คืออะไรหนอ... ความทุกข์

คืออะไรหนอ... ความทุกข์


ในชีวิตคนเราต้องพบเจอกับเรื่องราวต่างๆมากมาย บางเหตุการณ์ได้สร้างความสุขไม่รู้ลืมแต่บางเหตุการณ์ก็สร้างบาดแผลแห่งความทุกข์ในใจ เคยคิดกันดูไหมว่าทำไมเราจึงรู้สึกเช่นนั้น

ความรู้สึกสุขและทุกข์นั้น เกิดจากการปรุงแต่งจิตใจของเรา โดยความสุขเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นไปตามความคาดหวังหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “สมหวังดังใจหมาย”ส่วนความทุกข์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ไม่ได้ดั่งใจ” จุดที่น่าสังเกตุคือ ทั้งสองอย่างเกิดจาก “ความคาดหวัง” ในจิตใจของเราที่ตัวเราเองอาจจะไม่ทันได้สังเกตุ

ดังนั้นต้นเหตุของความทุกข์และสุขมาจาก “ความคาดหวัง” จริงหรือ? หลายท่านอาจมีความเห็นแย้งในใจตอนนี้ถ้าอย่างนั้นเราลองมาพิจารณาจากตัวอย่างของกรณีนี้กันดีกว่า

เอได้รับข่าวจากครอบครัวว่า คุณแม่ป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้ายหมอคาดว่าจะมีชีวิตอยู่อีกได้ไม่นาน เอเสียใจมากได้แต่ถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าทำไมความทุกข์นี้ถึงต้องมาเกิดกับครอบครัวของเธอด้วยทั้งๆ ที่ครอบครัวของเธอก็เป็นคนดี หมั่นทำบุญทำทานมาโดยตลอด... เธอกำลังทุกข์ใจอย่างมาก

เธอและครอบครัวพยายามค้นหาทุกวิถีทางเพื่อจะรักษาแม่ของเธอหรืออย่างน้อยๆ ได้ยื้อชีวิตของแม่เธอไว้ให้นานที่สุดแต่ดูเหมือนเวลาเริ่มนับถอยหลังไปทุกที อาการของแม่เริ่มทรุดลง เอสังเกตุว่าเกิดจากกำลังใจที่จะสู้ต่อของแม่เธอลดลงเธอจึงได้สติ เลิกคิดโทษสิ่งต่างๆ เลิกทุกข์ และพยายามทำทุกวันให้มีความสุขที่สุด

แต่แล้วแม่ของเออาการทรุดหนักลงจนต้องนอน รพ. เพราะกินไม่ได้ และนอนไม่หลับจากความเจ็บปวดที่มะเร็งได้แพร่กระจายไปสู่ส่วนอื่นของร่างกายแล้วเอได้เห็นท่าทางที่ทุกข์ทรมานของแม่ ทำให้เธอนึกในใจว่าการที่เธออยากยื้อชีวิตแม่ต่อนั้น เพื่อตัวเธอ หรือเพื่อแม่กันแน่...เธอเริ่มไม่แน่ใจ

จนมาวันหนึ่งหลังจากที่เธอเรียนเสร็จเธอได้รับข่าวจากพี่ชายว่า แม่อาการทรุดลงอีก ทีมแพทย์บอกว่าน่าจะไม่พ้นคืนนี้เธอตัดสินใจเดินทางไปหาแม่ทันทีในคืนนั้นแต่ระหว่างทางมีอุบัติเหตุรถขนข้าวโพดเสียหลัก ทำให้ขวางเส้นทางจราจรทั้งหมดเธอจึงขอให้พี่ชายวางโทรศัพท์ข้างๆ หูแม่ แล้วพยายามพูดเพื่อให้แม่ไปสบายแต่แม่ของเธอกลับพยายามลืมตาขึ้นมาอีกพี่ชายถึงกับร่ำไห้พร้อมบอกว่าแม่คงรอเธออยู่ เอจึงพยายามเดินทางไปถึงที่ รพ. ให้ไวที่สุด

เอ มาถึง รพ.พร้อมกับภาพที่เธอไม่อาจลืมได้ สายตาของแม่ที่เหมือนจะไม่มีสติอยู่แล้วมองมาที่เธอ ด้วยลมหายใจรวยริน อยู่บนเตียงกับสายระโยงระยางจากเครื่องมือแพทย์ต่างๆเสียงสะอื้นจากคนในห้องปะปนกับเสียงเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจบรรยากาศชวนโศกเศร้า เอสวมกอดแม่ พร้อมประนมมือกราบแทบเท้าของแม่ ที่เย็นเฉียบ แม่ที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่สามารถตอบสนองอะไรได้แล้วพยาบาลบอกให้เธอเอานิ้วปิดตาแม่ไว้ เอสวดมนต์ข้างๆ หูแม่ จนลมหายใจของแม่เริ่มหยุด เอทำท่าจะร้องไห้แต่แม่ของเธอกลับฮึดหายใจและพยายามลืมตาขึ้นมาอีกเอจึงได้สติว่าไม่ควรทำให้แม่เป็นห่วง เธอสวดมนต์และปิดตาแม่เธอไว้จนสิ้นลมหายใจสุดท้าย

ความรู้สึกของเอในตอนนั้นเธอรู้สึกทุกข์ เพราะการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกโล่งใจที่แม่ของเขาไม่ต้องทนทุกข์จากความเจ็บปวดอีกต่อไป จากเหตุการณ์ครั้งนั้นของเอทำให้เธอได้เรียนรู้ว่า เหตุการณ์เดียวกัน แต่อาจจะรู้สึกสุข หรือทุกข์ ก็ได้ เธอจึงรู้สึกปรกติค่อนไปทางสุขใจเล็กๆ แม้จะอยู่ในงานศพของแม่เธอซึ่งบางคนก็ไม่เข้าใจเธอว่าทำไมถึงไม่ทำหน้าเศร้า อาลัยอาวรณ์ อย่างที่ “ใครๆ”เขาทำกัน ถึงกับตำหนิว่า “อย่ายิ้ม ทำหน้าให้มันเศร้าหน่อย” เอรับฟังและเข้าใจในเหตุผลของพวกเขาแต่เธอมีเหตุผลที่ทำให้แสดงออกเช่นนั้น เพราะอยากให้ทุกคนรู้สึกว่า

“เธอเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นโปรดอย่าได้เป็นกังวล เธอจะยังคงเข้มแข็ง และจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีที่สุด”

จากกรณีข้างต้นจะสังเกตุได้ว่า เริ่มแรกนั้น เอ เป็นทุกข์เพราะไม่อยากให้แม่เป็นมะเร็ง และผิดหวังที่บุญต่างๆไม่สามารถช่วยแม่เธอได้ เพราะเอคาดหวังว่าผลบุญจะทำให้เธอพบเจอแต่สิ่งดีๆแต่สุดท้าย เอก็เป็นสุขเพราะ เอเข้าใจในธรรมชาติของทุกสิ่งที่เป็นไปมองในสิ่งที่มันเป็น

ดังนั้นหากมีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นกับตัวเรา ให้เราหยุดคิดสักนิด และพิจารณาสักหน่อยเมื่อเราเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ทุกสิ่งนั้น เกิดมา ตั้งอยู่ ดับไปไม่เว้นแม้แต่ตัวเรา

อดีตที่ผ่านมาเราแก้ไขอะไรไม่ได้ และอย่าได้คาดหวังกับอนาคตจนก่อให้เกิดทุกข์ทั้งที่ยังไม่มีอะไรเกิดสิ่งที่ควรกระทำให้ดีที่สุดคือ ปัจจุบัน เมื่อเราทำบุญหรือทำความดีใดๆก็ให้มองความสุขที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น แม้จะเป็นความสุขเล็กๆแต่นั่นก็ดีกว่าการที่เราเอาแต่คาดหวังว่าผลบุญนั้นจะส่งผลดังใจเราปรารถนา

“เราทำบุญทำทานเพื่อลดกิเลสไม่ได้ทำเพื่อสร้างกิเลสขึ้นในใจ”

สุดท้ายนี้ขออวยพรให้ทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ได้เป็นคนที่รู้เท่าทันจิตใจของตัวเองใช้ชีวิตอย่างเข้าใจธรรมชาติ และอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข

“สุข หรือ ทุกข์อยู่ที่เรามองว่ามันคืออะไร”




Create Date : 24 เมษายน 2557
Last Update : 24 เมษายน 2557 18:17:53 น.
Counter : 364 Pageviews.

2 comments
  
แต่เรื่อง คน 1250 คนมาประชุมกันได้ โดยมิได้นัดหมาย เรื่องเดียว ก็หลงกันมานานได้เป็นร้อยปี

เพราะคนตั้งมากมาย สมันนั้นการเดินทางก็ลำบาก หากใช้เหตุผล ไม่นัดกัน มาพร้อมกันได้อย่างไร

สืบเนื่องจากการสนทนาธรรม กับ เกจิระดับเจ้าคณะจังหวัดกรุงเทพฯ ท่านก็กล่าวว่า นักบวชทรงศีลสมัยก่อนเขามีโทรจิต (ตบมือเพี้ยะ) นั่นไงล่ะ มีโทรจิตก็โทรหากันล่ะซิ ตกลง "นัดหมาย"กันนะ มิใช่ไม่นัด

เรารีบกลับไปแก้ไขตำราเรียนที่หลงใหลในสิ่งงมงายนั้นมาเป็นร้อยปีกันเถิด เอาคะแนนกลับไปคืนครู เพราะเราตอบไปว่า มิได้นัดกัน ตอบเช่นนั้นไม่ใช่ เราไม่สมควรได้คะแนนในข้อนั้น เพราะแท้จริงแล้วโทรนัดกันมาตลอดชัวร์ ค่าแอร์ไทม์ยุคนั้น คุณทักษิณก็ยังไม่มีสิทธิ์เก็บ โทรกันฟรีอยู่เลย ถ้ามีใช้ โทรกันแหลกแน่เลย แล้วงานใหญ่เช่นนั้น ไม่โทรหากันเพื่อนัดหมาย เห็นจะให่เชื่อเช่นนั้นคงยาก เด็กสมัยนี้เริ่มฉลาดไปตามสิ่งต่างๆที่พระเจ้าสัญญาว่าจะให้มนุษย์ต่อยๆรู้ เหมาะสมกับกาลเวลาเสมอ

ตกลง 1250 คนนั้น นัดกันมา มาทำไม ข่มขู่พระพุทธเจ้าไหม อย่างไร ทำไมพระพุทธเจ้ายอมแบ่งหุ้นให้ หากพระพุทธเจ้าได้รับความรู้นั้นมาเองคนเดียว
โดย: ทำบุญที่เกิดหับ นักบวช คือผู้จับต้แง ปละ บริหารเรื่องปร่เแ;; IP: 124.120.239.156 วันที่: 25 เมษายน 2557 เวลา:0:16:13 น.
  
ชอบมากคะ
โดย: ออย IP: 115.31.143.225 วันที่: 16 พฤษภาคม 2557 เวลา:17:32:12 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

GloryBlossom
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]