เมื่อก๊าซที่โรงแยกก๊าซไทย แพงกว่านำเข้าจากต่างประเทศ แล้วรัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ไปหาสวรรค์วิมานอะไร !? ขอนำเนื้อหาเรื่องนี้จากผู้จัดการรายวัน มารวบรวมไว้เพื่อการศึกษา ณ บ้านพระอาทิตย์ โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2558-2579 หรือที่เรียกว่า แผน PDP 2015 ได้แสดงให้เห็นว่าการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศนั้นมีความคลาดเคลื่อนสูงเกินความเป็นจริงไปอย่างมาก แผนพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่มากเกินความเป็นจริงนั้น ได้ส่งผลทำให้ประเทศไทยต้องสร้างโรงไฟฟ้ามากล้นเกินกำลังสำรองขั้นต่ำไปอย่างมหาศาลด้วย การสร้างโรงไฟฟ้าที่มากล้นเกินความจำเป็นนั้นจะส่งผลเป็นภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในรูปของต้นทุนไฟฟ้า ซึ่งจะกระทบต่อค่าไฟฟ้าของคนไทยทั้งประเทศที่จะต้องมากเกินความจำเป็นไปอีกด้วย ตัวอย่าง แผน PDP 2015 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแผนตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558 ซึ่งควรจะทราบว่าการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558 นั้น มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดจริงเพียงแค่ 27,346 เมกะวัตต์ แต่กลับพยากรณ์ตัวเลขความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดปี 2558 (ซึ่งเกิดขึ้นจริงไปแล้ว) สูงถึง 29,051 เมกะวัตต์ หมายความว่ามีการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดปี พ.ศ. 2558 มากเกินความเป็นจริงไปถึง 1,705.5 เมกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ถึง 2.45 โรง !!! นอกจากจะพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเกิดกว่าความเป็นจริงอย่างมหาศาลแล้ว กำลังการผลิตไฟฟ้านั้นกลับสูงไปกว่านั้นอย่างมาก โดยการผลิตไฟฟ้าพึ่งได้นั้นควรจะสำรองอยู่ประมาณ 15% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ดังนั้นจึงควรจะสูงกว่า 27,346 เมกะวัตต์ไปอีก 15% ก็คือประมาณ 31,448 เมกะวัตต์ แต่เอาเข้าจริงกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยในปี 2558 ตามแผน PDP 2015 นั้นมีสูงถึง 43,623 เมกะวัตต์ เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้เคยตรวจสอบพบความจริงแล้วว่า ประเทศไทยไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่และไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เลย หากดำเนินการตาม 3 มาตรการ ดังนี้ มาตรการที่ 1 ก๊าซธรรมชาติของ ปตท.ส่วนที่จ่ายให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมี มาผลิตไฟฟ้า เฉพาะช่วงรอยต่อของการขาดช่วงของแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยทั้งบงกชและเอราวัณที่หมดอายุสัมปทาน ซึ่งสมมุติว่าเกิดสถานการณ์เลวร้ายสุดคือใช้เวลาขาดช่วง 3 ปี คือ พ.ศ. 2566 -2568 มาตรการดังกล่าวจะทำให้ได้ไฟฟ้ามาใช้จากก๊าซธรรมชาติมาผลิตไฟฟ้าประมาณ 5,410 เมกะวัตต์ แต่ในความเป็นจริงน่าจะไม่เกิดการขาดช่วงในการผลิตไฟฟ้าของแหล่งบงกชและเอราวัณได้เลย หากรัฐใช้อำนาจต่อรอง และใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่อยู่ในมือเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างจริงใจ มาตรการที่ 2 เปิดประมูลระบบแบ่งปันผลผลิตแหล่งก๊าซธรรมชาติใหม่ในอ่าวไทยที่กระทรวงพลังงานรายงานว่ามีศักยภาพ จำนวน 5 แปลง ส่งขึ้นตรงที่โรงไฟฟ้าขนอม พร้อมขยายกำลังการผลิตปี พ.ศ. 2564 ก็จะทำให้ได้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีก 740 เมกะวัตต์ มาตรการที่ 3 ส่งเสริมปลูกพืชพลังงาน เพื่อผลิตไฟฟ้า 2,000 เมกะวัตต์ ภายปี พ.ศ. 2568 หรือทยอยทำให้เกิดพลังงานไฟฟ้า 200 เมกะวัตต์ต่อปี ซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ไม่ยากเลย (ถ้ามีความจริงใจ)
|