YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
3.. ด่านแรก, เจนีวา

กว่าจะถึง..
สายการบิน Etihad พาเราไปลงที่อาบูดาบี เมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประเทศที่รวยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เพื่อเปลี่ยนเครื่องก่อนจะบินต่อไปยังเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ สิ่งแรกที่ทำเมื่อเข้าสู่สนามบินคือหาสัญญาณ WIFI เพื่อรายงานตัวสถานีที่หนึ่งกับเจ้าคุณพ่อ เมื่อเสร็จสิ้นเรียบร้อยค่อยชะเง้อคอหา Gate ที่เราจะต้องไปนั่งรอต่อเครื่อง สนามบินเขาใหญ่เอาการ แต่ก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ แค่ง่วงๆ งงๆ เพราะเพิ่งตื่น เมื่อเจอจุดหมายปลายทางก็พุ่งตรงไปยังที่หมายทันที แต่เมื่อไปถึง Gate ก็พบว่า เครื่อง Delay ไปอีก 2 ชั่วโมง รวมแล้วต้องนั่งแกร่วอยู่ที่นี่อีกเกือบ 5 ชั่วโมง วัยรุ่นไทยเซ็งเลย อย่ากระนั้นเลย หาที่นอนดีกว่า


(สนามบินแบบแขกๆ)


เลยจัดแจงเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย แปลกที่ห้องน้ำเมืองคนรวยกลับส่งกลิ่นไม่โสภาเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่ติดกับห้องละหมาดแท้ๆ ในห้องน้ำมีห้องอาบน้ำให้ด้วย เข้าใจว่าเพราะมุสลิมต้องชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนทำละหมาดละมั้ง ห้องอาบน้ำและเวลาที่เหลือบานเชิญชวนให้ลองเข้าไปใช้บริการ ผ้าเช็ดตัวไม่มีก็ไม่เป็นไร ใช้เสื้อตัวข้างในที่ใส่มาจากเมืองไทยนี่แหละเช็ดเอา เพราะยังไงๆ ไอ้ตัวนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยกันหนาวอยู่แล้ว ใส่กับไม่ใส่มีค่าเท่ากัน


(ห้องอาบน้ำ)


สดชื่น สบายใจออกจากห้องน้ำแล้วก็หาที่นอน หยิบไอโฟนขึ้นมาเล่นตามความเคยชินเพราะมี Free WIFI ให้ใช้ หลังจากคุยกับพ่อทาง What’s app พอหอมปากหอมคอ แล้วเช็คอีเมล์ ตอนนี้เช็คแทบจะทุกเวลาที่เข้าอินเตอร์เน็ตได้ และแล้ว เราก็ได้พบกับสิ่งที่เรารอคอย

invitation!!!!

invitation มันมาแล้ว ไม่ใช่หนึ่งอัน แต่เป็นสองอัน เป็นคำเชิญให้เข้าร่วมการออดิชั่น แปลว่าเราผ่านรอบแรกแล้ว ดีใจมากๆ เลย อันหนึ่งเป็น invitation จากลักเซมเบิร์กให้เข้าร่วมออดิชั่นในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า และให้เราตอบรับยืนยันว่าจะไปหรือไม่ไป เป็น invitation อันแรกในชีวิตที่เคยได้รับจากยุโรป

ส่วนอีกอัน ตามกันมาติดๆ เป็น invitation จาก Emico Greco | PC company ให้เข้าร่วมการออดิชั่นในสัปดาห์หน้า ซึ่งอันนี้ดีใจสุดๆ เลย เพราะ Emico Greco | PC company เป็นคณะใหญ่ของอัมสเตอร์ดัมที่เป็นที่รู้จักกันดี ไม่ใช่คอมพานีเล็กๆ กระจอกๆ แล้วจะไม่ให้เราดีใจอย่างไรไหว  

จริงๆ แล้วเราแทบจะหมดหวังว่าจะได้ invitation ไปแล้ว เพราะเลยวันประกาศผลมาแล้วตั้งสองวัน และเคยลองส่งไปหลายที่แล้วไม่เคยผ่านเลย เพราะว่า Profile เราไม่ได้สวยหรู ไม่ได้เข้าโรงเรียนเต้นอะไรที่เขารู้จักเลย เกิดเป็นคนไทยโชคร้ายตรงนี้แหละ เมื่อไม่มีใบเบิกทาง ก็ต้องเอาความสามารถเข้าสู้ล้วนๆ แต่ในเมื่อไม่เคยได้แม้แต่โอกาสจะไปเต้นให้เขาดู จะไปสู้เขาด้วยอะไร การได้รับ invitation สองอันนี้เราเลยดีใจสุดตัวเลย

แต่ยังไงก็ขอมีฟอร์มไว้นิดหนึ่งดีกว่า ขอยังไม่ confirm กลับตอนนี้ กลัวเสียฟอร์มถ้าตอบกลับทันที เดี๋ยวเขารู้ว่าเรานั่งเช็คอีเมล์ทั้งวัน (ฮ่าๆ) ตอนนี้ขอแพลนเส้นทาง และวันเวลาการเดินทางก่อนดีกว่า

ตามแพลนเดิม เราจะไปเวิร์คชอปที่เบอร์ลิน เป็นเวิร์คชอปเกี่ยวกับการเอาพื้นฐานเทคนิคศิลปะป้องกันตัวมาปรับใช้ในงานคอนเทมโพรารี่แดนซ์ ซึ่งเราอ่านแล้วเราสนใจมาก แล้วหลังจากนั้นก็ตั้งใจจะอยู่เบอร์ลินต่อสัก 8 วันเพื่อเข้าคลาสบัลเล่ต์และคอนเทมโพรารี่ที่สตูดิโอแห่งหนึ่งที่เพื่อนนักเต้นชาวเบอร์ลินที่เจอกันที่สิงคโปร์แนะนำมาว่าเป็นสตูดิโอที่ดีที่สุดในเบอร์ลิน (ฟังแล้วหลายประเทศจัง ฮ่าๆ) แล้วหลังจากนั้นจะกลับไปที่เจนีวา เพื่อเข้าคอมพานีคลาสกับคณะ Compagnie  7273 ซึ่งเป็นคณะเต้นอีกคณะในเจนีวา และกับคณะ Grande Theater de Geneve ซึ่งเป็นคณะใหญ่ที่รุ่นพี่เราทำงานอยู่ แล้วหลังจากนั้นแฟนรุ่นพี่ก็จะหาเวลาขับรถพาเราไปเยอรมนีเพื่อหาที่เข้าคลาส หรือออดิชั่น

แต่เมื่อมีออดิชั่นแทรกเข้ามาอย่างนี้แล้ว ก็ต้องเปลี่ยนแพลนด้วยการลดเวลาที่จะอยู่เบอร์ลินให้สั้นลง แล้วไปแวะที่อัมสเตอร์ดัมก่อน แล้วต่อด้วยลักเซมเบิร์ก ก่อนจะบึ่งกลับเจนีวาเพื่อไปเข้าคอมพานีคลาสให้ทันตามแพลนเดิม เพราะการจะเข้าไปเต้นในชั้นเรียนของคณะต่างๆ นั้น ไม่ใช่ว่าจะดุ่มๆ เข้าไปได้ แต่เราจะต้องทำการขออนุญาตและนัดหมายก่อนล่วงหน้า หลายๆ ที่จะขอดู CV, รูป, วิดีโอเราก่อนว่าเราเป็นใครมาจากไหน และถ้าเกิดโชคดีไดเร็คเตอร์เกิดเดินมาดูคลาสแล้วเกิดชอบเราขึ้นมา เมื่อเขาเปิดรับคนใหม่ เขาก็จะชวนเราไปออดิชั่นด้วย การเข้าคอมพานีคลาสจึงนับว่าเป็นการเสี่ยงโชคที่ควรจะต้องให้ความสำคัญไม่น้อย

แต่พอนั่งหาตั๋วเครื่องบินและรถไฟด้วยไอโฟนเพื่อเทียบว่าอะไรถูกกว่า ก็ขอถอดใจ เพราะดูแล้วงงมาก หน้าจอก็เล็กได้ใจ แล้วเราก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับระบบวิธีการซื้อตั๋วของที่ยุโรปด้วย อีกอย่างแบตโทรศัพท์ก็จะหมด เก็บแบตไว้เผื่อต้องใช้ตอนไปถึงเจนีวาดีกว่า เรื่องนี้ไว้ก่อนท่าจะดี ยังมีเวลาจัดการแผนการเดินทางอีก 3-4 วัน ตอนนี้ของีบเอาแรงดีกว่า

จริงๆ ก็เอาที่ชาร์จแบตติดมาด้วยนะ แต่ปรากฎว่าหัวแบบยุโรปเสียบกับที่อาบูดาบีไม่ได้ เซ็งอีกเป็นคำรบที่ 2 ถ้ารู้อย่างนี้เมื่อกี้ชาร์จในเครื่องดีกว่า ไม่รู้เครื่องบินสายการบินอื่นมีที่ชาร์จแบตให้รึเปล่า เพราะเราก็ไม่ได้บินไปไหนไกลๆ เครื่องหรูๆ บ่อยๆ แต่ของ Etihad นี่มีทั้งสาย USB ที่เสียบปลั๊ก ที่เสียบสายโทรศัพท์ แล้วก็สายที่หัวมันกลมๆ แล้วมีรูๆ น่ะ (นึกออกมั้ย แหะๆ) ครบครันบิสซิเนสแมนสุดๆ

พูดถึงเรื่องบินหรูๆ นี่ จะว่าไป Etihad นี่ก็ไม่ได้หรูหรอกนะ ก็สายการบินธรรมดานี่แหละ แต่ตัวเราเองนี่แหละที่โหลยโท่ย เนื่องจากบินไปไหนมาไหนด้วยสายการบิน low cost ตลอดเวลา มาเจอสายการบิน full cost เสิร์ฟอาหารทีตกใจมาก ทำไมมันหรูหราขนาดนี้ ถึงกับต้องเก็บเมนูมาใส่ไดอารี่เลย (แฮ่.. เขิน)

ผ้าห่มจาก Etihad ก็เป็นอะไรที่อุ่นมาก ช่วยชีวิตสุดๆ หยิบติดมือลงมาด้วย ปกติไม่เคยหยิบนะ (ก็ปกติไม่เคยขึ้นนี่หว่า) แต่เห็นคนอื่นเขาหยิบใส่กระเป๋ากันเกือบทุกคนเลย เราเลยหยิบบ้าง ม้วนเป็นก้อนเล็กๆ ยัดใส่กระเป๋าแน่นเอี้ยดพอดี แต่ก็ต้องแลกกับแว่นกันแดดอันโปรดของเราที่ซื้อจากสิงคโปร์ ที่ถูกเบียดจนหัก ก็งี่เง่าเองไม่ยอมเอากล่องใส่แว่นไปเองนี่นา นับได้ว่าเป็นเรื่องเซ็งเรื่องที่สาม แต่อย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราต้องหาบทเรียนจากมันให้ได้ .. แว่นหักสอนอะไรเราล่ะ เดาว่ามันน่าจะเตือนเราให้รู้ถึงภัยของการปฏิบัติตนเป็นลูกอิช่างยัดละมั้ง ต้องหัดเก็บของให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้แล้ว

แต่การนอนที่สนามบินใครว่าสบาย สนามบินอาบูดาบีหนาวยิ่งกว่าหนาว ทั้งๆ ที่อากาศข้างนอกอยู่ที่ประมาณ 18 องศาน่าจะกำลังสบาย แต่ข้างในหนาวซะจนไอ้เรานึกว่าหิมะกำลังตก ความหนาวจากแอร์นี่มันช่างทรมาน หลับๆ ตื่นๆ อยู่อย่างนั้นเอง พอได้ยินเสียงประกาศว่าให้ท่านผู้โดยสารเตรียม boarding pass โอ้โห ดีใจแทบกระโดด พอขึ้นเครื่องได้ มองหาปลั๊กเสียบชาร์จแบตก่อนเลย แต่เครื่องนี้ดันไม่มี โธ่ นึกว่าจะมีทุกเครื่อง นอนก็ได้ คราวนี้หลับแบบสุขสมมาก นอนบนเครื่องบินไม่ใช่สบายหรอก แต่เพราะนอนที่สนามบินทรมานกว่านั่นเอง การนอนบนเครื่องเลยเป็นเรื่องสบายไปเลย เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าใครอยากนอนบนเครื่องบินให้สบาย ให้ทรมานตัวเองด้วยการไปนอนบนพื้นสนามบินก่อนขึ้นเครื่องสัก 6 ชั่วโมง (ตึง!!!)

ลืมตามาอีกทีตอนแอร์เสิร์ฟอาหารเช้า จิ้มหน้าจอดูเส้นทางบินก็พบว่าเหลืออีกราวๆ สองชั่วโมงก็จะถึงที่หมายแล้ว ไชโย! ค่ำคืนที่ทรมานกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว กินข้าวเสร็จยังลุกไปไหนไม่ได้เพราะแอร์ไม่มาเก็บถาด เลยเปิดหน้าต่างออกดูเพราะไม่มีอะไรทำ ฟ้าสว่างแล้ว และสวยมากด้วย เกล็ดน้ำแข็งเกาะกระจกสะท้อนแดดสวยมาก ก้อนเมฆเหมือนไอติม และพอโดนแสงสะท้อนก็เหมือนกับไอติมเทวดา ถ้าเทวดาจะกินไอติมนะ มนุษย์เดินดินอย่างเรานั่งลอยฟ้าจิบกาแฟ ฟังเพลง JS Bach ที่มีอยู่ใน Playlist บนเครื่อง แล้วนั่งมองก้อนเมฆ สุขมาก ณ จุดนั้นไม่คิดอะไรเลย เออเนอะ เวลาไม่คิดอะไรเลยนี่มันสุขดีแท้ เพลินจนแอร์มาเก็บถาดไปตอนไหนไม่รู้ อิชั้นเข้าฌาณนิ่งไปซะละ


(เกล็ดน้ำแข็ง ใครว่าธรรมดา เราว่าสวย)


(ก้อนเมฆ)


(ไอติมเทวดา)


รู้ตัวอีกที คือตอนที่กัปตันประกาศจะนำเครื่องลงจอดที่สนามบิน Cointrin เจนีวา อากาศภาคพื้นดิน -3 องศา เครื่องบินเริ่มร่อนลงต่ำ พาเราจมกองเมฆไอติมลงไปช้าๆ ปีกเครื่องฝั่งที่เรานั่งยกสูงขึ้น เมื่อเครื่องเอียงลำเพื่อร่อนลง รูปนกบนปีกเครื่องจึงเหมือนบินสูง เหมือนจะบอกว่าเรามาไกลแล้วนะ ไกลออกจากประเทศไทย ไกลออกมาจากสิงคโปร์ ไกลออกมาจากชีวิตแบบเดิมๆ แล้ว และถ้าเราจะต้องกลับไปอีกครั้ง เราเชื่อมั่น.. การเดินทางครั้งนี้จะทำให้เรามองภาพเดิมๆ ไม่เหมือนเดิม และแม้สิ่งรอบข้างจะคงเดิม แต่เราจะใช้ชีวิตอยู่กับมันด้วยความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป ตัวเราจะเปลี่ยนแปลง

..เราเชื่อ

ผ่านหมู่เมฆลงไป ภาพของยุโรปก็ปรากฏแก่สายตา คำแรกที่บอกตัวเอง ..เวรแล้วกู ขาวไปหมดซะขนาดนี้.. แต่ได้แต่เก็บอาการ เพราะไม่อยากให้ฝรั่งที่นั่งข้างๆ คิดว่าเราเป็นกระเหรี่ยงตื่นหิมะ เลยนั่งนิ่งๆ จนกระทั่งคุณฝรั่งเธอชะโงกหน้ามาดูแล้วอุทาน

โอ้มายก้อด! ทำไมหิมะลงหนักขนาดนี้!?!

แล้วหันหน้ามาหาเราเป็นเชิงขอความเห็น ถึงตอนนี้กระเหรี่ยงสาวผู้เก็บอาการตื่นเต้นไว้เลยแสดงอาการไม่ออก อ้าว หิมะแบบนี้นี่ต้องตื่นเต้นเหรอ โธ่ นึกว่าจะทำเนียนๆ ดันทำเนียนผิดจังหวะ มันเลยกลายเป็นไม่เนียนจนได้ ซึ่งเราก็เพิ่งมารู้เอาภายหลังว่า วันนั้นหิมะลงหนักมากผิดปกติ และเราโชคดีมากที่เที่ยวบินของเรามาถึงตอนเช้า เพราะหลังจากเที่ยวบินของเราแล้ว เที่ยวบินอื่นไม่สามารถลงได้เลย ต้องไปลงที่อื่นแทน ส่วนเที่ยวบินขาออกก็ออกไม่ได้เช่นเดียวกัน

เครื่องหยุดสนิท เราควักเสื้อขนเป็ดที่ม้วนๆ ใส่เป้มาสวม แล้วเดินตามฝูงผู้โดยสารเข้าสู่สนามบิน พอเข้าไปแล้วจะแยกเป็นสองทาง คือ แถวพาสปอร์ตยุโรปและพาสปอร์ตต่างประเทศ เรายืนเข้าคิวใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวเขาไม่ให้เข้าเมือง เอกสารการจองที่พักทั้งจริงและหลอกที่เอาไว้ผ่านต.ม.เผื่อโดนถามโดยเฉพาะ เตรียมพร้อมอยู่ในเป้ เขียนเป็นภาษาไทยแปะไว้บนแฟ้มด้วยกันตัวเองสับสน สนามบินเขาไม่ใหญ่ มีไม่กี่เคาน์เตอร์ และคิวก็ดูยาว แต่กระนั้นก็รอไม่นานอย่างที่คิด พอถึงคิวเราก็ทำใจดีสู้เสือ ส่งยิ้มสยามทักทาย บ่องชู้ ไปก่อน (ที่เจนีวาเขาพูดฝรั่งเศสจ้ะ) แล้วยื่นพาสปอร์ตให้เขาตรวจ เขาถามเราว่าเรามี swiss residency รึเปล่า เราก็เข้าใจผิดอีก คิดว่าเขาถามว่าเรามีที่อยู่ในเจนีวามั้ย เลยตอบ yes ไป ชีเลยจะขอดูใบ work permit หรืออะไรสักอย่างที่ยืนยันว่าเรามีสิทธิอยู่ได้ในสวิส เราเลย เอ้ย ไม่ใช่ no no no.. ชีเลิกคิ้วนิดนึงแล้วพลิกพาสปอร์ตหาเชงเก้นวีซ่า พอเจอแล้วก็ประทับวันที่ชวบ ส่งพาสปอร์ตคืนให้เรายิ้มๆ แล้วบอก Have a nice stay เสร็จ! ไม่ถึงสามนาที เอ่อ.. ใครนะ ขู่กันจังว่าเข้ายากมาก เพราะถ้าเขาเห็นเป็นผู้หญิงคนเดียวเดินทางตั้ง 38 วัน เขาจะไม่ให้เข้า เขาจะให้เธอไปนั่งที่ห้องกักกันตัวแล้วสัมภาษณ์ ถ้าเขาไม่ไว้ใจเธอ เขาก็ส่งเธอกลับ บลาๆๆๆ

ปั๊ดโถ่!

โปรแกรมวันนี้สบายๆ พักที่โรงแรมแถวๆ สนามบินชื่อ Phoenix Hotel คืนละ 120 ยูโร (แพงที่สุดแล้วในทริปนี้ แต่เอาน่ะ ยังเป็นวันแรก ขอซื้อความสะดวกดีกว่า) มีรถมารับที่สนามบินราวกับเป็นเจ้าหญิง แถมที่โรงแรมยังมีตั๋วรถเมล์ให้ใช้ไปไหนมาไหนได้เป็นเวลา 24 ชั่วโมง แต่ต้องอยู่ภายในเขต 10 เท่านั้น ไอ้เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขต 10 อะไรนั่นมันครอบคลุมถึงไหนบ้าง และก็ไม่ได้สนใจจะถามด้วย เพราะไม่ได้คิดจะเที่ยวที่ไหนอยู่แล้ว คงถามแค่ว่าไอ้ Grande Theatre de Geneve เนี่ยมันอยู่ในเขต 10 ด้วยรึเปล่า เพราะเดี๋ยวนอนสักตื่นหนึ่งแล้วก็จะออกไปหารุ่นพี่ที่ที่ทำงานเขา

แต่เอาเข้าจริงนอนไม่หลับ เพราะความตื่นเต้นมีมากกว่า เลยลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่า จัดการยกเลิกการจองโรงแรมที่จองหลอกๆ ทั้งหมดก่อนที่จะลืม แล้วแต่งตัวออกไปข้างนอก มีรถเมล์เพียงสายเดียวเท่านั้นที่ผ่านถนนตรงนั้น ตอนยืนรอรถเมล์มีคุณน้าคนหนึ่งเดินมาที่เครื่องขายตั๋ว ที่เจนีวา ผู้โดยสารต้องซื้อตั๋วและพกติดตัวไว้ตลอดเวลาที่นั่งรถเมล์หรือรถไฟ เป็นระบบเชื่อใจนั่นเอง และเท่าที่อยู่มาก็ไม่เคยพนักงานขึ้นมาตรวจตั๋วเลยสักครั้งเดียว กลับมาที่คุณน้าคนนี้ เธอดูจะมีปัญหากับเครื่องขายตั๋ว เหมือนหยอดเหรียญแล้วเครื่องไม่รับ คล้ายๆ กับ BTS ที่ไม่ยอมรับเหรียญห้ารุ่นใหม่ คนกรุงเทพฯ คงชินกับเหตุการณ์แบบนี้แล้ว แต่คุณน้าคนนี้เธอดูงงงวยมากว่า โอ้วมายก้อดดดด มันเป็นไปได้อย่างไร??? เธอเงยหน้างงๆ ขึ้นมาหากะเหรี่ยงสาวที่กำลังยืนหดคอเป็นเต่าให้หายลงไปในเสื้อด้วยความหนาวเหน็บ แล้วส่งภาษาฝรั่งเศสด้วย เหมือนกับจะบ่นๆ หาเพื่อนคุย ไอ้เราก็ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องไปบอกเธอว่าเราหาได้ฟังรู้เรื่องแม้สักคำไม่ แค่หัวเราะๆ ไปกับเธอ เธอก็พอใจแล้ว

รอไม่นานเท่าไหร่รถเมล์ก็มา ระหว่างทางก็สังเกตบ้านเมืองเขา ป้ายอะไรต่างๆ มันเป็นภาษาฝรั่งเศสล้วนเลยค้าบท่าน แย่แน่แล้วเอ็ง.. ได้แต่พร่ำบอกตัวเองขำๆ พอถึงป้าย Belair กลางสะพานก็ลงจากรถเพื่อมาเดินหลงทางอยู่ในเมือง หนาวก็หนาว หลงทางกลางหิมะตกนี่ไม่สนุกเลย ฉับพลัน! ป้ายคุ้นตาปรากฏให้เห็น ไม่ลังเลรีบพุ่งไปหาทันที ..Starbucks Coffee.. นี่แหละสิ่งที่อธิบายความจำเป็นของการสร้างแบรนด์ให้ติดตลาด มันคือความอุ่นใจ โดยเฉพาะในวันที่พลัดมาอยู่ในถิ่นที่ไม่รู้จักอะไรเลย สั่งอะไรกินก็ไม่เป็น แบรนด์ที่คุ้นตา รสชาติที่คุ้นลิ้น เมนูที่คุ้นเคย ย่อมจะเป็นตัวเลือกที่มาก่อนอยู่แล้ว


(comment cava? เหมือนมันจะถามเนอะ
มองออกจาก Starbucks ออกไปเจอมอเตอร์ไซค์ยิ้มให้ แปลก ไม่มีใครเห็น)


แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เพราะมันเป็น Starbucks ที่คนเยอะที่สุดในโลก เพราะตรงกับวันเสาร์ แล้วข้างนอกก็หิมะตก ใครๆ ก็อยากที่อุ่นๆ หลบทั้งนั้น คิวก็ยาว พอมาถึงคิวเราก็ต้องรีบๆ สั่งอีก เพราะเกรงใจคนข้างหลัง กาแฟสั่งได้ไม่มีปัญหา แต่ขนมนี่สิ เอานิ้วจิ้มไปว่าจะเอาอันนี้ คนขายถามกลับเสียงตวัดสูง (เพราะมันเป็นคำถามไง) ไม่รู้เรื่องง่า.. ก็เลยพยักหน้าไปงั้นๆ สรุปได้อะไรมากินก็ไม่รู้ หมดไปสามร้อยกว่าบาท เฮ้อ.. ชีวิต ควรจะเรียนภาษาฝรั่งเศสมาบ้าง จริงๆ ก็เรียนมานิดๆ หน่อยๆ แหละ แต่ใช้งานไม่ได้เลย โธ่!

ไม่รู้มีใครเคยไปสั่ง Starbucks เมืองนอกกินรึเปล่า ถ้วยใหญ่เขาใหญ่ยักษ์มากๆ เราไม่ได้สั่งหรอก แต่หันไปดูฝรั่งโต๊ะข้างๆ เห็นแล้วนึกว่ามันซดกาแฟจากโอ่ง Starbucks ที่เจนีวานี่มี wifi ให้ใช้ แต่ไม่มีปลั๊กให้เสียบ ดีนะชาร์จมาเต็ม 100% ส่งข้อความหารุ่นพี่ทาง facebook บอกพิกัดว่าเราอยู่ตรงไหน เป็นอันว่ารอไปอีก 3 ชั่วโมงกว่าพี่เขาจะมาหา ไอ้เราก็นั่งดูนู่นนั่นนี่ หลับๆ ตื่นๆ สัปหงกโงกๆ เล่นเน็ตบ้างอะไรบ้าง

จนในที่สุดพี่เขากับแฟนก็โผล่มาพร้อมกับเจ้าไมโล ..ชิวาว่าตัวน้อย เอาหมาเข้า Starbucks ได้ด้วย เลิศ! เราเอากาละแมซื้อจากพารากอนมาฝากแฟนพี่เขา เพราะเขาบอกอยากกินขนมจาก (โคตรไม่เกี่ยวเลย) แต่เราจนปัญญาจะหิ้วขนมจากขึ้นเครื่องบินมาฝากคุณพี่เขาได้ เลยพยายามจะคิดย่อยแยกส่วนลงมา ขนมจากทำจากมะพร้าว เวลากินแล้วจะรู้ซึ้งถึงกะทิใช่มั้ย งั้นเราต้องอะไรที่ทำจากมะพร้าวและหอมกะทิ แต่เพราะรุ่นพี่เราเพิ่งจะแอบกระซิบบอกเราแค่วันเดียวก่อนเดินทาง เลยไม่รู้จะหาที่ไหน เดินเข้าพารากอนเลยแล้วกัน ใกล้ๆ บ้าน เลยได้ขนมกาละแมห่อนี้มา

พอควักขึ้นมาวางหราบนโต๊ะเท่านั้นแหละ คุณพี่เธอตาโต .. ใช่, อันนี้เลยแหละ .. อ้าวพี่ อันนี้เขาเรียกกาละแมพี่ โธ่! ดีนะเนี่ย ที่เราไม่ถ่อไปถึงตลาดหนองมนต์เพื่อหาซื้อขนมจากให้พี่เขาเนี่ย

คืนนั้นพี่เขาเลยเลี้ยงตอบแทนกาละแมเราด้วยไก่.. ใช่ ไก่จริงๆ ไก่ทั้งตัวเลย โอ้ กินกันจริงจังมากๆ เลย เสิร์ฟพร้อมสลัดและเฟรนช์ฟรายด์ คือจริงๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรกินบ้าง รู้จักแค่ poulet ที่มันแปลว่าไก่ คือร้านนี้ขายแต่ไก่ เจ้าไมโลก็ถูกหนีบเข้าไปในร้านด้วย นั่งหน้าสลอนจ๋อนรอเรากินไก่ เป็นหมาที่มารยาทดีจริงๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ของที่นี่ ดีจังเลย คงเพราะเราชอบหมาชอบแมวอยู่แล้ว ถ้าคนไม่ชอบหมามาอยู่ยุโรปคงมีปัญหาน่าดู เพราะประดาสี่ขาต่างพากันร่อนไปทั่วเมืองกับเจ้าของ

“รับไวน์อะไรดีคะ” พนักงานหันมาถามเราเป็นภาษาอังกฤษ ไอ้เราได้แต่ทำหน้างงๆ ต้องกินไวน์ด้วยเหรอ ไม่กินได้มั้ยเนี่ย ไม่ถนัด ชีวิตนี้รู้จักแต่ไวน์ขาวกะไวน์แดง แต่แยกย่อยลงไปกว่านั้นอีกก็ไม่รู้แล้วล่ะ ขอเป็นน้ำเปล่าธรรมดานี่แหละดีแล้ว

“เอาแบบอัดก๊าซไหมคะ“ น้ำเปล่าอัดก๊าซคืออะไรอีกล่ะ งงค่ะ คราวนี้รุ่นพี่หันมาช่วย “เอวิยอง ซีวูเปล” แล้วหันมาบอกเรา คนที่นี่จะชอบดื่มน้ำอัดก๊าซเหมือนกินโซดาบ้านเราแต่บ้านเราไม่กินกัน เขาเลยสั่งเอเวียงไอ้น้ำแร่หน้าเด็กแพงเท่าทองคำอะไรนั่นให้ แฟนเขาหัวเราะแล้วบอก ไว้เราไปพักบ้านเขาเมื่อไหร่นะ จะได้ดื่มเอเวียงฟรีทุกวันเลย เพราะว่าบ้านเขาอยู่ริมเทือกเขามองต์บลังก์ น้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกมันก็น้ำจากมองก์บลังต์นั่นแล

ดีที่มื้อเย็นนั้นใหญ่โตมโหฬาร ทำให้อิ่มต่อเนื่องมาจนถึงตอนเช้า ที่จำเป็นต้องใช้พลังงานในการฝ่าด่านผู้คนที่สนามบินเพื่อขึ้นเครื่องจากเจนีวาไปเบอร์ลิน คือพนักงานโรงแรมที่ไปส่งเรายังตกใจ เพราะคนเยอะมากๆ จนนึกว่าอพยพหนีเอเลี่ยนบุกเจนีวา เหตุสืบเนื่องจากที่เมื่อวานนี้หิมะลงหนักมาก ทำให้มีผู้โดยสารตกค้างจำนวนมาก โดยเฉพาะติดช่วงสุดสัปดาห์ด้วยที่ฝรั่งพากันนั่งเครื่องบินมาเล่นสกีกันที่สวิส สายการบินราคาถูกในยุโรปที่เป็นที่นิยมที่สุดก็คือ easy jet แต่คราวนี้โชคดีที่เช็คแล้วสายการบิน lufthansa ถูกกว่าอีก เว็บไซต์ที่มีไว้เช็คราคาและจองก็คือ //www.edreams.com ซึ่งจะรวมราคาทุกสายการบิน ตั้งแต่ยี่สิบกว่ายูโรไปถึงหลายร้อย ถ้าโชคดีก็อาจจะได้เจออะไรฟลุกๆ แบบนี้


(มื้อเช้าหน้าโรงแรม สั่งด้วยภาษาแบ๊ะๆ)


(แอร์พอร์ตคนล้นหลาม)


วิธีเช็คอินของที่นี่ก็แสนง่าย และจะสบายสุดๆ ถ้าคนไม่มโหฬารขนาดนี้ ตู้เช็คอินออนไลน์เรียงรายให้เลือกใช้บริการได้แทบจะทุกสายการบิน พิมพ์ตั๋วออกมา แล้วก็แค่เอากระเป๋าไปเช็คอินเท่านั้น จริงๆ เมืองไทยก็มี แต่ของที่นี่เขาง่ายดายสุดๆ อาจจะเพราะมีมานานแล้ว แต่นี่ไปเสียเวลาตอนจะผ่าน security check เข้าไปข้างในนั่นแหละ เข้าคิวอยู่เป็นชั่วโมงกว่าจะถึง ที่ทรมานยวดยิ่งยิ่งยวดก็คือ เสื้อกันหนาว ฮีทเตอร์ และผู้คนอันหนาแน่น กว่าจะหลุดเข้าไปได้นี่เล่นเอาแทบจะเป็นลมกันเลยทีเดียว 

ที่สนามบิน Cointrin มี free wifi ให้ใช้ทีละ 1 ชั่วโมง ต้องลงทะเบียนด้วยเบอร์โทรศัพท์ เพราะเขาจะส่ง code เข้าระบบมาให้ทาง SMS ก็ยอมเสียค่าโรมมิ่งนึดหน่อย แล้วก็เล่นอินเตอร์เน็ตได้ฟรีหนึ่งชั่วโมง แต่จะขอกี่ครั้งก็ได้ เราจัดการ search หาภาษาเยอรมันเบื้องต้นเพื่อเอาชีวิตรอด เตรียมตัวไว้หน่อยก็ดี

ไม่นานพนักงานก็เรียกขึ้นเครื่อง 
เอาเป็นว่าหมดเวลาพักแล้วนะ แล้วเจอกันที่เบอร์ลิน
พร้อมแล้วสำหรับเวิร์คชอป และคลาส
ต่อจากวันนี้จะมีแต่คำว่าลุย

เจอกัน!!!




Create Date : 02 มีนาคม 2556
Last Update : 2 มีนาคม 2556 22:53:36 น. 4 comments
Counter : 1669 Pageviews.

 
อ่านเพลินเหมือนเดิมค่ะ

ปล ถ้ามาอิตาลีละกัน สตาร์บักไม่มีน้า เข้าบาร์กาแฟปกตินี่แหละ เผื่อเจอบาริสต้าหนุ่มหล่อเข้มๆ


โดย: settembre วันที่: 3 มีนาคม 2556 เวลา:1:41:23 น.  

 
รูปภูเขารูปนั้น
สะกดความรู้สึกมากจริงๆครับน้องเสี้ยว



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 มีนาคม 2556 เวลา:8:31:10 น.  

 
ต่อเลยๆ


โดย: ฝ้าย IP: 58.11.96.35 วันที่: 3 มีนาคม 2556 เวลา:10:45:18 น.  

 
สนุกมาก


โดย: ks IP: 58.64.63.229 วันที่: 3 มีนาคม 2556 เวลา:22:34:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
2 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.