Wolf True Blood ตอนที่ 7 กระวนกระวาย



จิมมี่สะดุ้งตื่นขึ้นตามอาการเขย่าปลุกของร็อบผู้เป็นน้องชายสีหน้าของพ่อบ้านทิมและร็อบทำให้เขาสลัดความงัวเงียเพื่อรับฟังสิ่งที่พรั่งพรูออกจากปากของร๊อบค่ำคืนที่วุ่นวายในหมู่บ้านแมนซาทุกคนเข้านอนพักกันเป็นปกติตกดึกเพราะความอ่อนล้าของร่างกายทำให้ทั้งสามคนหลับสนิทและไม่รู้ว่าไคล์ได้หายตัวไปตั้งแต่เมื่อใด จนกระทั่งเช้าพ่อบ้านทิมซึ่งออกตามหาทั่วทั้งหมู่บ้านก็ไม่พบสอบถามจากคนของทาลิม ได้ความว่าเมื่อคืนมีฝูงหมาป่าเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวไร่คนของทาลิมซึ่งเป็นเวรยามในช่วงนั้นได้ออกไปขับไล่พวกหมาป่าแต่ก็ไม่มีใครเห็นว่าไคล์ได้ตามออกไปร่วมขับไล่ด้วย จะสอบถามเอากับทาลิมหมอนั่นก็ข้ามเขาไปหาสมุนไพรตั้งแต่เช้ามืด แม้แต่ไอ้หนุ่มนักรบฝึกหัดที่เขาสอบถามมันก็มีงานยุ่งต้องไปตัดไม้เพื่อมาสร้างรั้วป้องกันสัตว์ร้ายเขาจึงต้องมาบอกกล่าวแก่ร็อบเพื่อให้ออกตามหาอีกแรง

“ลุงทิมคุณชายของลุงไม่ได้ออกไปหาสมุนไพรกับทาลิมหรอกนะ” จิมมี่เย้าพ่อบ้านชราน้ำเสียงแม้จะพยายามให้เป็นเรื่องธรรมดาแต่สีหน้าก็ไม่ได้เป็นตามนั้น

“ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้หรอกครับคุณชายเป็นห่วงคนเจ็บสองคนนั่น”

“หรือว่าไคล์จะอยู่กระท่อมหมอผีกันล่ะ”

“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยครับประตูกระท่อมปิดแน่น เงียบกริบยังกับบ้านร้าง ผมลองไปสอบถามดูแล้วไม่เห็นใครพบเจอคุณชายสักคน”

“ไคล์ไม่น่าจะไปไหนโดยไม่บอกนะ”ร็อบรำพึงมีสีหน้ากังวลเห็นได้ชัด

“เราจะทำอย่างไรกันดีคุณชายหายตัวไปเสียเฉยๆคนหมู่บ้านนี้สอบถามใครก็ไม่ได้ความสักคนหรือว่าเราไปหาหัวหน้าเผ่า บางที เฒ่าลิบ้าอาจจะรู้ก็ได้นะ”

“รอสักพักก่อนดีไหมนี่มันเช้าตรู่มากๆ เราโวยวายไปชาวบ้านจะแตกตื่นเสียเปล่าเผื่อว่าไคล์จะไปทำธุระส่วนตัวอะไรแถวนี้” จิมมี่กล่าวเตือนจึงทำให้ทั้งสองคนที่เข้ามาปลุกได้คิด ตัวจิมมี่เองก็ไม่ต่างจากทั้งสองคน แต่เขาก็ยังคิดในแง่ที่ว่าไคล์อาจจะออกไปสำรวจอะไรแถวนี้ อีกอย่างปืนพกของไคล์ก็หายไปด้วยคาดว่าน่าจะติดตัวไปหากเกิดอันตรายขึ้น ก็พอมีอะไรป้องกันตัวแต่นี่แม้แต่เสียงปืนก็ไม่ได้ยิน เขาหวังว่ามันจะไม่มีอะไร

ทั้งสามคนนั่งคุยกันเงียบๆรอให้พวกชาวบ้านซึ่งออกไปไร่กลับเข้ามาซึ่งแต่ละทีมจะแบ่งงานกันทำ พวกที่ไปไร่จะไม่กลับเข้าหมู่บ้านจนกว่าจะเย็นพวกที่ไปเก็บพืชพรรณ หรือของป่า หรือวางกับดักสัตว์เอาไว้แต่วานกลุ่มนี้จะกลับเข้าหมู่บ้านตอนสายๆ ก่อนจะออกไปอีกครั้งตอนใกล้ค่ำพวกเก็บสมุนไพรก็จะกลับมาบ่าย ไม่ก็เย็นๆตามแต่จะหาสมุนไพรได้เพียงพอแล้วชนเผ่าแมนซาแบ่งงานกันทำตามความถนัด ผลผลิตนอกจากจะเก็บไว้กินภันภายในหมู่บ้านแล้วปีหนึ่งจะเอาผลผลิตไปแลกเป็นสิ่งของจำเป็นจำพวกเครื่องมือทำไร่ เชือก เสื้อผ้าปีนและกระสุน เกลือ เวชภัณฑ์บางอย่างจำพวกยาใส่แผลสดยารักษาโรคแทบจะไม่นำกลับไปเพราะพวกเขาแข็งแรงกันมากและถิ่นที่อยู่ก็ล้วนแต่ธรรมชาติไม่มีสารเคมีอะไรพอที่จะเกิดโรคอะไรร้ายแรงที่เจ็บป่วยตามฤดูกาลก็มียาสมุนไพรชั้นเลิศอยู่แล้ว

ตะวันขึ้นสูงขับไล่ละอองหมอกให้หายไปเวลาที่ผ่านไปก็ยิ่งทำให้ความมั่นใจความหวังที่น้อยนิดของทั้งสามคนลดลงไปเรื่อยๆผู้คนที่เดินกลับเข้าหมู่บ้านไม่มีใครเห็นไคล์

โบซา..คนสนิทของเฒ่าลิบ้าหัวเหน้าเผ่าเดินนำขบวนหญิงสาวซึ่งเถินถาดหวายใบเขื่องมีผ้าฝ้ายคลุมมามิดชิดตรงมายังกระท่อมของทั้งสามคน โบซามากับหนุ่มร่างกำยำที่เขาเห็นเมื่อวานทั้งสองคนทำหน้าที่เป็นองครักษ์ของโบซาหญิงที่เถินถาดวางลงบนกลางกระท่อมเรียบร้อยก็ ถอยออกไปยืนอยู่มุมหนึ่งโบซาทรุดตัวลงนั่งบนเบาะนั่งที่หนึ่งทั้งสามคนนั่งลงค่อนข้างเกร็งเล็กน้อยด้วยกริ่งเกรงในลักษณะท่าทีของโบซา

“เชิญรับประทานอาหาร”โบซาเชื้อเชิญใบหน้าที่ถมึงทึงตามลักษณะของเผ่าพันธุ์เสียงห้าวใหญ่คล้ายดังเสียงกลองทึบๆเอ่ยขึ้น ทั้งสามลังเลอยู่ครู่นึง จิมมี่ซึ่งกล้าหาญเปิดผ้าคลุมออกกลิ่นของอาหารซึ่งปรุงสุกใหม่โชยกรุ่น เรียกน้ำย่อยในกระเพาะได้เป็นอย่างดี

แผ่นแป้งซึ่งย่างไฟจนนุ่มหอมแกงอะไรสักอย่างสีออกแดง ทั้งเนื้อสัตว์ปรุงกับเครื่องเทศบางอย่าง จัดวางมาในภาชนะมีฝาปิดมิดชิด ผลไม้ป่าลูกโตสดฉ่ำน่าลิ้มลองแต่ทั้งสามคนกลับมองนิ่งไม่มีใครลงมือสักคนสร้างความแปลกใจให้กับโบซายิ่งนัก

“คนของพวกท่านยังไม่กลับเข้ามาหรอกหรือ”หัวใจของร็อบกระตุกวาบคำถามมันตรงกับสิ่งที่ต้องการสอบถามอยู่พอดี

“คนของเรายังไม่กลับมาท่านพอจะรู้ไหมว่าเขาไปไหนกับคนของท่านหรือเปล่า”

“เมื่อคืนวุ่นวายกันพอดูคนของเราต้องออกไปช่วยกันกับพวกเฝ้ายามแทบจะได้นอนกันไม่กี่ชั่วยามก็ต้องออกไปทำงานกันแล้ว”โบซายิ้มแต่ดูคล้ายสะแหยะเสียมากกว่า แต่นั้นก็ทำให้ใบหน้าที่ดูดุดันละมุนลง

“คนของพวกท่านมีใครพบเห็นคนของเราบ้างหรือไม่”

โบซาหันไปส่งภาษากับยักษ์ใหญ่ทั้งสองกันอยู่สักครู่สีหน้าที่ดูไม่ออกเพราะแสดงสีหน้าเดียวทำให้เดาได้ยากว่ามีเรื่องอะไรดีหรือร้ายได้แต่มองทั้งสองโต้ตอบกันสลับไปมาอยู่อย่างนั้น สักพักโบซาก็ลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไปก่อนจะนึกได้และหันกลับมาบอกกับทั้งสามคนด้วยน้ำเสียงเดิม

“เมื่อคืนมีเรื่องวุ่นวายมากกว่าที่คิดโบซาจะออกไปสอบถามอะไรหน่อยพวกท่านกินอาหารกันก่อนเถิดอย่าออกไปไหนโดยไม่มีคนของโบซานำทาง “

สั่งจบโบซาก็ออกไปพร้อมกับยักษ์องครักษ์ทั้งสองปล่อยให้ทั้งสามคนมองตามอย่างสงสัย ปากซึ่งอ้าค้างมีคำถามรอพรั่งพรูออกมาจำเป็นต้องกลืนลงคอหันมามองหน้ากันเอง

“เอาอย่างไรกันดี”ร็อบเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งมองตากันมาพักใหญ่ จิมมี่หลุบตาลงมองอาหารในภาชนะถอนหายใจเบาๆก่อนจะหยิบแผ่นแป้งฉีกเป็นคำตักแกงข้นเป็นมันส่งเข้าปากเคี้ยวเงยหน้าขึ้นพยักหน้ายิ้มให้ทั้งสองคนซึ่งมองทุกกิริยาอย่างไม่เข้าใจ

“แกงนี่รสชาตดีนะลองสักหน่อยซิ”จิมมี่ฉีกแผ่นแป้งส่งให้ทั้งสองคนซึ่งรับมาโดยอัตโนมัติเมื่อจิมมี่ทำกิริยาคยั้นคยอก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารไปเงียบๆ

จิมมี่ซ่อนสายตาวิตกกังวลไว้อย่างมิดเม้นเสแสร้งเบี่ยงเบนอารมณ์นั้นเอาไว้หมดผู้นำอย่างไคล์ คงเป็นเขาที่จะเป็นหลักให้กับคนที่เหลือเขาต้องคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไรจึงจะรู้ข่าวคราวของไคล์หมู่บ้านแมนซามีอะไรที่ลึกลับแปลกๆแม้จะไม่เป็นพวกป่าเถื่อนชนิดกินคนแปลกหน้าก็เหอะแต่อาการดุดันก็ยังสร้างความหวั่นหวาดในใจอยู่ลึกๆ

หลังจากอิ่มอาหารกันเรียบร้อยขบวนผู้หญิงซึ่งยกอาหารมาให้ก็เข้ามาเก็บกลับไป ทั้งสามคนจึงออกมานอกกระท่อมไม่เห็นโบซาและสององครักษ์ แต่เป็นเด็กหนุ่มรุ่นๆถือไม้พลองยาวๆยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว

“โบซาให้ข้ามาพาพวกท่านไปโปรดตามข้ามาทางนี้” เจ้าเด็กนั่นบอก ทั้งสามคนอยากจะสอบถามเอาความแต่เมื่อมาคิดดูเด็กคงไม่รู้เรื่องอะไรจึงเดินตามไปเงียบๆ

ทางที่เดินตามเด็กไปเพื่อไปพบกับโบซานั้นพอพ้นเขตหมู่บ้านก็เป็นเส้นทางเดินไปไร่ซึ่งคนในหมู่บ้านคงใช้เส้นทางนี้เป็นประจำดูจากเป็นเส้นทางที่กว้างพอที่เกวียนจะแล่นไปได้อย่างสบายสองข้างปลูกข้าวเอาไว้เต็มทุ่งกำลังเขียวขจีสุดลูกตา มีคนดูแลอยู่ในทุ่งไม่มากนัก

“นี่เจ้าหนูผู้คนไปไหนกันหมดไม่เห็นมีใครมาทำงานกันเลยหรือ”

เด็กน้อยหันมายิ้มแยกเขี้ยว“ ช่วงนี้ไม่ต้องดูแลอะไรมากหรอกนาย รอให้ข้าวสุกจึงจะมา”

“แล้วเขาไปไหนกันหมด”

“อยู่บนเขา.. “เด็กตอบแล้วก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกแต่กลับพาเดินอ้อมไหล่เขาเลียบไปตามลำน้ำคงเป็นเส้นทางที่ใช้สัญจรประจำริมฝั่งน้ำไม่ใช่ทางราบเรยบอะไรกลับเต็มไปด้วยก้อนหินเล็กบ้างใหญ่บ้าง เจ้าหนูผู้นำทางปีนป่ายคล่องแคล่วผิดกับทั้งสามคนที่ต้องค่อยๆปีนป่ายไปอย่างระวัง เพราะเต็มไปด้วยตะไคร่และมอส ทั้งวัชพีชจำพวกพุ่มหนามก็เกาะเกี่ยวเสื้อผ้าดึงรั้งให้เสียหลักหกล้มหกลุกทิมซึ่งหัวเข่าไม่ค่อยดีอยู่แต่ก่อนดูจะทุลักทุเลเอาการทั้งสองพี่น้องจึงต้องคอยช่วยพยุงไต่ตามกันไปจะกระโดดข้ามอย่างเจ้าเด็กนั่นก็เห็นจะไม่ไหว

หลุดจากไต่โขดหินก็เป็นลานหินกลมแบนๆเต็มไปทั้งหาด เจ้าหนูไกด์ที่แสนดียืนยิ้มยิงฟันอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่พอทั้งสามเดินมาถึงก็ทำท่าจะเดินต่อร๊อบซึ่งบ่นกะปอดกะแปดตั้งแต่มันพาไต่โขดหินมาถึงกับต้องเอ่ยปาก

“เดี๋ยวก่อนพ่อรูปหล่อหยุดให้พักหายใจหน่อยเถอะนะเอ็งจะรีบไปเข้าเส้นชัยหรือไงวะ” ร็อบว่าแล้วก็บ่นงึมงัมอีกยาวยืดเด็กซึ่งฟังไม่ค่อยทันทำหน้าตาเลิกลั่กไม่เข้าใจภาษาว่าหมายถึงอะไร

“หยุดพักสักเดี๋ยวเถอะนะ” จิมมี่เข้าไกล่เกลี่ยเมื่อเห็นเด็กน้อยทำท่าจะให้พวกเขาตามไปตามคำสั่งของโบซา

“มีอะไรรีบร้อนถึงกับรอไม่ได้ทีเดียวหรือ”

“โบซาได้ร่องรอยของคนที่พวกท่านตามหา”

“ถ้าอย่างนั้นรีบไปกันเถิดคุณจิมมี่คุณร็อบ”ทิมกัดฟันลุกขึ้นยืนจนขาสั่นระริก

“ลุงไหวหรือครับ”ร็อบถามด้วยความเป็นห่วง

“ผมจะพยายามตามให้ทันครับ”ทิมหันมาตอบคำถาม“อีกไกลไหมเจ้าหนูนำไปเถิด” ทิมผู้รักไคล์ราวกับชีวิตของตัวเองออกแรงเดินตามเด็กชาวป่าไปด้วยความหวัง..ทั้งกังวล

ลานหน้าผาเหนือลำน้ำสีฟ้าอมเขียวใหลแรงซัดซ่าอยู่เบื้องล่างมีเรือไม้ขุดหยาบๆหลายลำล่องอยู่ตามริมตลีงบนลานมีคนของโบซาเดินกระจายอยู่รอบๆ ส่งภาษาดั้งเดิมของเผ่าทั้งสามคนตรงไปยังโบซาซึ่งยืนคอยอยู่ดวงตาภายใต้กระบอกตาโหนกกว้างแสดงอาการที่ไม่ค่อยจะเป็นข่าวดีนัก

เสียงตะโกนโหวกเหวกดังอยู่ด้านล่างของลำน้ำโบซาตะโกนลงไปถามก็เห็นหนึ่งในกลุ่มคนชูผ้าสีดำขึ้นให้ดูพยายามจะอธิบายแต่เพราะหน้าผาสูงทั้งเสียงน้ำซัดผ่านแก่งหินใหญ่น้อยสายลมที่พัดค่อนข้างแรงทำให้ได้ยินอะไรฟังไม่ได้ใจความ

“คนของโบซาเจอของบางสิ่งอยากให้พวกท่านช่วยไปดูหน่อยว่าจะใช่ของคนที่ท่านตามหาหรือไม่”

ทั้งสามพยักหน้าจิตใจร้อนรนแทบจะอยากออกวิ่งไปยังจุดที่โบซากล่าวถึงโบซาก็เหมือนจะเข้าใจรีบพาเดินลัดเลาะลงจากหน้าผาไปยังริมแม่น้ำ พอมาถึงกระแสน้ำที่เห็นด้านบนว่าใหลแรงแล้วลงมาถึงแทบจะเรียกได้ว่าเชี่ยวกราก ถ้ามีอะไรหล่น เพียงกระพริบตาสิ่งนั้นก็ลอยล่องไปแสนไกลยากที่จะค้นหาพบเจอได้ง่ายๆ ทั้งแก่งหิน คุ้งน้ำก็มีกระจายอยู่ทั่วลำน้ำลูกสมุนของโบซากระจายตัวออก เมื่อโบซาเดินมาถึง และส่งเสื้อสีดำมาให้ทั้งสามคนเมื่อเห็นเสื้อตัวนั้น หัวใจก็หล่นวูบ อยากจะคิดในแง่ดีแต่เสื้อที่ขาดวิ่นเป็นเสื้อที่ไคล์ใส่เมื่อวาน

“โบซาเสียใจ..ดีลี่เฝ้ายามเมื่อคืนเล่าว่าเขากับทาลิมได้ไล่ตามฝูงหมาป่ามาด้านนี้และยิงหมาป่าร่วงลงแม่น้ำเพราะเขาเห็นว่าหมาป่าสามตัวกำลังล้อมกรอบคนของท่านดีลี่เองก็เสียใจที่ช่วยค้นหาคนของท่านไม่พบ แม่น้ำใหลเชี่ยวมาก” โบซาถ่ายทอดสิ่งที่ดีลี่เล่าให้ฟังแปลเป็นภาษาเมืองอีกครั้ง

“จะเป็นไปได้ไหมว่าคนของเราใหลไปตามกระแสน้ำอาจจะจุดใดจุดหนึ่ง ถ้าเราตามลำน้ำไป” จิมมี่หารือดวงตาแดงก่ำ ผิดกับพ่อบ้านทิมถึงกับทรุดตัวลงนั่งหมดแรงดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาด้วยความอาลัยรักอย่างสุดซึ้ง

“โบซาจำเป็นต้องบอกความจริงจุดที่ค้นพบเสื้อตัวนี้อยู่ไกลออกไปมากคนของโบซาบอกว่ามีรอยลากขึ้นฝั่งและรอยเท้าหมาป่าขนาดใหญ่มาก..”โบซาหยุดคำพูดเพียงแค่นั้นก็พอจะเดาออกว่าหมายถึงอะไร“ถ้าท่านอยากไปดูโบซาจะจัดคนนำทางไปให้”

จิมมี่และร๊อบมองหน้ากันนิ่งในเชิงเอาไงกันดี ความรู้สึกทั้งหวาดกลัวและวิตกกังวลจู่โจมจนคิดอะไรไม่ทันเรียบเรียงไม่ถูก ลุงทิมผู้เฒ่ากลั้นสะอื้นอย่างน่าสงสารหากพาแกไปดูในสภาพนี้แกจะรับไหวหรือเปล่า แม้แต่เขาทั้งสองคนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างถึงได้เกิดขึ้นเร็วนัก เมื่อวานยังนั่งกินข้าวหารือกันอยู่เลย

“หากไม่เป็นการรบกวนเราขอไปดูจุดที่พบเสื้อเถิดนะโบซา.”จิมมี่รวมรวมความเข้มแข็งเอ่ยขึ้น

“โบซาจะจัดการให้..”โบซารับคำและหันกลับไปสั่งคนของเขา

จิมมี่จึงหันมาบอกคนของตนบ้าง “ร๊อบนายกลับไปที่หมู่บ้านกับลุงทิมพี่จะไปดูให้เห็นกับตาว่าน้องของเรา..พี่จะพยายามหาร่องรอยให้มากที่สุดบางทีสิ่งที่ดีลี่เห็นอาจจะไม่ใช่ก็ได้..ไคล์อาจจะยังมีชีวิตอยู่”

พี่ชายบุญธรรมผู้มีความผูกพันกับน้องชายกำพร้าซึ่งได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันพักหนึ่งได้แต่ภาวนาต่อพระเจ้าที่นับถือ ขอเพียงมีความหวังน้อยนิดน้องชายของเขายังมีชีวิตอยู่อาจจะมีใครสักคนช่วยเหลือเอาไว้ เขาเชื่อเช่นนั้น..

จุดที่ดีลี่ค้นพบเสื้อของไคล์อยู่ไกลจากหน้าผามากกว่าที่คิด การเดินเท้าลัดเลาะริมน้ำปีนป่ายตามการหักเหของสายน้ำ เส้นทางไม่ได้เดินง่ายสักนิด คนของโบซาทำหน้าที่เป็นผู้นำทางสิบคนได้เหตุที่ต้องมาเยอะ เพราะใกล้เขตหวงห้ามและมีสัตว์ร้ายอาจจะเป็นอันตรายและคิดว่าคนเผ่าแมนซาคงจะเคารพในกฏข้อนี้อย่างเคร่งครัด สังเกตได้จากป่าที่หนาทึบรกรุงรังไปด้วยเถาวัลย์ต้นไม้สูงไม่มีร่องรอยการสัญจรของคนเผ่าแมนซาแสงแดดแทบจะส่องไม่ถึงพื้นดินด้วยซ้ำ ดีลี่ใช้ภาษาเมืองไม่คล่องนักแต่ก็พอสื่อสารกันได้ พยายามอธิบายว่าป่าแถบนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาสำรวจ นอกจากแม่เฒ่าลอจีซึ่งปลูกกระท่อมอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน อาณาบริเวณนี้เป็นที่นางได้สั่งความกับพ่อเฒ่าลิบ้า ไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาใกล้นอกจากเจ้าใบ้ซึ่งเป็นคนนำสเบียงอาหารมาส่งทุกสัปดาห์ ยายเฒ่าลอจีไม่มีตำแหน่งอะไรในหมู่บ้านแต่พ่อเฒ่าลิบ้าก็ให้ความเคารพยำเกรง ดีลี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้นักเพราะตัวมันเองก็ฟังผู้อาวุโสเล่ามาอีกที

จิมมี่เดินสำรวจร่องรอยจุดที่ดีลี่บอก..พื้นทรายบปนกรวดยากที่จะสังเกตุเห็นอะไรได้มากนักแต่รอยหินกรวดที่พลิกกลับด้านเหมือนกับมีของหนักลากจากแม่น้ำจุดนี้เป็นคุ้งน้ำใหลค่อนข้างเอื่อยเป็นไปได้ว่าไคล์อาจจะแค่สลบไปและถูกลากขึ้นมาด้านบนรอยเท้ากดลึกบนทราบบางแห่งเป็นรอยเท้าของสัตว์ขนาดใหญ่จิมมี่เดินตามรอยไกลจากจุดที่ดีลี่ค้นพบเสื้อตกอยู่ รอยลากเห็นชัดขึ้นรวมทั้งรอยย่ำของสัตว์และรอยที่ทำให้เขาชะงักหยุดพิจารณาถี่ถ้วน คือรอยเท้าของมนุษย์กดย้ำบนหญ้าอ่อนซึ่งเพิ่งแทงยอดขึ้นจากพื้นดินถ้าไม่สังเกตดีๆก็จะไม่เห็น รอยลากหยุดอยู่แค่นั้น แต่ปรากฏรอยเท้ามนุษย์จิมมี่ใจชื้นขึ้นบ้างความหวังที่ไคล์จะยังมีชีวิตเป็นไปได้มาก..เขาเดาเหตุการณ์ต่อไปไม่ออกหรอกว่ารอยเท้าหมา และอยู่ดีๆเป็นรอยเท้ามนุษย์ จะอย่างไรก็ตาม จิมมี่มีความรู้สึกว่า ไคล์ยังมีชีวิตอยู่แค่ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกัน..



Smileyขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน ยังเข้ามาอ่านกันอยู่

Smileyขอบคุณครับ (กราบ)





Create Date : 03 มิถุนายน 2558
Last Update : 5 มิถุนายน 2558 16:39:04 น.
Counter : 232 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wynter289
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]