ครม.นายพล /ยุคนายกตู่ /ปราปต์ บุนปาน

มีปรากฏการณ์น่าสนใจหลายแง่มุม จากการปรับ ครม.ครั้งล่าสุด

แง่มุมหนึ่งที่คงหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงไปมิได้ ก็คือ 

จำนวนของนายทหารระดับพลเอก/พลอากาศเอก/พลเรือเอก 

ในคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน

ข้อมูลเชิงประจักษ์ระบุชัดว่า ครม.ประยุทธ์ 3 

มีนายทหารระดับพลเอกเข้าร่วมเป็นสมาชิก 

(รวมถึงตัวนายกรัฐมนตรีเอง) มากถึง 14 คน

มากกว่า ครม.ประยุทธ์ 1 และ 2 อยู่สองคน 

โดยนายทหารระดับพลเอกที่ถูกเรียกมาสมทบ

ในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งหลังสุด 

ก็คือ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์

และ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล

ถือเป็นจำนวนอันน่าสนใจ เมื่อเปรียบเทียบกับ ครม. 

ที่นำโดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ภายหลังรัฐประหารกันยายน 2549 ซึ่งมีนายทหารระดับพลเอกเข้าร่วมคณะรัฐมนตรีในช่วงเริ่มต้น

เพียง 3 คน

ก่อนที่ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน จะตามเข้ามาสมทบ 

หลังเกษียณอายุราชการ

ถือเป็นจำนวนอันน่าสนใจ เมื่อเปรียบเทียบกับ ครม. 

ที่นำโดย นายอานันท์ ปันยารชุน ภายหลังรัฐประหารกุมภาพันธ์ 2534 ซึ่งมีนายทหารระดับพลเอกเข้าร่วมคณะรัฐมนตรีแค่ 8 คน

ปรากฏการณ์ว่าด้วยจำนวนนายทหารระดับพลเอก

ใน ครม.ประยุทธ์ 3 แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คสช. 

มีความมั่นใจในตัวบุคลากรของกองทัพไทยอย่างสูงยิ่ง

พลวัตของคณะรัฐมนตรีที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ฉายภาพให้เห็นว่า เมื่อ "เทคโนแครต" จากโลกราชการยุคเก่า 

ถูกดึงเข้ามา ในท้ายที่สุด พวกเขาก็มีโอกาสจากลาไป

คงไม่ต่างอะไรกับ "มืออาชีพ" ในโลกธุรกิจยุคใหม่ (กว่า) 

ผู้พยายามเข้าไปมีส่วนผลักดันหรือกำหนดนโยบายสาธารณะ 

โดยแยกห่างตนเองออกจาก "นักเลือกตั้ง" ให้มากที่สุด 

ซึ่งถูกดึงเข้ามาแทนที่

ที่โอกาส "อยู่" หรือ "ไป" อาจมีพอๆ กัน 

หากไม่สามารถกระตุ้นสภาพเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

ที่ตั้งมั่นแน่นอน กลับกลายเป็นสมาชิก ครม. ระดับพลเอก

จากสามเหล่าทัพ มิใช่แค่การเพิ่มนายพลหน้าใหม่เข้ามา

ทว่า นายพลหน้าเก่าผู้ถูกประเมินว่า 

อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่แคล่วคล่องเหมาะสม

กับบทบาทเจ้ากระทรวงสำคัญๆ ก็ได้รับการผลักดันให้ขึ้น

ไปดำรงตำแหน่งรองนายกฯ กันถ้วนหน้า

ขณะที่นายพลอีกหลายคน ถูกปรับย้ายในระนาบ 

รมว. ไปนั่งว่าการยังกระทรวงอื่นๆ

เหล่านี้ล้วนบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่น

ของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า บุคลากรระดับสูงของกองทัพ 

มีศักยภาพมากเพียงพอ ในการร่วมกำหนดทิศทางของประเทศ

คงมีความเชื่ออยู่ลึกๆ ในหมู่ผู้มีอำนาจยุคปัจจุบันว่า 

ในสภาวการณ์ที่อะไรต่อมิอะไรยังไม่เรียบร้อยลงตัวเช่นนี้ 

ทหาร คือ กลุ่มคนที่ไว้วางใจได้มากที่สุด

คงมีความเชื่ออยู่ลึกๆ ในหมู่ผู้นำประเทศยุคปัจจุบันว่า 

ในสภาวการณ์ที่สดมภ์หลักอื่นๆ ซึ่งเคยช่วยธำรง "ความเป็นชาติ"

เอาไว้ ต่างตกอยู่ในสภาพอ่อนแรง

หรือภาวะต้องเร่งซ่อมแซมปฏิรูปตนเอง

กองทัพย่อมเป็นเสาหลักเดียว ที่แข็งแรงพอจะแบกรับภาระหนักหนา

ในการนำประเทศเอาไว้บนบ่า

อย่างไรก็ตาม "ชาติ" ไม่ใช่สิ่งหยุดนิ่งตายตัว 

และมักต้องเผชิญหน้ากับปัญหาท้าทายใหม่ๆ เสมอ

เหตุระเบิดที่ใจกลางกรุงเทพมหานครเมื่อสัปดาห์ก่อน 

แสดงให้เห็นถึงปัญหาท้าทายใหม่ๆ 

ซึ่งยังไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่า 

เกิดจากปัจจัยภายในหรือภายนอกชาติ เกิดจากมูลเหตุเดิมๆ 

หรือมูลเหตุที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน

(หรือว่าเกิดจากมูลเหตุปัจจัยทั้งหมดผสมผสานกันไป)

น่าเชื่อเช่นกันว่า ประชาชนย่อมคาดหวังให้คณะรัฐมนตรีชุดล่าสุด 

ที่เต็มไปด้วยนายทหารระดับพลเอก 

ผู้เคยผ่านงานด้านความมั่นคงของประเทศมาอย่างโชกโชน

สามารถตอบคำถามค้างคาใจเหล่านั้น 

และสะสางคดีความมั่นคงดังกล่าว ได้โดยกระจ่างชัด-รวดเร็ว/จบ

......................................................................................