ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
14 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
ฝึก 9 ข้อ สอนลูกรับมือภัยร้ายในชีวิตประจำวัน

ฝึก 9 ข้อ สอนลูกรับมือภัยร้ายในชีวิตประจำวัน/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

ดูเหมือนสถานการณ์ภัยร้ายในยุคปัจจุบันจะเพิ่มมากขึ้น และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงทุกขณะ และกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดก็หนีไม่พ้นเด็กและสตรีที่มักกลายเป็นเหยื่อของภัยร้ายในชีวิตประจำวัน

ท่ามกลางสถานการณ์ข่าวร้ายๆ ที่เกิดขึ้นทุกวี่วัน จึงอยากชวนพ่อแม่ ผู้ปกครองหันมาตระหนักถึงความสำคัญในการปกป้อง ดูแล และป้องกันไม่ให้ลูกหลานของเราตกเป็นเหยื่อของภัยร้ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งต้องเริ่มอย่างจริงจังได้แล้ว

พ่อแม่ควรเตรียมตัวและรับมืออย่างไร ?

ประการแรก – สอนให้ลูกเข้าใจถึงเรื่องความปลอดภัย และไม่ปลอดภัยในชีวิตประจำวัน อย่าคิดว่าลูกเล็กเกินไปไม่เข้าใจ แต่ให้ดูวัยของเขาและสอนให้เหมาะกับวัย ให้ลูกได้เรียนรู้อย่างเหมาะสม และฝึกให้ลูกระมัดระวังตัว ถ้าเป็นเด็กเล็ก ต้องฝึกไม่ให้ลูกไปกับคนแปลกหน้าหรือรับของจากคนแปลกหน้า ฝึกลูกปฏิเสธให้เป็น หรือสอนให้ลูกได้เรียนรู้ว่าในสังคมมีทั้งคนดีและไม่ดี ฯลฯ

ประการที่สอง – เมื่อลูกเริ่มโต ควรสอนให้ลูกเรียนรู้เรื่องการป้องกันตัวเอง เรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัว อาจหยิบยกสถานการณ์ให้ลูกคิดตามก็ได้ เช่น ถ้าเกิดสถานการณ์เช่นนี้ ลูกจะทำอย่างไร และชวนกันคิดต่อไปเรื่อยๆ ด้วยการสมมติสถานการณ์ที่อาจเป็นข่าวด้วยก็ได้ อย่าคิดว่าไม่มีทางเกิดขึ้นกับลูกเราเด็ดขาด แต่ควรสอนให้ลูกได้เรียนรู้ว่ามันอาจเกิดขึ้นกับเราก็ได้ แล้วถ้าเกิดขึ้นเราควรทำอย่างไรต่างหาก

ประการที่สาม – ฝึกให้ลูกเป็นเด็กสังเกตสิ่งรอบตัว ต้องยอมรับว่า เด็กในยุคสมัยก่อน เป็นเด็กที่มีความสังเกตสิ่งรอบตัวมากกว่าเด็กในยุคปัจจุบัน เพราะเด็กยุคนี้มักจะหมกมุ่นอยู่กับเทคโนโลยี เวลาอยู่ในที่สาธารณะหรืออยู่บนรถ เรียกว่าแทบจะทุกหนทุกแห่ง เราจะเห็นเด็กจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือ และไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ซึ่งทำให้บรรดาพวกมิจฉาชีพสบโอกาสในการทำสิ่งไม่ดีได้ง่าย

ประการที่สี่ – ฝึกให้ลูกจดจำสิ่งต่างๆ ที่จำเป็น ทั้งโทรศัพท์ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือจำสถานที่ตั้งของบ้าน รวมไปถึงฝึกการจดจำสถานที่ใกล้เคียงกับสถานที่สำคัญ เผื่อว่าเกิดเหตุการณ์ใด แล้วสามารถบอกจุดต่างๆ ได้ เช่น จดจำชื่อซอยบ้านตัวเอง วิธีสังเกต หรือเวลาขึ้นรถแท็กซี่ควรจะจดหรือจำหมายเลขทะเบียนรถ และมองหน้าคนขับรถว่ามีจุดสังเกตใดที่จดจำได้ง่าย เมื่อฝึกเรื่อยๆ เด็กก็จะเรียนรู้และหมั่นจดจำได้โดยอัตโนมัติ

ประการที่ห้า – ฝึกให้ลูกมีสติ เพราะเวลาเกิดเหตุใดขึ้นมา ถ้าขาดสติ ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ ได้ หรืออาจจะเป็นอันตรายด้วยซ้ำ ยกตัวอย่าง กรณีที่เคยเกิดขึ้นเมื่อต้นปีที่โจรขโมยรถแล้วไม่รู้ว่ามีเด็กนอนอยู่ท้ายรถ แต่เด็กคนนั้นตั้งสติได้ดีมาก รีบปรับโทรศัพท์มือถือจากเสียงเป็นสั่นทันที เพราะรู้ว่าเดี๋ยวแม่ต้องโทรเข้ามาหาตัวเองแน่ แล้วใช้วิธีส่งข้อความหาแม่ว่าตอนนี้โจรขับรถผ่านที่ใดบ้าง และอาศัยช่วงที่โจรจอดรถ รีบวิ่งลงไปที่ร้านค้า แล้วแจ้งให้คนช่วยเหลือ จนสามารถรอดปลอดภัยได้ ตรงกันข้าม ถ้าเด็กคนนี้ขาดสติ เมื่อเห็นโจรขโมยรถแล้วเกิดร้องตะโกน เพราะกลัว เมื่อโจรเห็นก็อาจกลายเป็นอันตรายได้

ประการที่หก – ฝึกให้ลูกระมัดระวังในการรับสื่อ อย่าปล่อยให้ลูกดูทีวีโดยลำพัง พ่อแม่ควรจะอยู่ด้วยและอรรถาธิบายให้ลูกเข้าใจ โดยคำนึงถึงวัยของลูกเป็นหลัก ถ้าเด็กเล็กก็อธิบายแบบง่ายๆ ถ้าเด็กโตขึ้นมาหน่อยก็สามารถอธิบายได้ซับซ้อนมากขึ้น และเพิ่มความระมัดระวังและการสังเกตเข้าไปด้วย ถ้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น ก็ถือโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูก รวมถึงให้ลูกมีส่วนร่วมในการเสนอแนะด้วย

ประการที่เจ็ด – ฝึกให้ลูกช่วยกันดูแลความปลอดภัยในโรงเรียนของตัวเอง ถ้าเห็นอะไรผิดสังเกตบอกให้ลูกแจ้งคุณครูทันที รวมไปถึงการเอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติจากบทเรียนที่โรงเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องอธิบายให้ลูกฟังว่า ลูกควรตั้งใจเรียนและพยายามจดจำ ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งอาจได้นำมาใช้จริง ดังเช่นกรณีที่เคยเกิดไฟไหม้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา และมีคุณแม่ชาวต่างชาติคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าเธอรอดชีวิตมาได้ เพราะลูกสาววัยอนุบาลของเธอ ที่บอกว่าให้คลานต่ำๆ เวลาเกิดเพลิงไหม้ เพราะคุณครูที่โรงเรียนสอนมา และเธอก็ทำตาม จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือสองแม่ลูกในที่สุด

ประการที่แปด – ฝึกให้เห็นความสำคัญของชุมชน ชีวิตจากนี้ไปต้องคิดถึงเพื่อนบ้าน ต้องสร้างชุมชนให้เข้มแข็งให้ได้ เพราะที่ผ่านมา เราใช้ชีวิตประหนึ่งตัวใครตัวมัน บ้านใครบ้านมัน ธุระไม่ใช่ แต่หากเราสร้างชุมชนให้เกิดขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เราก็จะช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบเห็นอะไรผิดปกติ ก็ต้องบอกกัน ช่วยเหลือกัน เพราะเมื่อเกิดภัยร้าย ก็จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ อย่าหวังหรือรอการดูแลจากภาครัฐอย่างเดียว เพราะไม่มีทางจะดูแลทั่วถึงอย่างแน่นอน

ประการสุดท้าย – สร้างจิตสำนึกต่อส่วนรวมให้เกิดขึ้นกับลูกหลานของเรา ถ้าเห็นภัยใดๆ ต่อหน้าต่อตา ควรสอนให้ลูกรู้จักขอความช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ดูดายกับความไม่ถูกต้อง หรือถ้ามีโอกาสใดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ก็ควรลงมือ แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วย

ทั้ง 9 ประการเป็นเรื่องที่พ่อแม่ ผู้ปกครองควรฝึกลูกให้ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยตั้งแต่เล็ก เพราะภัยร้ายในชีวิตประจำวันมีอยู่รอบตัว ปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก ฉะนั้น การเรียนรู้ การรับมือ และเตรียมป้องกันภัยร้ายในหลากหลายรูปแบบก็จำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย ต้องรู้เท่าทันภัยร้ายที่ซับซ้อนมากขึ้นนั่นเอง

ทักษะเรื่องความปลอดภัยในชีวิตของเด็กบ้านเรายังต่ำมาก เพราะส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่ก็คือค่านิยมและทัศนคติของพ่อแม่ยังคงเน้นเรื่องการเรียนวิชาการของลูกเป็นเรื่องแรกเสมอ ลองคิดดูว่าถ้าลูกเราเรียนเก่งมาก แต่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ หรือไม่สามารถป้องกันตัวเองเมื่อภัยมาถึงตัว

แล้วคุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อถึงเวลานั้น..!!!


ที่มา
//www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000137836


Create Date : 14 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2555 7:33:22 น. 0 comments
Counter : 696 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.