ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
27 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
เทคนิคพิชิตค่าใช้จ่ายลูกในยุค 2011

กูรูด้านการเงินแนะเทคนิคพิชิตค่าใช้จ่ายลูกในยุค 2011

กล่าวได้ว่า การมีลูกเกิดมาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน นอกจากความน่ารักน่าเอ็นดูแล้ว สิ่งที่โตมาพร้อมกับลูกก็คือ ค่าใช้จ่ายที่พ่อแม่หลาย ๆ ท่านพร่ำบ่นกันมากในยุคข้าวยากหมากแพง ไม่ว่าจะค่ากิน ค่าเทอม และอื่น ๆ ที่ยังไม่ทราบล่วงหน้าอีก หากไม่มีการวางแผนการเงินที่ดีแล้ว อาจทำให้โอกาสทางการศึกษาของลูกสะดุด และหยุดชะงักลงได้ ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นหนี้สูงขึ้นอีกด้วย

ในเรื่องนี้ สุวภา เจริญยิ่ง ผู้ทำงานในแวดวงการเงินมากว่า 25 ปี ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ผู้เขียนหนังสือ "มีลูกกี่คนก็รวยได้ ถ้าใช้เงินเป็น" บอกว่า การวางแผนเพื่ออนาคตลูกเป็นเรื่องจำเป็น ต้องทำควบคู่กับการออม และการวางแผนทางการเงินที่ดีในครอบครัวด้วย แต่ก่อนจะพูดถึงเรื่องแผนการออม คุณพ่อคุณแม่ต้องตอบโจทย์ให้ได้ก่อนว่า ลูกจะเรียนอะไร เรียนที่ไหน และค่าใช้จ่ายที่ต้องตระเตรียมประมาณเท่าไร

"การเลือกโรงเรียนให้ลูกก็สำคัญ ถ้าอยากให้ลูกเรียนต่อปริญญาเมืองนอก การเอาแรงมาส่งลูกเรียนอินเตอร์ฯ ที่ค่าเทอมสูง ๆ ในวันนี้ คุณอาจไม่มีแรงเก็บเงินส่งลูกเรียนเมืองนอกได้ ดังนั้นเลือกโรงเรียนรัฐดี ๆ ให้ลูกไม่ดีกว่าเหรอ เพื่อให้เขาเรียนรู้สังคม และช่วยให้คุณไม่เหนื่อยในการหาเงิน แถมยังมีเวลาเก็บเงินอีกด้วย" คุณสุวภาเสนอ

สำหรับวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายในการเรียนของลูก คุณสุวภาให้สูตรง่าย ๆ คือ นำค่าใช้จ่ายการเรียนต่อปี+ค่าใช้จ่ายส่วนตัวนักเรียน x จำนวนปีที่ใช้เรียน = ค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยสูตรดังกล่าวนี้ สามารถนำไปใช้คำนวณค่าเล่าเรียนของลูกได้ตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับปริญญาเอกเลย ถือเป็นการเตรียมความพร้อมเบื้องต้น และวางแผนทางการเงินเพื่อการศึกษาของลูกหนึ่งคนให้ชัดเจนขึ้น

เมื่อทราบถึงตัวเลขคร่าว ๆ แล้ว ทีนี้มาเริ่มต้นวางแผนการออมอย่างง่ายด้วยการคำนวณว่า ต้องใช้จำนวนเท่าไร และระยะเวลาในการเก็บออม หรือระยะเวลาที่ต้องใช้เงินเป็นเมื่อไร เพื่อจะได้จัดการวางแผนการเงินได้ถูกว่าจะเลือกลงทุนแบบไหน แต่ทั้งนี้การออม และการลงทุนควรมีความหลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยงและต่อยอดการออมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการออมเดือนละ 10,000 บาท และนำไปลงทุนในอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับจำนวนปี คุณจะเห็นความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้นและความสม่ำเสมอในการออม คือ แม้จะออมเงินเดือนละ 10,000 บาท แต่ถ้าทำผลตอบแทนได้ในระดับ 15 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลา 3 ปี จะมีเงินเก็บสูงถึงเกือบ 449,830 บาท และถ้ายังออมได้สม่ำเสมอในระยะเวลา 15 ปี คุณจะมีเงินเก็บถึง 6,163,660 บาทเลยทีเดียว

"การออมต้องดูถึงความเหมาะสม และเสี่ยงที่เงินต้นจะหายไปไหม ถ้าเงินต้นหาย และรับไม่ได้ก็อย่าไปเลือกทางนั้น หรือถ้าใครไม่รู้จะเริ่มต้นเก็บออมอย่างไร ง่าย ๆ คือ เดินไปเปิดบัญชีเงินฝาก ทั้งนี้อาจเลือกเปิดบัญชีเงินฝากประจำพิเศษที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินฝากดอกเบี้ย แต่จะต้องฝากสม่ำเสมอเป็นระยะเวลา 24 เดือนสูงสุดไม่เกินเดือนละ 25,000 บาท กัดฟันไหวก็เอาเลย" คุณสุวภาให้แนวทาง

อย่างไรก็ดี หลาย ๆ ธนาคารในปัจจุบันอาจมีการเสนอการฝากเงินในรูปตั๋วแลกเงิน หรือตั๋ว D/E (Deal of Exchange) ซึ่งมีระยะเวลาเท่ากัน แต่ตั๋ว D/E จะให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า นั่นเป็นเพราะตั๋วดังกล่าว ไม่ได้รับการค้ำประกันเช่นเดียวกับเงินฝากประจำ

นอกจากการเปิดบัญชีแล้ว ยังมีการออมอีกหลายรูปแบบให้คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ได้เลือกใช้บริการ เช่น

แผนการออมในรูปแบบของการประกัน

ส่วนใหญ่จะเป็นการออมแบบประกันชีวิต ถ้าเกิดระหว่างที่พ่อแม่ส่งเบี้ยไปแล้วไม่ได้เป็นอะไรก็ไปรับเงินก้อนคืนตามระยะเวลาที่กำหนดได้ แต่ถ้ากรณีที่พ่อแม่เสียชีวิตอย่างกะทันหัน บาดเจ็บ หรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในระหว่างทางที่ส่งเบี้ยประกัน ลูกก็จะมีเงินส่วนหนึ่งกลับมา ดังนั้นสบายใจได้เลยว่า การศึกษาของลูกจะไม่สะดุดอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าเป็นคนไม่มีวินัยในการเก็บเงิน การทำประกันชีวิตจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการออมที่ง่ายมาก

การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้เอกชน

แนวทางนี้อาจต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่พอสมควร แต่ผลตอบแทน หรือดอกเบี้ยที่ได้จะสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ปกติจะได้รับดอกเบี้ยประมาณปีละ 2 งวด และเมื่อครบกำหนดไถ่ถอนก็จะได้รับเงินต้นคืน แต่อาจมีความเสี่ยงอยู่บ้าง หากผู้ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้เกิดการเบี้ยวหนี้เสียก่อน ดังนั้นถ้ามีเงินเย็นก็เลือกพันธบัตรระยะยาวได้ แต่ก็อาจมีความเสี่ยงด้านดอกเบี้ย หากมีการขายพันธบัตรออกก่อนครบกำหนด

การลงทุนผ่านกองทุนรวม

หากสนใจจะลงทุนด้วยตัวเอง แต่ขาดความชำนาญ อาจเลือกวิธีการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งมีทั้งกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว เช่น หากคุณสองคนเป็นผู้มีรายได้อยู่ในระดับที่ฐานภาษีร้อยละ 37 (รายได้สุทธิที่เกินกว่า 4 ล้านบาทขึ้นไป) แล้วลงทุนในกองทุนทั้งสองนี้คนละ 1 ล้านบาท คือเต็มวงเงิน รัฐจะคืนเงินให้คนละ 370,000 บาท รวมกัน 2 คนคิดเป็นปีละ 740,000 บาท

แต่จุดด้อยของการลงทุนประเภทนี้ ไม่สามารถกำหนดผลตอบแทนที่แน่นอนตายตัวได้ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตลาดในขณะนั้นด้วย แต่การลงทุนทางเลือกนี้ถือเป็นวิธีที่จะทำให้เงินพอกพูนขึ้น

ท้ายนี้ คุณสุวภา ฝากแง่คิดไปถึงพ่อแม่ยุคใหม่ว่า การมีลูกไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้รวยขึ้นหรือจนลง แต่การเลี้ยงลูกให้ดีต่างหากที่จะทำให้เรารวยขึ้นหรือจนลง ดังนั้นการวางแผนการเงินในครอบครัว และแผนการเงินเพื่ออนาคตลูกเป็นสิ่งจำเป็นก็จริง แต่สิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือ การเลี้ยงลูกให้รู้จักใช้เงินอย่างชาญฉลาดโดยมีคุณพ่อคุณแม่เป็นต้นแบบนั่นเอง

หากทุกครอบครัวมีแผนการเงินที่ดี พร้อมทั้งสอนลูกให้รู้ค่าของเงิน ไม่ว่าเศรษฐกิจจะผันผวนจนทำให้การเงินในครอบครัวสั่นคลอนก็ไม่ยากเกินกว่าที่จะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์


Create Date : 27 กันยายน 2554
Last Update : 27 กันยายน 2554 10:54:37 น. 0 comments
Counter : 1019 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.