ไม่ว่าจะเรียนต่อนอกที่ไหน เรื่องเงินซัพพอร์ตค่าเรียนต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ปวดหัวสำหรับหลายๆคนเนอะ โดยเฉพาะคนที่มาเรียนเกาหลี ใจจริงๆอยากเข้ามหาลัยดังๆ แต่ดั๊นไม่มีทุน มีก็แต่อีกมหาลัยนึง ที่จริงๆแล้วไม่ค่อยอยากเข้านัก (เช่น มหาลัยหญิงล้วน อยู่มัธยมก็หญิงล้วนแล้ว ต่อโทชั้นยังต้องเจอแต่ผู้หญิงอีกเรอะ ม่ายยยย TOT) แต่ดันออกทุกอย่างทั้งค่าเรียน ที่พัก ค่ากินอยู่ ก็เลยต้องเบนเข็มไปมุ่งมั่นกับทุนนั้นแทน
อยากบอกว่ามหาลัยในเกาหลี ถึงจะไม่มีทุนที่ cover ทุกอย่างให้ แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีลดค่าเรียนให้เล็กน้อย ไปจนถึงทั้งหมดให้กับนักศึกษาต่างชาติ เพื่อโปรโมตความเป็น global ของมหาลัยอยู่แล้ว ถ้าอยากเข้ามหาลัยนั้นจริงๆ ให้ลองสมัครดูก่อน ถ้าได้ก็ค่อยลองต่อรองกับมหาลัยดู ออกค่ากินอยู่เองก็คงจะไม่ลำบากมาก เพราะค่าใช้จ่ายในเกาหลีเอาจริงๆก็ไม่ได้แพงกว่าไทยเยอะ (ยกเว้นค่าเช่าบ่าน) อีกทั้งบางทุน (ยกเว้นทุนรัฐบาล) ก็ใช่ว่าจะให้ค่ากินอยู่เยอะนะ (เช่น ทุนอีฮวา 300000วอน=9,000 บาทไทยต่อเดือน อยู่ในกทม.ยังไม่พอเล้ยย)
2. ดูสาขาวิชา ไปจนถึงรายวิชาที่ต้องเรียน
ก่อนสมัคร ไม่ใช่แค่ มหาลัยที่ชั้นอยากเข้ามีคณะนิเทศ แล้วก็กรอกลงใบสมัคร โดยที่ไม่ได้ดูเลยว่าเค้ามีสอนวิชาอะไรบ้าง เป็นอะไรที่พลาดมากๆ ตอนพิชสมัครใจจริงอยากเรียน digital media หรือเน้นไปทาง advertising นะ แต่ปรากฏว่าวิชาที่สอนด้านนั้นมีน้อยมากๆ ในขณะที่มหาลัยจะเน้นไปทางข่าว (journalism) และวิทยุโทรทัศน์ (ิbroadcasting) ซะมากกว่า นอกจากนี้แล้ว เนื้อหาที่เรียนยังเน้นไปทางงานวิจัยซะส่วนใหญ่ ไม่ได้เน้นปฎิบัติอย่างที่ตั้งใจไว้อีก ถึงแม้ว่าในภายหลังพิชจะมาค้นพบว่างานวิจัย และจิตวิทยาสื่อที่ได้จากวิจัยนั้น ก็เป็นอีกสิ่งนึงที่เราชอบ แต่กันไว้ก่อนก็ดีกว่านะ
หลายเว็บคณะจะมีแต่รายละเอียดเป็นภาษาเกาหลี (ที่เราอ่านไม่ออกซักตัว) ลองเมลล์ไปถามทางคณะ หรือ admission office ดู (admission office ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเจ้าหน้าที่คณะ เพราะมีเด็กต่างชาติสมัครเรียนเยอะ) ไม่ก็วานเพื่อนเอกเกาหลีให้ช่วยแปลให้ หรือลองใช
//endic.naver.com แปลเอง ฝึกตั้งแต่ตอนนี้ เพราะถึงเวลาไปอยู่เกาจริงๆ เทอมแรกก็ต้องพึ่งพาตัวเองอยู่ดี
3. เรียนหลักสูตรอินเตอร์ vs. เกาหลี
หลายๆคนใจจริงไม่ได้อยากเรียน MBA หรือ international studies แต่เนื่องจากเมเจอร์ที่อยากเรียน ไม่มีหลักสูตรอินเตอร์ เรียนเป็นเกาหลีก็ไม่ไหว เลยจะลงเรียนอันนั้นแทน อยากบอกว่าจริงๆพิชก็เคยคิดจะไปเรียน MBA แทนนะ แต่พอมาคิดดูดีๆ สิ่งที่เราอยากเรียนรู้จริงๆไม่ใช่สิ่งนั้น แล้วเราจะเสียเวลา เสียความพยายาม เรียน finance เรียนบัญชี ที่เราไม่ชอบไปเพื่อแค่ให้ได้อยู่เกาหลีงั้นหรอ? แต่พิชก็ขอยอมรับว่าเคยแนะนำเพื่อนและน้องหลายคนที่มาเรียนหลักสูตรเกาหลี แล้วเรียนไม่ไหว หรือคนที่กำลังจะมาเรียนที่เกาหลี ให้ลองดูหลักสูตรอินเตอร์เป็นอีกทางเลือกนึง เพราะมันหนักจริงๆ ไม่ใช่แค่วิชาที่เรียน แต่มันยังมีเรื่องของกำลังใจ ความมุ่งมั่น การเอาตัวรอด ต่างๆ (ดีกรีความหนักหนาแล้วแต่คณะ คนในคณะ และความสามารถทางภาษาเกาหลีของตัวเอง) พิชเลยขอสรุปตามประสบการณ์ตัวเอง และที่ได้เจอมาตามนี้นะคะ
คนที่เหมาะกับหลักสูตรอินเตอร์
1. เป็นเมเจอร์ที่เราอยากเรียนพอดี
2. ไม่ได้ภาษาเกาหลีเลย/ ได้ภาษาเกาหลีต่ำกว่า TOPIK 3
3. ไม่เคยอยู่เกาหลี เรียนภาษาที่เกาหลีนานๆมาก่อน (หรือกะจะแลนด์ปุ๊บเรียนโทเรย ไม่มีเวลาเรียนภาษาที่เกาหลีก่อน)
4. เคยเรียนอินเตอร์ที่ไทยอยู่แล้ว/ เก่งอิงค์อยู่แล้ว
5. ไม่ใช่ติ่ง (จากปสก. เด็กติ่งจะทนกับวัฒนธรรมเกาหลี และคนเกาหลีในคลาสได้มากกว่าคนไม่ติ่ง)
6. จบแล้วไม่ได้อยากทำงานบริษัทเกาหลี หรือใช้ภาษาเกาหลีในการทำงาน
7. มีความจำเป็นรีบเรียนให้จบ (ส่วนใหญ่อินเตอร์เรียนแค่ปีครึ่ง)
คนที่เหมาะกับหลักสูตรเกาหลี
1. เมเจอร์ที่อยากเรียนไม่มีอินเตอร์
2. อังกฤษไม่เก่งมาก รู้สึกว่าเรียนอินเตอร์ก็โหดพอกัน
3. เรียนภาษาที่เกาหลีมาซักพักแล้ว/ ได้ TOPIK สามขึ้นไป (ทั้งในแง่การอยู่รอด+requirement มหาลัยในเกาหลีบังคับ TOPIK level 3 up)
4. อยากซึมซับถึงความเป็นเกาหลี วัฒนธรรมเกาหลี อยากลองเป็นนักเรียนเกาหลี เป็นติ่งเกาหลี
5. ซัพพอร์ตค่าเรียนแพงๆไม่ไหว (หลักสูตรเกาหลีค่าเรียนถูกกว่าอินเตอร์)
6. จบช้าที่บ้านไม่ซีเรียส (ถึงหลักสูตรจะบอกเรียน 2 ปีแต่ธรรมดาเรียนกันสองปีครึ่ง นอกจากจะขยันมากๆ ถึงมากที่สุด+โชคดีได้อจ.ที่ปรึกษาดี)
7. อยากทำงานบริษัทเกาหลี ทำงานที่เกาหลี หรือเผื่อเป็นล่ามในอนาคต
เกณฑ์ที่พิชสรุปมามาจากการวิเคราะห์ ประสบการณ์ของตัวเอง และที่เห็นจากคนอื่นมาล้วนๆ จริงๆแล้วมันไม่มีหลักสูตรตายตัวว่าถ้าเราเป็นทั้ง 7 ข้อนี้ เราจะต้องเรียนหลักสูตรภาษานี้ เพียงแต่จากปสก. คนที่มีคุณสมบัติข้างต้น จะเรียนอย่างมีความสุขดี (ไม่ใช่ตัวอยู่เกาหลี แต่พร่ำเพ้อบนเฟสบุ้ค แสตนด์บายรอดูสามีตีตราทุกวันพฤหัส) และประสบความสำเร็จ เรียนจบอย่างที่ตั้งใจได้เท่านั้นเอง
คราวหน้าจะมาต่ออีก 4 ข้อที่เหลือนะคะ ^^
*Credit photo from blog.daum.net