กับคำถามที่ว่า "ชาวพุทธควรมีท่าทีต่อโลกสมัยใหม่อย่างไร?" ในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ แน่นอนคำตอบย่อมมีหลากหลาย สะท้อนความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นผลจากจินตนาการทางการเมืองที่แตกต่างกันด้วย มุมมองที่แตกต่างดังกล่าวอาจ จำแนกชาวพุทธออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ นั่นคือ .... ชาวพุทธอนุรักษนิยม ....กับ ชาวพุทธเสรีนิยม
ชาวพุทธอนุรักษนิยม ให้ความสำคัญกับ "ศรัทธา" ต่อความดีงามตามหลักศาสนา การรักษาประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามซึ่งผูกโยงอยู่อย่างแนบแน่นกับศีลธรรมทางศาสนา และสถานะก่อนเก่า (status quo) พวกเขาไม่เห็นความสำคัญของการปรับเปลี่ยน หรือเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง เพราะวัฒนธรรมไทย ความเป็นพุทธเถรวาท และการมีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจนั้นประเสริฐสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว พวกเขามองหาคนดี เพื่อผลักดันให้คนดีมีอำนาจ ศรัทธาในความดี ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับหลักศีลธรรมทางศาสนา พวกเขามีทัศนคติต่อการเมืองสมัยใหม่ ตามระบอบประชาธิปไตย ว่าเป็นเรื่องของกิเลส ผลประโยชน์ และการแย่งชิงอำนาจ สิ่งที่พวกเขามองเห็นคือนักการเมืองโกง คอร์รัปชั่น การซื้อเสียง และชาวบ้านที่ฟุ้งเฟ้อเห่อวัตถุ พวกเขามองประชาธิปไตยเป็นอิทธิพลของโลกตะวันตก ที่สร้างความโกลาหลและเสื่อมถอยให้กับวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่พวกเขาศรัทธานับถือ
พุทธศาสนาคือเสาหลักสำคัญที่ค้ำจุนความมั่นคงของชาติและความเป็นศูนย์รวมใจ คนทั้งชาติของพระมหากษัตริย์ และพุทธศาสนาไทยก็ส่งเสริมการตีความคำสอน อย่างสอดคล้องไปกับอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นสำคัญด้วย เช่น ศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ลูกที่ดีต่อเชื่อฟังพ่อแม่ ความกตัญญูกตเวที การเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ แต่เราจะไม่เคยได้ยินว่าพุทธศาสนาไทยสอนให้คนเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง รู้จักตั้งคำถาม เปิดใจกว้าง หรือเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนเล็กคนน้อย
ชาวพุทธเสรีนิยม ให้ความสำคัญกับ "สติปัญญา" และความเป็นเหตุเป็นผล พวกเขาเคารพหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ในฐานะรากฐานจิตวิญญาณของสังคมสมัยใหม่ พวกเขาเห็นถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกันบนวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความหลากหลาย โดยไม่ยกความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งให้มีอำนาจหรืออิทธิพลเหนือความเชื่ออื่น สังคมสมัยใหม่จำเป็นต้องมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะนับถือความเชื่อศาสนาแบบใดก็ได้ จะตีความศรัทธาและประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรก็ได้ จะไม่มีศาสนาก็ได้ ตราบใดที่ไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น รัฐไม่มีหน้าที่เข้าไปกำหนด บังคับ หรือควบคุมในเรื่องนี้ ซึ่งการส่งเสริมบรรยากาศของเสรีภาพและการปลดปล่อยเช่นนี้เอง ยิ่งจะทำให้พุทธธรรมมีความโดดเด่นในเนื้อหาสาระมากขึ้นไปอีก
ความเป็นพุทธสนับสนุนการกล้าตั้งคำถาม การเสวนา แลกเปลี่ยน ถกเถียง ตีความ ก้าวข้ามการยึดมั่นถือมั่นทางความคิด และเปิดกว้างต่อการเข้าไปทำความรู้จักประสบการณ์ความทุกข์ ในโลกสมัยใหม่ในแง่มุมต่างๆ พวกเขาไม่ได้มองการเมืองจำกัดอยู่ที่ความดีหรือความชั่ว แต่มองการเมืองในฐานะ "พื้นที่" ของการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ การจัดตั้งพรรคการเมือง การนำเสนอนโยบาย และการลงสมัครเป็นตัวแทนประชาชน เพื่อเข้าไปเป็นปากเป็นเสียง และนำเสนอแนวคิดและจินตนาการใหม่ๆ ให้แก่สังคมที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่ง พวกเขาไม่รีบตัดสินหรือยึดมั่นในตัวบุคคล ดีอาจแปรเปลี่ยนเป็นชั่ว ชั่วอาจแปรเปลี่ยนเป็นดี
สำคัญอยู่ที่เหตุปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาะการตระหนักถึงปัจจัยที่ซับซ้อนของบริบท และโครงสร้างทางการเมืองแบบสมัยใหม่ การต่อสู้ทางการเมืองดำเนินไปอย่างมีหลักเกณฑ์ เหตุผล ประชาชนแต่ละฟากฝั่งการเมืองสามารถแลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็น ตรวจสอบ ถกเถียง รวมถึงขัดแย้งกันได้ โดยไม่ใช้อารมณ์และความเกลียดชังเป็นที่ตั้ง หากการมีอยู่ของสถาบันทางการเมืองใดไม่ส่งเสริมบรรยากาศทางการเมืองที่เปิดกว้างเช่นนี้ ก็จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปเชิงโครงสร้างให้อำนาจยึดโยงอยู่กับประชาชน การสร้างสำนึกประชาธิปไตยต่างหากคือการคำนึงถึงประโยชน์ส่วนร่วมที่แท้จริง การอ้างคนดีหรือความดี โดยเอาเกณฑ์วัดของตนเป็นศูนย์กลาง เป็นเพียงข้ออ้างของความเห็นแก่ตัว และการรักษาผลประโยชน์ทางการเมืองอันซับซ้อนในแบบหนึ่งเท่านั้น
แม้ในปัจจุบัน ชาวพุทธไทยส่วนใหญ่จะยังคงเป็นชาวพุทธอนุรักษนิยมจากการถูกอบรมปลูกฝัง มาแต่อ้อนแต่ออก แต่นับวันกระแสการตั้งคำถามต่อท่าทีที่พุทธศาสนาไทยมีต่อโลกสมัยใหม่ ก็เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่เริ่มรู้สึกถึงความไม่เป็นเหตุเป็นผลและการประยุกต์ ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้ของคำสอนทางศาสนา จำนวนมากรู้สึกแปลกแยกต่อคุณค่าทางศีลธรรม และความดีงามตามประเพณี ที่ขัดแย้งกับบริบทปัจจุบันอย่างไม่เข้าใจไม่ได้ พวกเขาเริ่มรู้สึกอึดอัดกับการถูกยัดเยียด การเทศนา การชี้นำว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ อะไรถูกหรืออะไรผิด บางครั้งอยากจะเถียงก็เถียงไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์ไปก็ถูกหาว่าไม่เหมาะสม อะไรที่ได้ชื่อว่าความดีทำไมช่างตายตัวและแข็งทื่อ ไม่มีพื้นที่ให้กับคำถาม ประสบการณ์ หรือการตีความใหม่ๆ เอาเสียเลย ท่าทีที่สถาบันศาสนามีต่อโลกสมัยใหม่เป็นอะไรที่น่าตั้งคำถามสำหรับพวกเขา
โดยเฉพาะการเผยแผ่ศาสนา ในรูปแบบส่งเสริมศรัทธาและความเชื่อภายใต้สถานะ และโครงสร้างที่ไม่สอดคล้องกับสำนึกประชาธิปไตย เป็นศาสนาพุทธภายใต้โครงสร้างแบบเผด็จการ ที่ไม่สนใจว่าสังคมจะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือเสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือไม่ จะมีนักโทษทางความคิดอยู่ในคุกอยู่อีกกี่คน ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางชนชั้นจะมีอยู่อย่างไร สิทธิมนุษยชนจะถูกละเมิดต่อไปอีกกี่มากน้อย เรากำลังส่งเสริมศีลธรรมพุทธและวัฒนธรรมไทย อันดีงาม ในแบบที่ไม่จำเป็นต้องเคารพสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค แต่สามารถละเมิด ลิดรอน กดขี่ให้คนไม่เท่ากันอยู่หรือไม่?
หากเป้าหมายคือการปกปักพิทักษ์ศาสนาให้อยู่รอดต่อไปในโลกสันนิวาสแบบสมัยใหม่ ศาสนาพุทธก็สามารถกลายเป็นศาสนาแห่งการเพิกเฉยต่อความทุกข์ทางสังคม ขัดฝืนต่อการเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมการยึดมั่นถือมั่นในอัตลักษณ์ตัวตน โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกรู้สาต่อความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ที่ตนกำลังเป็นส่วนหนึ่งก็ได้อย่างนั้นหรือ?
แน่นอนครับว่า การรักษารากทางวัฒนธรรมนั้นเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ต้องเป็นวัฒนธรรมที่มีชีวิต พร้อมที่จะเรียนรู้และเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงด้วย บรรยากาศของวัฒนธรรมพุทธที่เปิดกว้าง เปิดรับความเห็นต่างทางความคิดได้ ย่อมเอื้อให้ทั้งแนวคิดอนุรักษนิยมและเสรีนิยมอยู่ร่วมกัน ผสมผสานกัน และปะทะกันเป็นความตื่นได้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ต้องฆ่ากันด้วยความเกลียดชัง หรือความรุนแรง การเคารพความเห็นต่างทางความเชื่อและศรัทธาถือเป็นหัวใจสำคัญของการเมือง แบบสมัยใหม่ สำนึกประชาธิปไตยจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากต่อการอยู่รอดของพุทธศาสนาในอุษาคเนย์ ณ เวลานี้ เช่นเดียวกันกับแง่มุมทางจิตวิญญาณ แก่นพุทธธรรมอย่าง "การไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน" หรือ "ความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์" จะมีความสำคัญไม่น้อยเลย หากคำสอนเหล่านั้นได้ถูกนำไปใช้ปฏิบัติจริงในพื้นที่ทางการเมือง//จบ ที่มา : คอลัมน์ ธรรมนัว มติชนรายวัน โดย วิจักขณ์ พานิช .................................................................................................................................................................................... ความเห็นส่วนตัว มีโอกาสอ่านแนวคิด ของคุณวิจักขณ์ พานิชเกี่ยวกับศาสนาพุทธ แล้วชอบมาก เลยต้องเก็บสะสมไว้ประเทืองปัญญาตัวเอง และนำมาฝากเพื่อนๆที่สนใจ อยากให้ พระสงฆ์ องค์เจ้า ได้เรียนรู้ รวมทั้งคนรุ่นใหม่ ชี้แนะ อธิบายให้ชาวพุทธเข้าใจความเชื่อมโยงที่เป็นรากเหง้าของแก่นแต่ละกิ่ง นึกถึงวิชาพุทธศาสนาที่เป็นหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการทุกระดับ แล้วเศร้าใจ ถึงเวลาต้องปรับปรุงแล้วนะ อีกทั้งควรให้วิชาเหล่านี้เป็นวิชาบังคับให้ทุกคณะระดับอุดมศึกษาต้องเรียน เพื่อพึ่งพาบรรยากาศการจัดการเรียนการสอนสิ่งดีๆที่เป็นแก่นของชีวิต ซึ่งมีอยู่ครบถ้วนในศาสนาพุทธให้มากขึ้น ปรารถนาให้วงการสงฆ์เร่งเข้ามามีบทบาทการบริหารจัดการ "การยกระดับการเรียนรู้" เรื่องนี้ อีกทั้งสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติยิ่งต้องเร่งมือช่วยกันแล้ว/เตือนใจ เจริญพงษ์
....................................................................................................................................................... |