ไทยน่าห่วงสถานการณ์เด็กบกพร่องพุ่ง13%
วันนี้ (18 ต.ค.) ที่โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ ดินแดง มีการเสวนา สถานการณ์เด็ก LD ในสังคมไทย : รู้ทัน กันได้ ให้ทางเด็กทุกคน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร ผอ.สถาบันราชานุกูล กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กบกพร่องการเรียนรู้จากภาวะทางสมอง ได้แก่ สมาธิสั้น แอลดี เรียนรู้ช้า และออทิสติก มีถึง 12-13% ของประชากรเด็กทั้งหมด แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ ประชากรที่เพิ่มขึ้น การค้นพบเด็กได้มากขึ้น รวมถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อม ทั้ื่งมลพิษและอาหารล้วนมีผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก หากไม่ได้รับการดูแลหรือไม่ถูกยอมรับก็จะเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง แปลกแยกจากกลุ่มเพื่อนหรือเสียโอกาสทางการศึกษา ดร.ผดุง อารยะวิญญู นายกสมาคมแอลดีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มเด็กพิการทางสมองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ในทุก 500 คนจะเป็นออทิสติก 1 คน ส่วนแอลดีแท้ 5 % ขณะที่แอลดีแฝงหรือกลุ่มที่มีปัญหาด้านการอ่านมีถึง 10%ของเด็กทั้งหมด เด็กกลุ่มนี้ยังมีความสามารถในการเรียนรู้ แต่จะมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป จึงต้องอาศัยคนใกล้ตัวคือผู้ปกครองและครูช่วยสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะกับศักยภาพและความสามารถของเด็กเหล่านั้น เช่น เด็กไม่สามารถอ่านก็สามารถเรียนรู้จากการฟังหรือดูวิดีโอได้ หรือเด็กอาจจะเก่งทางด้านกีฬา เป็นต้น หากเราสามารถตรวจเจอได้เร็วและพบแพทย์เพื่อรับการรักษาตั้งแต่ยังเล็กจะสามารถช่วยพัฒนาให้ดีขึ้นได้ แม้จะไม่หายขาด ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษา สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) กล่าวว่า ขณะนี้เรามีเด็กบกพร่องการเรียนรู้จากภาวะทางสมองประมาณ 3-4 ล้านคน เด็กเหล่านี้เสี่ยงต่อความล้มเหลวในชีวิต ตนเคยคุยกับนักเศรษฐศาสตร์ได้วิเคราะห์ว่าหากเรามีระบบช่วยเหลือดูแลเด็กเหล่านี้ให้ดำรงชีวิตเป็นปกติได้จะทำให้ผลผลิตมวลรวมในประเทศ(จีดีพี)เพิ่มขึ้นถึง 2% และที่สำคัญจะช่วยลดปัญหาสังคมได้อีกทางหนึ่งด้วย สังเกตุได้จากเด็กที่อยู่ในสถานพินิจจะพบว่ากว่า 30% เป็นเด็กสมาธิสั้น เพราะเด็กเหล่านี้ชอบใช้ความรุนแรง ดังนั้นถ้าได้รับการกระตุ้นที่ดี เด็กก็จะมีพัฒนาการไปในทางที่ดี เป็นอานิสงส์ช่วยทำให้ประเทศชาติเข้มแข็ง บุคลิกของเด็กจะถูกกำหนดในช่วง 5 ขวบแรก หน้าต่างจะเปิดช่วงนั้น หากเรารู้ปัญหาเร็ว และเข้าประกบเร็วก็จะช่วยได้ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าเด็กทุกคนมีดีอยู่ในตัว เพียงแต่เรายังค้นหาไม่เจอเท่านั้น อย่างไรก็ตามผมไม่ชอบคำว่าเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ แต่อยากให้เรียกว่า เด็กที่มีการเรียนรู้พิเศษมากกว่า ดร.อมรวิชช์ กล่าว.
ที่มา //www.dailynews.co.th/education/161672
Create Date : 21 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 21 ตุลาคม 2555 23:59:59 น. |
|
0 comments
|
Counter : 896 Pageviews. |
|
|
|
|
|