อุทธรณ์ยืนจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา 'สมชาย ไพบูลย์' ปราศรัยปลุกระดม นปช.ผ่านฟ้าฯ - คอกวัว ก่อความวุ่นวายปี 2553 ทนายยื่นเงินสด 1 แสน ประกันตัวสู้ฎีกา
21 ต.ค. 57 เมื่อเวลา 09.40 น. ที่ห้องพิจารณา 910 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.2543/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมชาย ไพบูลย์ อายุ 45 ปี อดีต ส.ข.เขตบางบอน พรรคไทยรักไทย และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน , มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 , 215 , 216 และร่วมกันชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 5 , 9 , 11 , 18
ตามฟ้องโจทก์ เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 53 ระบุความผิด สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 8 -10 เม.ย. 53 ภายหลังที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง จำเลยกับพวก ซึ่งมีจำนวนตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ร่วมกันชุมนุม และมั่วสุม ที่เวทีผ่านฟ้าลีลาศ และเวทีราชประสงค์ โดยจำเลยกับพวกทราบคำสั่งเจ้าพนักงานแล้วยังขัดขืนคำสั่งของเจ้าหน้าที่ไม่เลิกการชุมนุม และยังใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ โดยมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดไม่ทราบชนิด ขนาด มีด ดาบ ท่อนไม้ ท่อนเหล็ก หนังสติ๊กหลายชิ้น ไม่ทราบจำนวนแน่ชัด เป็นอาวุธ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหาร ประชาชน ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก รวมทั้งทรัพย์สินของทางราชการ และประชาชนเสียหาย เหตุเกิดที่แขวงตลาดยอด , แขวงวัดโสมนัส , แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร , แขวง-เขตดุสิต , แขวงลุมพินี , แขวง-เขตปทุมวัน กทม. จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 55 เห็นว่า การกระทำของจำเลยมีเจตนาขัดคำสั่ง และขัดขวางเจ้าหน้าที่ที่สั่งให้เลิกชุมนุม ซึ่งเจตนาปลุกระดมสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมให้เกิดความฮึกเหิมใช้กำลังต่อสู้กับเจ้าหน้าที่จนมีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต เพื่อให้การชุมนุมยังคงอยู่ ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต จึงให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ต่อมาจำเลย ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า โจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำกองบัญชาการนครบาล 6 สน.นางเลิ้ง สน.บุคคะโล สน.สมเด็จเจ้าพระยา สน.ลุมพินี และพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กว่า 10 ปาก ซึ่งเป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐาน ผู้บันทึกการปราศรัยลงแผ่นวีซีดี และผู้ถอดเทปการปราศรัย เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงสอดคล้องต่อเนื่องกันว่า จำเลยซึ่งร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช. บริเวณเวทีผ่านฟ้าลีลาศ ขณะที่รัฐบาลได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ซึ่งจำเลยได้ขึ้นปราศรัยเวทีดังกล่าวหลายครั้ง ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.-13 เม.ย. 53 ซึ่งมีเนื้อหาต่อต้านรัฐบาล และระหว่างที่รัฐบาลใช้กำลังเจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่ชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 ก็ได้มีการปราศรัยให้ผู้ชุมนุมบางส่วนที่อยู่แยกสะพานมัฆวานรังสรรค์ และแยก จปร.ให้มาร่วมชุมนุมกับผู้ชุมนุมอีกส่วนหนึ่งที่บริเวณแยกคอกวัว เพื่อตรึงกำลังรักษาพื้นที่การชุมนุม หากเจ้าหน้าที่จะเข้ามาขอคืนพื้นที่ และหากมีการนำรถถังเข้ามา ก็ให้ยึดรถถังไว้
และต่อมาเมื่อคณะกรรมการคดีพิเศษ ดีเอสไอ ได้รับคดีเกี่ยวกับการกระทำผิดอาญา และอาวุธยุทธภัณฑ์ และความผิดที่เกี่ยวกับความรุนแรงในการชุมนุมไว้ และได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับจำเลย นอกจากนี้ยังปรากฏภาพ และข่าวทางหนังสือพิมพ์จากเหตุการณ์ปะทะระหว่างการชุมนุม ซึ่งทางนำสืบไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงเชื่อว่าพยานโจทก์ได้เบิกความตามที่รู้เห็นจากการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ไม่ได้ปั้นแต่งพยานหลักฐานเพื่อกลั่นแกล้งให้จำเลยได้รับโทษทางอาญา
ขณะที่จำเลยได้นำสืบเพียงว่าการปราศรัยเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว และความเห็นทางวิชาการ ไม่ใช่การยั่วยุ แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง หรือห่างไกลจากความจริง และที่แกนนำ นปช.บางคนมาเป็นพยานจำเลยเบิกความก็ปรากฏว่าบางคนไม่ได้อยู่ในช่วงที่เกิดเหตุ แต่รับรู้เหตุการณ์จากการเผยแพร่ข่าวสาร พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงรับฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำผิดตามมาตรา 116 (2) (3) , 215 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม , 216 และ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เรื่อง ห้ามไม่ให้ชุมนุม หรือมั่วสุม ลงวันที่ 8 เม.ย. 53 ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท อุทธรณ์ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ให้ลงโทษสถานเบานั้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยนั้นบทลงโทษหนักสุด คือ มาตรา 116 ซึ่งกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปีนั้น ถือว่าเป็นโทษสถานเบา และเหมาะสมกับพฤติการณ์แล้ว จึงพิพากษายืนโทษตามที่ศาลชั้นต้นให้จำคุก 1 ปี โดยไม่รอการลงโทษจำเลย
ภายหลังนายสมชาย ที่เดินทางมาพร้อมภรรยา แสดงสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย โดยปรึกษากับทนายความ นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช.และผู้ใกล้ชิด ที่เดินทางมาให้กำลังใจกว่า 10 คน อย่างเคร่งเครียดว่าจะยื่นประกัน และยื่นฎีกาต่อสู้คดีอีกหรือไม่ โดยหลังจากหารือกันทนายความได้เตรียมเงินสด 1 แสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งระหว่างที่นายสมชาย ถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวมายังใต้ถุนศาล เพื่อรอคำสั่งขอปล่อยชั่วคราว นายสมชาย ได้ชูสองนิ้วพร้อมยิ้มให้กับผู้ที่มาให้กำลังใจ ซึ่งก่อนถูกควบคุมตัวนายสมชาย กล่าวว่า หากจะต้องรับโทษจำคุก 1 ปี ก่อนหน้านี้ตนเคยถูกคุมขังในเรือนจำระหว่างการถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการชุมนุมมาแล้ว 8 เดือน 14 วัน ดังนั้น หากสุดท้ายจะต้องรับโทษคงมีการนับเวลาคุมขังต่อจากช่วงเวลาดังกล่าวอีก 3 เดือนเศษ จึงจะครบ 1 ปี