่แล้วหว่า หนังสืออีก หัวเริ่มคำนวณ ฉึกฉักๆ


เรียนเสร็จนั่งซ้อมต่อบ้านครูอีกหนึ่งชั่วโมงเต็ม ศรีภรรยาของครูเดินมาถามว่าเอาไชไหม

บอกไปว่าไม่เอา ก็เกรงใจอะ แต่ครูเดินกลับมาถามอีกรอบ ครูบอกว่า

อันนี้เป็นไชทำที่บ้านนะ กินกันเองในครอบครัวพ่อแม่ลูก มากินด้วยกันเถอะ

มีเดินกลับมาถามด้วย แปลว่าอยากให้กินจริง ซึ้งใจเลย

งั้นเอาค่ะ ขอบคุณค่ะ ครูถามว่าใส่น้ำตาลไหม เลยบอกไปว่านิดเดียวค่ะ

ผลออกมาคือ มันอร่อยมาก คือมันหอม และมันไม่ได้หวานแสบไส้ 

เป็นไชหน้า Tabla ที่เสิร์ฟพร้อมความรู้สึกใส่ใจ นี่ไง ไชอร่อยที่สุดในโลก :)




เนื่องจากวันนี้ไม่มีแพลนอะไรเลย เลยกลับมาที่ Hostel ผึ้งยังไม่กลับ 

roommate หนึ่งคนมาถามว่าสนใจจะเรียนโยคะที่ Hostel ไหม เราดูเวลา ก็ได้น่ะ

เลยลองเรียนดู เลยได้เรียนรู้ว่า การจะเป็นครูที่ดีนั้น จงมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองสอน

มั่นใจว่ามันดีแล้ว คุณถึงเลือกมันมาสอนนักเรียนของคุณ ไม่ใช่สอนไป แก้ตัวให้สิ่งที่ตัวเองสอนไป

แล้วนักเรียนก็แทบจะไม่ได้พลังงานอะไรจากคุณเลย 

เราทำในสิ่งที่ปกติไม่ทำคือ .. เดินออก .. แบบมีลีลาเล็กน้อย 

คือทำเป็นดูนาฬิกา ทำหน้ารู้สึกผิด แล้วเดินไปกระซิบบอกครูว่า

ขอโทษค่ะต้องไปแล้ว ขอบคุณมากเลย แล้วก็เดินจากไปแบบหง็องๆ


ออกมาได้ก็มุ่งหน้าไปตามทางของเรา หมายมั่นมุ่งไปยังแม่น้ำคงคา เพื่อมองพระอาทิตย์

แต่เมื่อผ่านวัดพระศิวะก็ต้องแวะเข้าไปดู เพราะวันนี้เป็นวันมหาศิวาราตรี

เสียงเพลง Nama Shivaya ดังออกมาไม่ขาดสาย เราเข้าไปสังเกตการณ์

แต่เพียงสังเกตการณ์ปากก็ร้องตามไปด้วย กายก็โยกย้ายไปตามจังหวะเพลง

มีพลังงานบางอย่างท่วมท้นจากข้างใน เออ มันแปลกดีนะ ตอนนั้นสองจิตสองใจ

เราควรปล่อยให้พลังงานที่ว่านี้ควบคุมเรา หรือเราควรมีสติควบคุมมัน

ณ จุดตรงกลาง คือการมีสติแค่ดูมันโดยไม่ต้องควบคุม ไม่ต้องตั้งชื่อให้ความรู้สึกนั้น เรายังทำไม่ได้

เราดึงตัวเรากลับมา แล้วมองไปรอบๆ เห็นมีแต่ฝรั่งเต็มไปหมด เราเริ่มสงสัย

จริงอยู่ศาสนานี้คือศาสนาสากล คนทั่วโลกนับถือมัน และตอนนี้เราอยู่ ณ ศูนย์กลางของมัน

แต่ทำไมเรารู้สึกถึงความ Westernized อย่างไรพิกล เอาเถอะๆ คิดมากไปเองมั้ง

ในขณะที่เรามองไปรอบๆ นี้เอง พลังงานที่ว่านั้นเริ่มลดระดับลง แต่ความสนุกสนานนั้นยังอยู่

เราตัดสินใจเดินออกมา เพื่อมุ่งหน้าไปตามจุดหมายเดิม คือ แม่น้ำคงคา

เมื่อเดินห่างออกมา พลังงานนั้นก็ลดลงเรื่อยๆ จนออกนอกบริเวณวัดจึงเห็นว่า

ข้างในแทบไม่มีคนอินเดียจริงๆ แต่คนอินเดียยืนถ่ายรูปอยู่ข้างนอกค่ะ

ก่อนหน้านี้ได้คุยกับศรีภรรยาของครู Narayan ครู Tabla ของเรา 

เธอบอกว่าในวันนี้เขาจะ fasting ทั้งวัน แล้วไปร่วม ceremony ตอนกลางคืน แล้ว fasting ต่อ


พอออกมาได้ เราก็เป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง มุ่งหน้าไปตามทางเดิม คือ ท่าน้ำเงียบๆ ที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

กำหนดจิตให้นิ่ง ใช้กะปาละบาติช่วยล้างใจ แล้วนั่ง


ให้นิ่ง..


ให้ว่าง..


ให้โล่ง..


เห็นแม่น้ำไหล

ฟ้าเริ่มมืด ยุงเริ่มมา

และเด็กน้อยขายกระทงก็เริ่มมาด้วย

ใจฉุนขึ้นมาหนึ่งกี้ก แบบไม่ทันรู้ตัว บอกไม่เอา เด็กน้อยอ้อนอยู่คำเดียว เราหลับตาลง เด็กน้อยบอก


บาย!


เราลืมตาขึ้น ผิดคาด ไปเร็วจัง เสียใจขึ้นมาอีกหนึ่งแก๊ก คิดอยากได้กระทงขึ้นมาซะงั้น

จะเรียกก็เรียกไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวิ่งกระโดดขึ้นเขาไปไกลแล้ว

วูบหนึ่งรู้สึกผิด แล้วนึกไปถึงคำสอนของกันดาร์เรื่องความรู้สึกของใจสี่แบบและวิธีจัดการกับมัน


1. ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น .. จัดการโดยการมองสิ่งที่เราอยากได้ หรืออยากมีนั้นอย่างเป็นมิตร มองเห็นเป็นเพื่อน เป็นสิ่งที่ชอบพอ ไปไหนด้วยกันได้ แต่ไม่เจอกันก็ไม่เป็นอะไร

2. ความทุกข์ ความเศร้า ไม่อยากได้ .. จัดการโดนการมองสิ่งที่ก่อทุกข์นั้นอย่างเมตตากรุณา อย่าโบยตี อย่าผลักไสไล่ส่ง มองอย่างกลางๆ ไม่เดือดร้อนอะไร

3. ความยินดี ยึดหลง ลำพอง กับเหตุการณ์ในอดีต .. จัดการโดยยินดีกับผู้อื่นเมื่อผู้อื่นได้ดีจากสิ่งที่เราทำ 

4. ความรู้สึกผิด เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปในอดีต .. จัดการโดยการวางเฉย มองแล้วปล่อย ไม่เก็บมาคิดต่อ


เมื่อจำข้อที่สี่ได้ เราก็วางความรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ได้ทำเมื่อสักครู่ลงทันที 

ใจนิ่งขึ้น .. หน่อยนึง


ท่าน้ำตรงนี้หันหน้าเข้าสู่ทิศตะวันตก เป็นตำแหน่งงดงามที่จะมานั่งมองพระอาทิตย์ตก 

ตรงกับบริเวณที่แม่น้ำโค้งเปลี่ยนทิศทางพอดี เรานั่งมองกระแสน้ำที่ไหลผ่าน

เนื่องจากในบริเวณนี้เป็นโค้งน้ำ จะมีกระแสน้ำเล็กๆ ที่พอชนโค้งหิวแล้วตีกลับไปทางต้นน้ำ 

สวนทางกับกระแสน้ำปริมาณมากกว่าที่ไหลลงใต้ เกิดเป็นกระแสน้ำวนเล็กๆ เป็นจุดๆ แล้วคลายออก

ตาเห็นดอกไม้ที่มีคนมาลอยบูชาเข้าไปติดอยู่ในวังน้ำวนนั้น แล้วหลุดออกมา 

ก่อนจะไปติดอยู่ที่วงน้ำวนถัดไป เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง กว่าจะหลุดไหลตามกระแสน้ำที่เข้าโค้งไปได้ 

หวนคิด แล้วอีกกี่บ่วงกรรมเล่าที่เราจะติด เข้มแข็งพอไหมที่จะผ่านมันไป 

ผ่านไปอย่างวางเฉย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน เหมือนดอกไม้ดอกนั้น

ยังมีกระทงที่ลอยบูชาบางกระทง หลุดเข้าไปติดที่น้ำวน 

พอหลุดออกมาได้กลับลอยทวนกระแสน้ำเสียอย่างนั้น

เราล่ะ จะเป็นแบบไหน ไหลขึ้น หรือไหลลง รอดพ้น หรือจบลงกับสายน้ำ

คือกระแสใจใช่ไหมที่ต้องยอมรับกระแสกรรม และวางเฉยต่อมันอย่างเข้มแข็ง

เรานั่งค่อนข้างนาน จนฟ้ามืดสนิท ยุงบินรอบตัว แต่ไม่โดนยุงกัดสักตุ่มเดียว

อะไรสักอย่างดลใจให้ก้มลงเอาหน้าผากแนบกับท่าน้ำ นิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น

พลันก้อนสะอื้นนั้นมันมาอีกแล้ว ก้อนเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนบนภูเขาเมืองทริมแบค

แม้จะก้อนเล็กกว่ามากก็ตาม พลังนั้นไหลผ่านช่วงขาที่แนบกับท่าน้ำ ไหลขึ้นมารวมกันในช่องท้อง

แล้วจุกอกออกมาเป็นแรงสะอื้น .. แปลกตรงที่ .. เมื่อเราเห็นมัน, มันหายไป

และแม้จะรอให้มันกลับมาใหม่ มันก็กลับเงียบหายไปเสียอย่างนั้น

เราเงยหน้าและลุกขึ้นยืน เพิ่งเห็นว่าข้างๆ กันมีหญิงฝรั่งนางหนึ่ง 

แก้ผ้าเกือบหมดในความมืด นางจุ่มตัวลงในน้ำคงคาเย็นเยียบ 3 ครั้ง แล้วขึ้นมาเช็ดตัวใส่เสื้อผ้า

สายน้ำสีดำ ไหลแรง เย็นเยียบ บนฝั่งไม่มีใครทั้งนั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้น .. นางช่างกล้าจริงๆ

ด้วยความเคารพ


เราลุกออกมาแล้วโทร.ชวนผึ้งกินข้าว วันนี้ยังคงกลับไปร้านเดิมอยู่ 

สั่งอาหารรอผึ้ง อาหารมาเร็วกว่าผึ้ง (ผิดคาดนะเนี่ย) ทางร้านเอากลับไปใส่เตาอบให้ จะได้ร้อนๆ

ผึ้งโผล่มาพร้อมกับเพื่อนใหม่ของหล่อนนามว่า ชูพัม Shubham ทำงานเป็นตำรวจไซเบอร์ (ประมาณนั้นน่ะ)

เขายังเป็นเด็กหนุ่มอยู่อายุเพิ่งจะ 21-22 คือมีการควักบัตรประจำตัวมาโชว์อีกตะหาก

บ้าน Shubham อยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย เลยนัดกันหลวมๆ ว่า ถ้าได้กลับมาอีกจะติดต่อไปเป็นไกด์ให้หน่อย

ใช่สิ ยังมีอีกหลายที่ที่อยากไป ถ้าเก็บตังค์ทัน 2017 มีอีกทริปแน่ ธรรมศาลา โคมุข ลาดัก ฯลฯ

ก่อนไป Shubham ถอดมาลาที่ข้อมือให้ โดยไม่อธิบายอะไร บอกแค่ให้

คือแวร่.. กลัว ฮ่าๆๆ เลยไม่ใส่ กลัวเหมือนหนังผีไทย แต่เอากลับมาด้วย วางไว้บนโต๊ะดูอาการก่อน แหะๆ


วันนี้นับว่าเป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่ง เป็นวันที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ (จากต่างเพศด้วยนะ)

ทั้ง Alex ที่เจอกันตอนเช้า 

ทั้งหนุ่มๆ ที่โผล่มาร่วมห้อง 8 เตียง กันถึง 4 เตียง กรนไม่ดัง แต่ six packs สวย

ทั้งนาย Shubham ที่โผล่มาเป็นเพื่อนกันทางไกลซะงั้น

บางทีเรารู้สึกเหมือนอินเดียเป็นสถานที่ที่คน “โยน” ชีวิตลงมา แล้วปล่อยให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น

โดยไม่คิดอะไรกับมันมาก ไม่ต้องควบคุมอะไรมาก ไม่ต้องวางแผนอะไรมาก

ปล่อยให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น แค่เพียงรักษาตัวและใจให้รอดปลอดภัยเป็นพอ

นี่สินะ อินเดีย

นี่สินะ การเดินทาง



The Beatles และชายธรรมดาคนหนึ่ง



ตึกหนึ่งระหว่างทาง



ข้างในวัดพระศิวะ



บนหลังคา, ผู้สังเกตการณ์ชาวอินเดีย



คนอินเดีย ถ่ายรูปฝรั่ง ที่สังสรรค์วัฒนธรรมของเขา



ภาพจากสะพานลักษมันจุฬา ร้านอาหารที่เห็น คือร้านที่เรากับบีไปบ่อยมาก อร่อยทุกเมนู



นั่ง .. เงียบ



ณ ท่าน้ำ ต้นไม้ต้นนี้สอนเรานะ เป็นต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นกลางเมืองฤาษีเกศ ความวุ่นวายรายล้อมรอบข้าง แต่ต้นไม้ก็ยังเป็นต้นไม้ที่สงบนิ่ง มันสอนเราให้เรารักษาความเงียบในใจไว้ให้เหมือนต้นไม้ แม้ว่าเมืองจะวุ่นวายขนาดไหนก็ตาม



ชีวิตที่ดำเนินไป



Honey Ginger Lemon



อันนี้ก็อร่อยมาก Mushroom Masala







Create Date : 08 มีนาคม 2559
Last Update : 5 กันยายน 2559 23:29:10 น. 2 comments
Counter : 1145 Pageviews.

 


...มาลงชื่อว่าตามอ่านอยู่นะคะคุณเสี้ยว... :)


โดย: Poceille IP: 171.5.247.99 วันที่: 9 มีนาคม 2559 เวลา:12:10:56 น.  

 
แล้วอีกกี่บ่วงกรรมเล่าที่เราจะติด เข้มแข็งพอไหมที่จะผ่านมันไป

ผ่านไปอย่างวางเฉย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน เหมือนดอกไม้ดอกนั้น

แหม๋ ๆ เล่นซะแฟนคลับน้ำตาซึมนะเธอ ขนาดเรา คนนั่งสมาธิมานานหลายปีพอสมควร


โดย: ลมหายใจที่เหลืออยู่ IP: 27.145.226.65 วันที่: 1 เมษายน 2559 เวลา:18:24:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
 
มีนาคม 2559
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
8 มีนาคม 2559
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.