BlogGang.com : : scimovie : 7 ประการปรับพฤติกรรม...เพื่อลูกหลานที่รักของเรา

7 ประการปรับพฤติกรรม...เพื่อลูกหลานที่รักของเรา

7 ประการเพื่อลูกหลานที่รักของเรา

ปัจจุบันโลกของเราได้พัฒนาไปอย่างที่เราตามไม่ทัน ทั้งทางด้านวัตถุและเทคโนโยลี จนทำให้เกิดการทำงานอย่างลืมตัว ลืมแม้กระทั่งลูกหลานที่เรารักเราแทบจะหาเวลาให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกน้อยลง ด้วยเหตุนี้เองทำให้ลูกของเราขาดสิ่งต่างๆ ที่จะไปต่อสู้สังคมรอบตัว และมีโอกาสที่จะถูกสิ่งต่างๆ ทำลายชีวิตได้ง่ายขึ้น เราลองมาแยกแยะในด้านต่างๆ ออกมาแต่จะเน้นในเรื่องของสิ่งที่ใกล้ตัวกับนักเรียนที่มักจะทำเป็นกิจวัตรประจำวันดู

1. การแบ่งขนมกันกิน...เสี่ยงต่อไวรัสตับอักเสบ
สาเหตุเพราะเด็กหรือลูกหลานเรามักจะใช้มือหยิบจับอาหารการกินโดยไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของความสะอาด ลูกของเรากำลังกินขนมที่เพิ่งซื้อมาใหม่หน้าโรงเรียนในช่วงเช้าก็เลยหม่ำด้วยความหิว พอเห็นเพื่อนเดินมาด้วยความเป็นคนที่ชอบแบ่งปันก็เลยให้เพื่อนกัดกินด้วยกันกับเรา แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่า เพื่อนนั้นไม่มีเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบชนิด A B Cหรืออื่นๆ เพราะเชื้อโรคพวกนี้ไม่ได้มีอาการที่เราเห็นได้แบบชัดเจน เรามาลองอ่านข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดกันดูดีกว่า จะได้เตรียมตัวทันในการปกป้องลูกน้อยสุดที่รักของเราได้ทันครับ
>>> อ่านรายละเอียด...คลิกเลย

2. ล้างมือแบบเร็วๆ...เชื้อโรคยังมากกว่าก้นของเราเสียอีก
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แก้กันยากจริงๆ สำหรับเด็กยุคปัจจุบัน เพราะเด็กมักจะคู่กับความขี้เกียจ(หรือเรียกให้ถูกและชัดเจนก็คือมักง่าย) อาศัยความสะดวกและรวดเร็วเข้าว่า เพราะใจร้อนมั่ง และสาเหตุอื่นอีกสารพัดที่จะอ้าง แต่รู้หรือไม่ว่าการล้างมือที่ไม่ถูกต้องนั้นเป็นสาเหตุของการนำเชื้อโรคเข้ามาสู่ตนเองทั้งนั้น เพราะเชื้อโรคต่างๆ สามารถอาศัยอยู่ได้ในทุกสถานที่และทุกสิ่งที่เราสัมผัส ยิ่งถ้าหากบ้านเรือน โรงเรียน หรือครอบครัวของเราไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องของการล้างมือด้วยแล้ว อันตรายถึงชีวิตกำลังตามหาและเกือบจะไล่ทันเราแล้ว
>>> อ่านรายละเอียด...คลิกเลย

3. อ้วนท้วนน่ารัก...สิ่งที่พ่อแม่สันบสนุนให้ลูกตายเร็วขึ้น
พอกันทีกับคำอดีตโบราณที่ว่าเด็กแข็งแรงคือเด็กที่อ้วนท้วนสมบูรณ์เพราะยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว อาหารการกินสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่พ่อแม่ยังเป็นเด็ก สมัยนี้อาหารจะเป็นประเภทที่ทานเข้าไปแล้วอ้วนง่ายทั้งนั้น เด็กจึงเป็นโรคอ้วนตั้งแต่วัยยังไม่เข้าอนุบาลด้วยซ้ำไป พ่อแม่ก็หลงเข้าใจผิดว่า ความอ้วนคือความสมบูรณ์แข็งแรงของลูก แต่มันกลับส่งผลร้ายมาให้ลูกของเราที่จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน หัวใจ ความดันสูง โรคไต และอีกสารพัดโรค ลองอ่านบทความต่อไปนี้ดูก็แล้วกัน
>>> อ่านรายละเอียด...คลิกเลย

4. เด็กเล่นเกมเป็นการฝึกสมาธิ...คิดผิดถนัด
เคยได้ยินพ่อแม่หลายคนบอกว่าลูกตนเองมีสมาธิสั้นก็เลยแก้ด้วยการให้ลูกเล่นเกมคอมพิวเตอร์เพื่อให้ลูกได้จดจ่ออยู่ที่เกมจะได้มีสมาธิยาวนานขึ้น ขอบอกไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เลยว่า ไม่เป็นความจริงแม้แต่นิดเดียว การที่เด็กเล่นเกมได้นานขึ้น ไม่ได้ขึ้นกับสมาธิเด็ก แต่เพราะตัวเกมที่มีการเปลี่ยนแปลงแทบจะตลอดเวลาต่างหากที่ทำให้เด็กเล่นเกมอยู่ได้ ไม่เชื่อลองให้ลูกอ่านหนังสือดูสิ เปรียบเทียบระหว่างก่อนเล่นเกมและหลังเล่นเกมก็ได้ แต่อย่าทำแบบมีเงื่อนไขนะ เช่น ถ้าอ่านไม่จบไม่ต้องเล่นเกม เป็นต้น เพราะถ้ามีเงื่อนไขเด็กจะทำเพื่อให้ได้เล่นเกม แต่ลองเปลี่ยนเกมที่ไม่ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงฉากหรือเป็นเกมประเภทความรู้ดูซิ ลูกเล่นได้นานไหม ลองศึกษาบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูนะครับ
>>> อ่านรายละเอียด...คลิกเลย

5. ลูกเป็นคนน่ารักที่บ้านอย่าคิดว่าจะเป็นแบบนั้นที่โรงเรียน...เด็กมีบุคลิกที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ได้
เนื่องจากการที่เด็กกลัวการถูกทำโทษจึงทำให้เด็กมักจะมีบุคลิกอย่างน้อย 2 ลักษณะขึ้นไป อาจจะดูเหมือนการปรับตัว แต่เป็นการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดให้พ้นภัยจากที่เป็นอยู่ เท่าที่จะประสบกับปัญหาก็คือ ผู้ปกครองมักจะบอกกับครูว่าอยู่ที่บ้านลูกเรียบร้อย ช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่าง ทำการบ้านและเล่นเกมหรือคอมเป็นเวลา ไม่เชื่อว่าอยู่ที่โรงเรียนลูกจะเป็นคนไม่ได้ หนีเรียน ขี้เกียจส่งงานและเสพยาเสพติด ลองมาอ่านบทความนี้ดูครับ
>>> อ่านรายละเอียด...คลิกเลย

6. โรงเรียนต้องสั่งสอนลูกให้ดีเพราะลูกอยู่โรงเรียนมากกว่าอยู่บ้าน...คาดหวังไว้มากเกินไปหรือเปล่า
มีผู้ปกครองหลายท่านเข้าใจผิดและโยนความรับผิดชอบให้กับครูที่โรงเรียนเพราะคาดหวังไว้ว่า ครูสามารถสั่งสอนให้ลูกได้ดิบได้ดีได้เหมือนที่ตนเองเคยประสบมา แต่ลืมไปว่ายุคมันเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าครูไม่ทำหน้าที่เหมือนอดีต แต่เป็นเพราะความกดดันของสังคมที่มุ่งหวังให้ครูทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในขณะเดียวกันก็ต้องต่อสู้กับภัยรอบด้านของนักเรียน เช่น ผู้ปกครองซื้อมือถือให้ เด็กก็เอามาโทรนัดกันไปทำอะไรต่างๆ ที่ครูอาจจะคาดคิดไม่ถึง เอามาดูคลิปต่างๆ บ้าง ถ่ายรูปบ้าง ฟังเพลงบ้าง กลับกลายเป็นว่าใช้โทรศัพท์ในการดึงดูดความสนใจไปจากการเรียนหนังสือ ครูไม่สามารถจะดูแลได้ทั่วถึงทั้งหมด เพราะพ่อแม่เองก็สนับสนุนให้ลูกทำอย่างนั้น อย่างน้อยก็ควรจะให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียน เพราะการที่โรงเรียนตั้งกฏระเบียบอะไรขึ้นมาสักข้อต้องคิดแล้วคิดอีกและคิดว่าดีที่สุดแล้วจึงให้ใช้ อยากให้ผู้ปกครองช่วยทำหน้าที่พ่อและแม่ให้ดี่ที่สุดก่อนเมื่อลูกอยู่ที่บ้านส่วนหน้าที่ขัดเกลาจะเป็นของโรงเรียนเอง เพราะเบ้าหลอมของลูกย่อมมาจากที่บ้านเท่านั้น โรงเรียนเพียงแต่จะตบแต่งให้ดูดีและเข้ากับสภาพสังคมที่เป็นอยู่ให้ได้
>>> อ่านรายละเอียด...คลิกเลย

7. รักลูกย่อมไม่ตามใจลูก...ในทางที่ไม่ดี
บางคนรักลูกมาจนหลงลูก เพราะคิดว่าการที่ตามใจลูกทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก แต่ทราบหรือไม่ว่า การตามใจลูกนั้น เท่ากับสนับสนุนให้ลูกเดินทางผิดได้ง่าย เพราะลูกไม่เข้าใจหรอกว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นผิดหรือไม่ เข้าใจแต่ว่าสิ่งที่ทำนั้นถ้าหากพ่อแม่ไม่ว่าไม่ขัดขวางก็คงหมายถึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป คราวนี้ต่อให้ครูหรือคนอื่นมาตักเตือนหรือสั่งสอนลูกก็คงจะไม่ฟังแล้ว ขนาดพ่อแม่ยังไม่กล้าห้ามหรือไม่ขัดแล้วคนอื่นเป็นใครล่ะ เข้าข่ายอวดเบ่งว่าตนเองทำถูกทุกอย่าง
>>> อ่านรายละเอียด...คลิกเลย

ไม่ต้องโทษใครทั้งนั้น เราทุกคนควรมาร่วมใจกัน ปกป้องอันตรายจากสิ่งรอบๆ ตัว ปลูกฝังความดีงามตามขนบธรรมเนียมไทย สร้างความตระหนักและทักษะชีวิตให้เขาสามารถที่จะนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง โดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนและส่งผลดีกลับคืนตนเองกันดีกว่า .. นะครับ

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2553

Last Update : 23 ตุลาคม 2553 11:22:27 น.

0 comments

Counter : 605 Pageviews.