ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
29 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
ยอดเขาอะไรที่สูงที่สุดในโลก

คำถาม :
ยอดเขาอะไรที่สูงที่สุดในโลก

คำตอบ :
ยอดเขาเอเวอเรสต์


ภาพจาก //www.oknation.net/blog/home/blog_data/298/18298/images/Travel/everest.jpg

คำว่าหิมาลัย (Himalaya) แปลว่าที่ที่อุดมด้วยหิมะ คือชื่อของเทือกเขายาวและมียอดเขาสูงที่สุดในโลกชื่อ Chomolungma ซึ่งแปลว่า เทพมารดาของโลกมนุษย์

เทือกเขานี้มีความยาว 2,500 กิโลเมตร และทอดตัวยาวตามแนวพรมแดนระหว่างอินเดียกับ ปากีสถาน โดยมีอาณาเขตทิศตะวันตกจดแม่น้ำสินธุ (Indus) และทิศตะวันออกจดแม่น้ำพรหมบุตร ทางด้านเหนือของเทือกเขา คือที่ราบสูงทิเบต และบริเวณส่วนกลางของเทือกเขาที่มีความกว้างประมาณ 250 กิโลเมตร มียอดเขาสูงและหุบเหวลึกมากมาย

ในหน้าร้อนเมื่อลมมรสุมพัดจากอ่าวเบงกอลเข้าสู่ล่มน้ำคงคา นำฝนสู่บริเวณตอนล่างของอินเดียและหิมะสู่บริเวณตอนเหนือ ทำให้ที่ระดับความสูงกว่า 4,500 เมตร มีหิมะปกคลุมทั้งปี เพราะเทือกเขาหิมาลัยมียอดเขาสูงกว่า 70 ยอด ที่มีความสูงตั้งแต่ 6,000 เมตรขึ้นไป ดังนั้น การไต่เขาและการเดินทางผ่านภูเขาของนักผจญภัยจึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก


ภาพจาก : //encarta.msn.com/find/MediaMax.asp?pg=3&ti=04EFE000&idx=461540228

ในปี พ.ศ. 2395 George Everest ได้เห็นยอดเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมไกลไปทางเหนือของเทือกเขาที่ตำแหน่งเส้นลองติจูด 87 องศาตะวันออก และเส้นละติจูด 28 องศาเหนือตัดกัน เขาได้วัดความสูงของยอดเขานี้ และพบว่ามันเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก การวัดความสูงของภูเขา

ในเวลาต่อมาทำให้เรารู้ว่ามันสูงน้อยกว่า 9 กิโลเมตรเล็กน้อย จากนั้นใน พ.ศ. 2408 ยอดเขายอดนี้ จึงได้ชื่อว่ายอดเขา Everest ตามชื่อของผู้พบและวัดความสูงของมันเป็นครั้งแรก

เพราะเหตุว่าคนเนปาลและทิเบตไม่ชอบสังคมกับโลกภายนอก ดังนั้น โลกจึงไม่รู้จักเทือกเขาหิมาลัยนี้นัก แต่ในปลายพุทธศตวรรษที่ 24 นั่นเอง เนปาลและทิเบตก็ได้เริ่มเปิดประเทศ นักไต่เขาต่างๆ จึงได้โอกาสเดินทางไปสำรวจภูเขาลึกลับชื่อหิมาลัยนี้


ภาพจาก : //encarta.msn.com/find/MediaMax.asp?pg=3&ti=04EFE000&idx=461551104

ความยากลำบากในการขออนุญาตไต่เขา คือปัญหาหนึ่งที่นักไต่เขาต้องเผชิญ ทั้งนี้เพราะภูเขาหิมาลัยเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวเนปาล ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2465 ความพยายามไต่เขาหิมาลัยจึงได้บังเกิดเป็นครั้งแรก แต่ความหนาว ความสูง อาหาร เสื้อผ้า และอุปกรณ์ไต่เขาที่จำเป็นต้องใช้ในการไต่เขาได้ทำให้นักไต่เขาต้องตัดสินใจว่าจะนำปัจจัยอะไรติดตัวไปบ้าง

และในฤดูหนาวเมื่อ ลมหนาวพัด นักไต่เขาจะต้องระมัดระวังมากในการไต่เขา แต่ในฤดูร้อนเมื่อลมมรสุมพัดถึงบริเวณเทือกเขา ไอน้ำที่มีในลมมรสุมก็ จะเปลี่ยนสภาพเป็นหิมะ ซึ่งมีผลทำให้อันตรายในการไต่เขายังเพิ่มสูงขึ้นไปอีก เพราะหิมะเหล่านี้จะไม่จับตัวแข็ง แต่จะเป็นหิมะ ที่ถล่มง่ายเพราะนุ่มซึ่งทำให้การไต่เขาเป็นไปได้อย่างลำบากเช่นกัน ดังนั้น วงการนักไต่เขาจึงมีความเห็นว่า ฤดูไต่เขาที่ดีที่สุดเห็นจะ เป็นฤดูใบไม้ผลิ

ปัญหาอีกปัญหาหนึ่งของการไต่เขาที่นักไต่เขาทุกคนต้องคำนึงถึงคือ อิทธิพลความสูงที่มีต่อร่างกาย เมื่อคนเราเดินหรือปีนเขาสู่

ระดับยิ่งสูง ปริมาณออกซิเจนที่มีในอากาศระดับนั้นจะน้อย ดังนั้น ยิ่งสูงก็ยิ่งหายใจยาก อย่างไรก็ตาม ร่างกายมนุษย์สามารถปรับตัว ได้ดีในช่วงความสูงที่ต่ำกว่า 5,500 เมตร แต่ที่ระดับความสูง 5,500-7,300 เมตร

การปรับตัวของร่างกายแทบจะเป็นไปได้ไม่ง่ายเลย และที่ระดับความสูงกว่า 7,300 เมตร ร่างกายมนุษย์จะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อีกต่อไป ดังนั้น นักไต่เขาจะพบว่า ยิ่งขึ้นสูงความอ่อนแอของร่างกายก็ยิ่งมาก และยิ่งอยู่บนยอดเขานาน ร่างกายของเขาก็ยิ่งเพลีย

ในปี พ.ศ. 2465 ได้มีความพยายามไต่ยอดเขา Everest เป็นครั้งแรก แต่นักไต่เขาก็กระทำได้แค่สำรวจบริเวณรอบๆ และประเมิน เส้นทางที่ดีที่สุดที่ต้องใช้ในการขึ้นสู่ยอดเขา และก็ได้พบว่าเขาต้องขนเสบียง เต็นท์ และอุปกรณ์ไต่เขาอย่างครบครันไปบนหลังลาก่อน

แต่เมื่อการเดินทางยากลำบากชาว Sherpa ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น จะใช้ม้าและวัว yak ในการขนสัมภาระแทน และเมื่อยอดเขายิ่งชัน นักสำรวจก็ต้องให้ลูกหาบชาว Sherpa ขนสัมภาระแทน

ในการไต่เขาครั้งที่ 2 คณะไต่เขาได้ไต่ถึงระดับความสูง 8,230 เมตร และในการไต่เขาครั้งต่อมาสถิติระดับความสูงก็ยิ่งเพิ่ม ในปี พ.ศ. 2467 คณะสำรวจซึ่งนำโดย George Mallory วัย 38 ปี และ Andrew Irvine วัย 22 ปีได้ตัดสินใจไต่เขา Everest และในวันที่ 8 มิถุนายน ของปีนั้นขณะเวลา 12.50 น. คือหลังเที่ยงวันเล็กน้อย นักสำรวจคนอื่นๆ ได้เห็นนักไต่เขาทั้งสองอยู่ห่าง จากยอดเขา Everest ประมาณ 300 เมตร และขณะนั้นได้มีเมฆลอยเข้าปกคลุมยอดเขา จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็น Mallory และ Irvine อีกเลย

ปริศนาที่ค้างคาใจคนทุกคนคือคนทั้งสองได้ขึ้นถึงยอดเขา Everest เป็นคณะแรกหรือไม่

ในปี พ.ศ. 2542 ได้มีการพบศพแช่แข็งของ Mallory ที่คว่ำหน้าอยู่บนหิมะ โดยมีไหล่และแขนหัก และเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2544 Eric Simonson แห่งเมือง Ashford ในรัฐ washington ของสหรัฐอเมริกาได้พบแว่นกันแดด อุปกรณ์วัดความสูง ถุงเท้า ถุงมือ มีดพร้า เชือก ผ้าเช็ดหน้าที่มีอักษรย่อปักว่า GLM รวมถังออกซิเจนของ Mallory ที่ระดับความสูง 8,200 เมตร แต่ไม่พบกล้องถ่ายรูปที่ Irvine พกติดตัว และยังไม่พบศพของ Irvine เลย

การขาดหายของหลักฐานกล้องถ่ายรูปนี้ ทำให้นักไต่เขาหลายคนสงสัยว่า คนทั้งสองคงได้ขึ้นถึงยอดเขา และคงได้ถ่ายรูปเป็นหลักฐาน ดังนั้น การพบหลักฐานจะทำให้ Mallory กับ Irvine ได้ชื่อว่าเป็น บุคคลแรกที่ไต่ยอดเขา Everest สำเร็จ แต่เมื่อยังไม่มีใครเห็นหลักฐานนี้ชื่อของ Mallory และ Irvine จึงต้องคอยการยอมรับ

ในที่สุด ในปี พ.ศ. 2496 Edmund P. Hillary ชาวนิวซีแลนด์และ Tenzing Norgay ชาวเนปาลเผ่า Sherpa ก็ประสบ ความสำเร็จในการพิชิตยอดเขา Everest สำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อเวลา 11.30 น. ของวันที่ 29 พฤษภาคม ภายใต้การนำของนายพล John Hunt และหลังจากที่ Hillary กับ Tenzing ประสบความสำเร็จแล้ว ก็มีนักสำรวจชาติอื่นประสบความสำเร็จในการพิชิตยอดเขา Everest อีกมากมาย

สถิติการไต่เขาลูกนี้มีว่า Erik Weihenmeyer ชาวสหรัฐฯ เป็นนักไต่เขาตาบอดคนแรกที่ได้ไปยืนบนยอดเขา Everest เมื่อเดือนกันยายน 2544 Sherman Bull วัย 64 ปี เป็นชายอายุมากที่สุดในโลกที่พิชิตเขา Everest ส่วน Babu Chiri ชาวเนปาลเป็นคนที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการไต่เขา และอยู่บนยอดเขา Everest นานที่สุด นักไต่เขาสตรีคนแรกที่พิชิตเขา Everest คือ Junko Tabei ชาวญี่ปุ่น ในปี 2518 ทุกวันนี้มีคนกว่า 800 คน ที่ได้ยืนสัมผัสเขา Everest แล้ว และเราเชื่อว่าจำนวนบุคคลพิเศษ กลุ่มนี้จะเพิ่มมากขึ้นทุกปีในอนาคต

ปัญหาความสูงของยอดเขา Everest ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่นักธรณีวิทยาสนใจ เมื่อ 2 ปีก่อน นักไต่เขา Everest ได้นำอุปกรณ์ ที่มีอักษรย่อว่า GPS = Global Positioning System ไปติดตั้งบนยอดเขา อุปกรณ์ที่สามารถรับส่งสัญญาณจากดาวเทียมได้ การรู้เวลาที่สัญญาณเดินทางทำให้นักธรณีวิทยาสามารถบอกตำแหน่งของมันได้แม่นยำ ซึ่งการรู้ตำแหน่งที่ละเอียดจะทำให้นักแผนที่ และนักธรณีวิทยาสามารถรู้ความสูงของภูเขาได้ถูกต้องและละเอียดด้วย

ในการวัดของของ George Everest เมื่อ 200 ปีก่อน โดยการสังเกตความสูงของยอดเขา จากสถานที่ต่างๆ ในอินเดีย ทำให้ ได้ความสูงเท่ากับ 8,846 เมตร แต่เมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เอง เทคโนโลยีการวัดที่ทันสมัยขึ้น ทำให้ได้ความสูงเท่ากับ 8,888 เมตร และเมื่อเนปาลเปิดประเทศ นักสำรวจก็สามารถเดินทางเข้าไปสำรวจใกล้ภูเขาได้ ซึ่งทำให้ระดับความสูงเปลี่ยนไปเป็น 8,854 เมตร แต่เมื่อนักธรณีวิทยาได้พบว่า เปลือกทวีปส่วนนี้มีการเคลื่อนที่ โดยเทือกเขาหิมาลัยทั้งเทือกขยับเคลื่อนเข้าชนผืนแผ่นดินใหญ่ของจีน ด้วยความ "เร็ว" 5 เซนติเมตร/ปี อิทธิพลนี้ทำให้ตำแหน่งของยอดเขา Everest เคลื่อนที่ขึ้นไปทางทิศเหนือตลอดเวลา และเมื่อ ระดับน้ำทะเลมีการแปรเปลี่ยน ดังนั้น ในการที่จะรู้ความสูงของยอดเขาเหนือระดับน้ำทะเล ความสูงของระดับน้ำทะเลก็เป็นข้อมูล ที่สำคัญ

โครงการวัดความสูงของ Everest ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง Bradford Washburn แห่ง Boston Museum of Science และนักธรณีวิทยาชื่อ Roger Bilham แห่งมหาวิทยาลัย Colorado ที่ Boulder ในสหรัฐอเมริกาจึงเกิด และนักวิชาการทั้งสองก็ได้ใช้อุปกรณ์ GPS อ่านระยะทางที่ยอดเขาสูงอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของโลก และเมื่อลบด้วยระยะทาง ที่ระดับน้ำทะเลอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของโลก เขาก็ได้ความสูง 8,855.67 ± 2.13 เมตร ต้นเหตุความผิดพลาดของการ วัดนี้มีหลายประการได้แก่ การมีหิมะที่หนาปกคลุมยอดเขา ดังนั้น ความสูงของยอดเขาจึงไม่ใช่ความสูงจริง และเมื่อการเคลื่อนที่ของ เปลือกทวีปทำให้ยอดเขา Everest มีความสูงเพิ่มขึ้น 5-6 มิลลิเมตร/ปี เราจึงรู้ความสูงนี้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา

ปัญหาความสูงมิใช่เป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาเดียวที่ Everest กำลังสร้างปัญหาขยะที่มีผู้ทิ้งเกลื่อนกลาด ตามบริเวณภูเขาก็เป็น ปัญหาที่หนักอกหนักใจนักนิเวศวิทยามาก เพราะเมื่อ 5 ปีก่อนนี้เอง โครงการกำจัดขยะเก็บขยะในบริเวณยอดเขา Everest ได้ 9 ตัน จาก 21 ตันที่มี ดังนั้น รัฐบาลเนปาลจึงได้เก็บเงินค่าไต่เขาคณะละ 180,000 บาท เพื่อว่าจ้างคนเนปาลให้ทำหน้าที่เป็นลูกหาบนำขยะอันได้แก่ อุปกรณ์ไต่เขาที่ชำรุด เศษอาหาร ถังออกซิเจนที่ใช้แล้ว บันไดอะลูมิเนียม เชือก และแม้กระทั่งศพไปทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง แต่การเก็บเงิน ค่าไต่เขามากเช่นนี้ ก็ทำให้นักไต่เขาหลายคนคิดว่าแพง

ถึงกระนั้นก็คงไม่มีใครคิดว่า เงินที่เสียไปคือการซื้ออิสรภาพที่จะทิ้งปฏิกูลได้ตามอำเภอใจ

ข้อมูลจาก
//www.ipst.ac.th/ThaiVersion/publications/in_sci/everest.html


Create Date : 29 ตุลาคม 2552
Last Update : 29 ตุลาคม 2552 10:37:18 น. 0 comments
Counter : 1942 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.