*บทความเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ทาง วารสารยุติธรรม ฉบับที่๒ เดือนธันวาคม ๒๕๕๐ -มกราคม ๒๕๕๑ นานแล้วคะ แต่ขอนำมาเผยแพร่อีกครั้ง มีเนื้อหาดังนี้
ปวงชนชาวไทย ต่างปลื้มปิติ และร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวร่วมกันจัดทำกิจกรรมเฉลิมพระเกียรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสพระชนมายุครบ 80 พรรษา โดยเฉพาะกิจกรรมการทำความดีเพื่อถวายในหลวงของเรา สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนชาวไทย และชาวต่างประเทศ มีความรัก ความผูกพัน และจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์พระองค์นี้อย่างหาที่สุดไม่ได้ เรื่องราวดังกล่าวยังถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่น่าจดจำยิ่งในประวัติศาสตร์ไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงพระยศเป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดชได้ประสูติ ณ ตึกฟิลก์ของโรงพยาบาลเคมบริดจ์ เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาซูเซส สหรัฐอเมริกา ถือเป็นพระมหากษัตริย์ไทยเพียงพระองค์เดียวที่เสด็จพระราชสมภพในสหรัฐอเมริกา และทรงเจริญวัยในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงเป็นนักเรียนในประเทศนี้ทรงเรียนภาษาฝรั่งเศสและภาษาเยอรมันได้เป็นอย่างดีต่อมา ทรงศึกษาภาษาอังกฤษอย่างแตกฉาน ด้วยพระราชกรณียกิจ และพระปรีชาสามารถในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงงานนักที่สุดในโลก โดยทรงขจัดปัดเป่าทุกข์ยากของราษฎรและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน มีผลทำให้พระเกียรติยศของพระองค์เลื่ยงลือและทรงเป็นที่เคารพรักของทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศมาตลอด
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้พบเห็น ชื่อ จัตุรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือKing Bhrumibol Adulyadej Square ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาซูเซส สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นจัตุรัสที่สะท้อนให้เห็นความภาคภูมิใจของชาวเคมบริดจ์ในฐานะที่เมืองนี้เป็นสถานที่แห่งเดียวในสหรัฐอเมริกาที่เคยมีพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชสมภพ ชาวเมืองแห่งนี้สนใจในพระราชกรณียกิจของพระองค์มาช้านานประกอบกับความพยายามที่จะให้เมืองเคมบริดจ์มีส่วนร่วมเฉลิมพระเกียรติ ในฐานะที่มีความผูกพันกับพระองค์ มีครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลซึ่งเสด็จสวรรคต พระองค์ได้ตัดสินพระทัยเสด็จไปทรงศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยให้สำเร็จทรงเปลี่ยนวิชาวิศวกรรมศาสตร์ที่ทรงโปรดเป็นอย่างยิ่งไปทรงศึกษาวิชากฎหมายและรัฐศาสตร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการปกครองประเทศ เมื่อประชาชนทราบข่าวว่าพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ เป็นระยะเวลานาน ต่างพากันมาส่งเสด็จ และห้อมล้อมรถยนต์พระที่นั่ง
อย่าละทิ้งประชาชน มีตำนานเล่าขานว่าเสียงของประชาชนทำให้พระองค์ทรงตอบประชาชนไปว่า ตัวประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งประชาชนอย่างไรได้
ความเป็นพระมหากษัตริย์ที่ใกล้ชิดกับราษฎร เป็นศิลปะครองใจครองคนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงมีอิทธิพลต่อบทบาทของพระองค์ ในการเป็นพระมหากษัตริย์ยุคใหม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลพระเชษฐาของข้าพเจ้ายังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ไม่มากนัก ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังสงครามเป็นช่วงที่ลำบาก ยากเข็ญ แต่พระองค์ได้ทรงว่างมาตรฐานของความเป็นพระมหากษัตริย์ในยุคใหม่โดยไม่ทรงรู้พระองค์ด้วยซ้ำเหล่าพสกนิกรต่างเฝ้ารอคอยพระประมุข เมื่อเสด็จสวรรคตพระชนพรรษาเพียง 20 พรรษา ยังทรงพระเยาว์และมีพระอนาคตสดใส่ ที่ว่า ยุคใหม่ ก็เพราะว่าในสมัยก่อนๆนั้น พระมหากษัตริย์มิได้ทรงเปิดเผยพระองค์มากนัก จึงเสมือนพระเจ้าอยู่หัวอามันทมหิดลได้พระราชทานสัญญาณเบิกฟ้าแก่ประชาชน แต่พระองค์ก็เสด็จจากไปเสียก่อน**
พระองค์ทรงเป็นนักประพันธ์เพลงที่ไพเราะและได้รับความนิยมทั้งชาวทายและชาวต่างประเทศเสมอมา มีเรื่องเล่ากันว่าครั้งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ณ กรุงปารีสซึ่งเป็นราตรีที่สามารถผูกพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบันได้อย่างรวดเร็วและลึกซึ่ง ถึงกับทรงพระราชนิพนธ์เพลงรักหวานซึ่ง คือเพลงวอลซ์ ชื่อ เพลงพาคู่ฝัน (Dream of love dream) ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานทำนองเพลงให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงนิพนธ์คำร้องเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ดังคำร้องว่า
แต่ฉันดวงใจผูกพันใฝ่ฝันทุกคืน
เฝ้าปองเคียงครองคู่ชื้นให้รื่นเริงใจ...
จวบวันทิวาเฉิดฉันตะวันสดใส
ฟ้าดลบันดาลรักให้สมดังดวงใจมุ่งมั่น
เฝ้าวอนพระทรงเสกพระไหว้วอนทุกวัน
โศกทรวงดวงใจ อัดอั้นตื่นตันอุรา...
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาเรื่องของดนตรีมาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ ทรงโปรดเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าชนิดต่างๆ เช่น คลาริเน็ต แซกโซโฟน ทรงดนตรีได้ทั้งคลาสสิก และแจ๊ส ด้วยพระอัจฉริยะภาพดังกล่าว สถาบันการดนตรีและศิลปะแห่งกรุงเวียนนา จึงทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระยศเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสถาบัน ในฐานะสื่อสัมพันธ์อันดียิ่งระหว่างดนตรีของตะวันออกกับตะวันตกนอกจากนี้ยังทรงสามารถบรรเลงโต้ตอบกับนักดนตรีที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น Beuny Goodman และ Jack Teagasden นักระนาดเหล็กสากล Lionel Hamptom นักเป่าทรัมโบน และ Stau Getz นักเป่าเทอเนอรี่ แซกโซโฟน อีกด้วย จนทำให้นักดนตรีที่มีชื่อเสียงของโลก ถวายการยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็นนักดนตรีแจ๊สที่มีพระอัจฉริยภาพยิ่ง
ในอดีต กรมประชาสัมพันธ์ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเครื่องส่งวิทยุ กำลังส่ง 100 วัตต์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงตั้ง สถานีวิทยุ อ.ส. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เรียกย่อว่า อ.ส. ทรงนำมาจากคำกล่าว พระที่นั่งอัมพรสถานโดยมุ่งใช้เป็นสื่อกลางความบันเทิง สารประโยชน์ และข่าวสารต่างๆ แก่ประชาชน พระองค์ทรงเชื้อเชิญพระประยูรญาติบางองค์และคนสนิทมาเล่นดนตรีพระราชทานชื่อวงว่า วงลายคราม ซึ่งเป็นดนตรีส่วนพระองค์ และพระราชนิพนธ์ เพลงศุกร์สัญญาลักษณ์ (Friday Night Rog) เป็นเพลงประจำวง โดยทุกวันศุกร์ของพระองค์ทรงแซกโซโฟนเป็นนายวง พระองค์ทรงอัดรายการเพลง และทรงเลือกแผ่นเสียงเอง และเปิดโอกาสให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมสามารถติดต่อกับพระองค์ในขณะที่โทรมาขอเพลงซึ่งก็มีประชาชนจำนวนหนึ่ง ไม่ทราบว่ากำลังพูดกับพระเจ้าอยู่หัว ไม่เพียงแต่รายการบันเทิงเท่านั้นยังทรงให้เพิ่มรายการประเภทสารคดี และข้อมูลความรู้ต่างๆมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับรู้ในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง เมื่อคราวที่พระองค์ทรงเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ต่างๆ สถานีวิทยุ อ.ส. ร่วมกับสถานีวิทยุ จ.ส. ของกรมการทหารของพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแก่ประชาชนในจังหวัดนั้นๆ ทุกคราว
ด้วยพระปรีชาญาณและพระราชปณิธานในการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญญา และความกระตือรือร้นแก่ผู้ปฏิบัติงาน ทรงชี้ให้เห็นว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการสื่อสาร และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ที่ผ่านมาการพัฒนาประเทศขาดสื่อที่จะมาประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้อย่างทั่วถึง และทันเวลา พระองค์ทรงริเริ่มนำความต้องการของราษฎรมาสื่อสารให้รัฐบาลรู้ และเข้าใจมาโดยตลอด เพื่อจะได้ช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาให้ถูกทาง รวมทั้งยังทรงเผยแพร่ให้ชาวโลกให้รู้ด้วย
.....................
**บทความเรื่องนี้ Thailands Working Monarch ในนิตยสาร National Geographic ตุลาคม 2525 หน้า 486 - 533 คำว่า อีก เท้าความถึงเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิตุลาธิราช ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงสละราชสมบัติ ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
............................................................................................................................