ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 
สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ-ไม่ควรทำ เมื่อลูกซนจนเจ็บตัว

สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ-ไม่ควรทำ เมื่อลูกซนจนเจ็บตัว

ในวันที่ลูกต้องเจ็บตัวเพราะความซนจากอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะวิ่งหกล้ม ชนเก้าอี้ หรือตกโต๊ะ วิธีการสอน หรือการปลอบของพ่อแม่แต่ละท่านย่อมแตกต่างกันไป บางคนใช้วิธีวิ่งเข้าไปโอ๋ บางคนตะโกนดุ หรือเอ็ดว่าเด็กต่าง ๆ นานา

ขณะที่บางคนอาจเมินเฉย และทำเป็นไม่สนใจลูกก็มี สรุปแล้ววิธีไหนควรทำ-ไม่ควรทำ วันนี้ ทีมงาน Life and Family มีแนวทางจาก ศ.ดร.นายแพทย์วิทยา นาควัชระ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัว สถาบันพัฒนาตนเอง และนักบริหาร คลินิกสุขภาพจิตมานำเสนอกัน

เมื่อพูดถึงเรื่องที่ลูกซนจนเจ็บตัว ไม่ว่าจะเจ็บด้วยอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเกิดในครอบครัวไทย จิตแพทย์ท่านนี้บอกว่า คงหนีไม่พ้นจะมีเหตุการณ์ดังนี้เกิดขึ้น คือ

- พ่อแม่ลุกขึ้นวิ่งไปโอ๋ ทำท่าตกอกตกใจปลอบเด็กมากมาย หรือทำหน้าตากังวล

- พ่อ หรือแม่คนใดคนหนึ่งอาจตะโกนดุ และเอ็ดลูกว่าซุ่มซ่าม เดินอย่างไรไปชนเก้าอี้ล้ม พ่อแม่จะนอน เดินระวังหน่อยซิ ซึ่งพ่อแม่ในกลุ่มนี้อาจจะนอน หรือลุกขึ้นดู และดุลูกด้วยความไม่พอใจก็เป็นได้

- พ่อแม่บางท่านอาจลุกขึ้นมาพร้อมโทษโต๊ะ เก้าอี้ว่า ทำไมไม่หลบลูกไป มาเกะกะทำไม ทำให้ลูกฉันชนเก้าอี้จนเจ็บ หรือไม่ก็หันไปทำเป็นตีเก้าอี้เหมือนเป็นการลงโทษ หรือหันไปโทษพี่เลี้ยงว่า หายไปไหนหมด ไม่ดูแลเด็กให้ดี

- หรือพ่อแม่บางคนไม่สนใจอะไรเลย เด็กอาจจะเงียบ หรือร้องไห้ก็ได้

แต่สำหรับต่างประเทศ จิตแพทย์ท่านนี้ ได้ยกตัวอย่างวีดีโอการสอนเมื่อครั้งที่เรียนสาขากุมารศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา โดยเนื้อเรื่องเปิดฉากด้วยเช้าวันหยุดที่พ่อแม่วัยหนุ่มสาวเริ่มต้นชีวิตด้วยการนอนอยู่บนเตียง มีลูกน้อยวัยประมาณ 2-3 ขวบ กำลังเดินซน ๆ ไปชนเก้าอี้ และของบนโต๊ะปลายเตียงล้มดังโครม พ่อแม่ตื่น และลุกขึ้น แทนที่จะเข้าไปโอ๋ ทำท่าตกอกตกใจ หรือดุลูก ตลอดจนโทษโต๊ะ โทษเก้าอี้ กลับลุกขึ้น หน้าตายิ้มแย้ม เดินมาดูลูก เห็นว่าลูกไม่บาดเจ็บอะไร ซึ่งพ่อพูดด้วยเสียงดังพร้อมรอยยิ้มว่า "ลุกขึ้นซิลูก เก่งมาก"



ขอบคุณภาพประกอบจาก //www.canada.com/health



ซึ่งตัวคุณพ่อในวีดีโอเรื่องนี้ พูดคำว่าเก่งมาก 2-3 ครั้ง ในขณะที่ลูกทำหน้าแหย ๆ ตอนแรก ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มหัวเราะและลุกขึ้นในที่สุด พ่อจึงพูดต่อไปว่า "ล้มแล้วลุกขึ้นได้นี่ เก่งมาก ดีมากนะลูก" และพ่อก็พูดต่อไปว่า "ไหนดูซิ เป็นอะไรบ้าง ไม่เจ็บมากใช่ไหม ไม่เป็นไรหรอก คราวนี้ถ้าจะเดินให้เดินดี ๆ นะ ไหน เก้าอี้มันล้มเกะกะใช่ไหม มาช่วยกันจัดให้มันเข้าที่ดี ๆ นะ"

พอจัดเสร็จ พ่อก็พูดว่า "เสร็จแล้ว เรียบร้อยแล้ว ทีหลังเดินระวังดี ๆ หน่อยนะลูก เจ้าไปเล่นได้แล้ว" ส่วนเด็กก็เดินไปเล่นอะไรต่อไป พ่อกับแม่ก็กลับไปนอนได้อีก

จากเรื่องดังกล่าว จิตแพทย์รายนี้ กำลังสะท้อนให้เห็นความแตกต่างว่า บ้านเราไม่ค่อยได้เห็นภาพความสัมพันธ์ การสั่งสอน ให้กำลังใจกันแบบนี้ในสังคมบ้านเรา ที่ให้กำลังใจแม้ในยามทำผิดแล้ว โดยหาเรื่องมาชมเชยให้เหมาะสม เช่น ล้มแล้วลุกขึ้น เก่งมากนะลูก ไม่ใช่ชมแบบเข้าข้างว่า ชนโต๊ะล้มแล้ว เก่งมากนะลูก ซึ่งไม่เป็นความจริง


ส่วนใหญ่เวลาลูกทำอะไรผิดพลาด พ่อแม่มักจะปลอบ หรือช่วยโอ๋มากไป หรือบางคนก็ดุว่า โทษ โกรธ ประณาม หรือเมินเฉย ไม่มีที่จะเข้าไปพูดให้กำลังใจว่า ล้มแล้วลุกนะลูก เก่งมาก ดีมาก ๆจากนั้น พอมีกำลังใจดีแล้ว จึงสอน และสาธิตให้จัดการกับข้อผิดพลาดอย่างง่าย ๆ ไม่บ่นว่า หรือตำหนิต่อไป

ด้วยแนวการสอนแบบนี้ เด็กจะเกิดกำลังใจ แม้ผิดพลาดก็กล้าทำใหม่ได้อีก เหมือนล้มแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ได้อีกเสมอ แถมได้รับการชมเชยว่า เก่งมาก ดีมากด้วย ทำให้เด็กจะมั่นใจว่า พ่อแม่รักเขาจริง แม้ในยามทำผิดก็ยังรัก และมีวิธีแสดงความรักอย่างเหมาะสม ไม่มากเกินไป ไม่น้อยไป และไม่ผิดวิธี เด็กจึงเกิดความรักพ่อแม่อย่างแน่ใจว่า มีคนรักเขาจริง ทำให้สามารถรักคนอื่นได้ ชื่อคนที่ควรเชื่อได้ไม่ระแวง มิใจตัวเองตามความเป็นจริง ซึ่งแม้จะทำผิดก็ยังภูมิใจได้ และจะเกิดกำลังใจทำใหม่ให้ดีขึ้น

เมื่อโตขึ้น ถ้าเด็กทำอะไรผิดพลาดในชีวิตอีก ก็จะลุกขึ้น และทำกิจกรรมใหม่ ๆ ได้ พร้อมทั้งได้ยินเสียงปลอบให้กำลังใจจากประสบการณ์ชีวิตว่า ล้มแล้วลุกขึ้นซิลูก เก่งมาก ดีมาก

กับความสำคัญนี้ "อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ" ได้ใช้วิธีเดียวกันกับตัวอย่างข้างต้นในการสอน และปลอบลูก เพราะเชื่อว่า จะทำให้ลูกเรียนรู้ถึงความเจ็บตามความเป็นจริง โดยอี้เล่าให้เราฟังว่า เวลาลูกเจ็บตัวจากความซน เขาจะพยายามสอนให้ลูกเรียนรู้จากความเจ็บ และปลอบลูกอย่างมีสติ เพราะไม่เช่นนั้น อาจเป็นการทำร้ายโดยไม่รู้ตัวได้

"เวลาลูกเจ็บไม่ควรบอกลูกว่า ไม่เป็นไร ๆ ไม่เจ็บ ๆ แต่ควรพูดกับลูกว่า เจ็บนะเดี๋ยวก็หายนะ แล้วมาเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาเบื้องต้น เพราะถ้าปฏิเสธสิ่งที่ลูกเป็น หรือสิ่งที่ลูกกำลังเจ็บ ก็เท่ากับว่า พ่อแม่ได้ปฏิเสธตัวตนของลูกไปด้วย ดังนั้นควรสอนเขาด้วยเหตุผลของความเป็นผู้ใหญ่ในความเป็นเด็กของเขาว่าเจ็บเดี๋ยวก็หาย" พ่ออี้เผย

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ พ่อแม่หลายๆ ท่านคงจะทราบกันแล้วนะครับว่า เมื่อลูกซนจนเจ็บตัว การสอน หรือการปลอบแบบไหนถึงจะสร้างสรรค์ และเหมาะสมกับเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรข้าม เพราะหากสอนผิดวิธี อาจเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อมได้



ที่มา
//www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000175520


Create Date : 14 ธันวาคม 2553
Last Update : 14 ธันวาคม 2553 13:09:12 น. 0 comments
Counter : 579 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.