และวิเคราะห์ในมิติของการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคนี้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะในภาวะที่มีความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ที่มีจีนเป็นคู่กรณีกับเวียดนาม
และฟิลิปปินส์ โดยที่ไทยเราไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความขัดแย้งนั้น
เป็นจังหวะเวลาที่สหรัฐผลักดันนโยบาย Pivot to Asia หรือ ปักหมุดเอเชีย
และจีนพยายามรักษาสถานภาพของความเป็นพี่เบิ้มในเอเชีย
ด้วยการสร้างสัมพันธ์ด้านความมั่นคง ควบคู่กับด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างชัดแจ้ง
สำรวจไปรอบบ้านจะเห็นว่าสิงคโปร์มีเรือดำน้ำ 6 ลำและกำลังสั่งซื้ออีก 2
มาเลเซียมี 2 ลำขณะที่อินโดนีเซียมีอยู่ 2 และกำลังสั่งซื้ออีก 3 ลำ
เวียดนามรุกหนักด้านนี้ เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะมีความบาดหมางกับจีน
ในเรื่องสิทธิเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ เดิมมีอยู่ 3 ลำ กำลังสั่งเพิ่มอีก 3
ที่น่าสนใจคือเวียดนามซื้อจากรัสเซีย
ทยจะซื้อจากจีน ขณะที่มีข่าวว่าพม่าก็กำลังจะสร้างกองเรือดำน้ำ
และขอความปรึกษาจากฝรั่งเศสอยู่ ลงท้ายเพราะความใกล้ชิดกับจีนก็อาจซื้อจากปักกิ่ง
กองทัพเรือบอกว่าตัดสินใจเสนอคณะรัฐมนตรีที่จะซื้อเรือดำน้ำจากจีน
เพราะมีคุณภาพที่ดี สามารถอยู่ใต้น้ำได้ 21 วัน ขณะที่ของประเทศอื่นอยู่ใต้น้ำ
ได้อย่างมากสองสัปดาห์ อีกทั้งเรือดำน้ำที่สั่งจากจีนจะมีอาวุธครบถ้วน
ราคานี้รวมถึงการฝึกบุคลากรด้านเรือดำน้ำครบกระบวนการด้วย
แน่นอนว่าเราซื้ออาวุธจากประเทศใดก็จะทำให้เราต้องมีส่วนผูกพันกับประเทศนั้น
เพราะผู้ผลิตย่อมรู้รายละเอียดของอาวุธนั้น ๆ ดี และดีกว่าเราด้วยซ้ำ
อันเป็นประเด็นที่เราต้องตระหนักไว้ตลอดเวลา
คำถามคือนี่เป็นการแย่งชิงความเป็นผู้นำทางด้านเรือดำน้ำ
เป็นเกมการสร้างแสนยานุภาพทางทะเลของประเทศในอาเซียน
หรือนี่เป็นการยกระดับการป้องปรามทางทะเลของประเทศในภูมิภาคนี้
เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง รักษาเสถียรภาพและความมั่นคง
ในการปกป้องเส้นทางเดินเรือในทะเลจีนใต้ และผ่านช่องแคบมะลากาสู่ทะเลสากล?
คำถามต่อมาก็คือประเทศไทยมีความจำเป็นเพียงใด
ที่จะต้องมีกองเรือดำน้ำ ในขณะที่ยังมีปัญหาเศรษฐกิจหนักหน่วงอยู่ไม่น้อย
และถ้าหากเราไม่มีเรือดำน้ำตลอดเวลา 64 ปีที่ผ่านมา
แต่ยังรักษาความมั่นคงเอาไว้ได้
มีเหตุผลอะไรที่กองทัพเรือจะต้องซื้อเรือดำน้ำหรือ?
คำตอบจากฝ่ายความมั่นคงคือ
ความจำเป็นที่จะปกป้องและป้องปรามน่านน้ำของไทยเอง
ในขณะที่เพื่อนบ้านมีความคึกคักในด้านนี้
และยิ่งวันทะเลจะยิ่งมีความสำคัญ
ต่อยุทธศาสตร์ทางทหารของประเทศ เ
พราะไม่มีใครสามารถทำนายได้ว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ที่เห็นอยู่ขณะนี้จะนำไปสู่สภาพการเผชิญหน้าอย่างไร
อีกด้านหนึ่งคือปัญหาการก่อการร้ายสากลที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในน่านน้ำไทย
หรือรอบบ้านเรา การมีกองเรือดำน้ำเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแนวป้องกันทางทะเล
ที่เพิ่มความพร้อมทางด้านการป้องกันประเทศ
ผู้ไม่เห็นด้วยย่อมจะแย้งได้ว่าหากทุกประเทศในแถบนี้
ต่างแย่งกันสร้างกองกำลังเรือดำน้ำ
นี่ก็เท่ากับเป็น การแข่งขันชิงความเป็นเจ้าทะเล
ซึ่งในแง่หนึ่งย่อมจะทำให้ความพยายามของอาเซียน
ที่จะสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ปราศจากความขัดแย้ง
ป้องกันไม่ให้เกิดสงครามรอบใหม่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
นักการทหารบางคนมองว่าการมีกองเรือดำน้ำเป็นการสร้างอำนาจต่อรองที่สำคัญ
และหากประสานร่วมมือของกองเรือดำน้ำในอาเซียน
ก็จะเป็นการผนึกกำลังเพื่อต้านโอกาสของการคุกคามจากข้างนอกได้เช่นกัน
จึงเป็นหน้าที่ของกองทัพเรือที่จะต้องอธิบายเหตุผล
ของการขอซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน
และประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศต่อสาธารณชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
ประกอบการแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างประชาชนด้วยกันเอง
เพราะระบบป้องกันประเทศที่ได้ผลที่สุดมิใช่เพียงอาวุธยุทโธปกรณ์เท่านั้น
หากแต่อยู่ที่ความเข้าใจ ความร่วมมือ และการรับรู้ของประชาชนเจ้าของประเทศอีกด้วย
พรุ่งนี้จะได้กล่าวถึงแนวโน้มการสร้างกองเรือดำน้ำรอบ ๆ บ้านให้เห็นภาพเพื่อการเปรียบเทียบ ประกอบการพิจารณาของประชาชนไทยอย่างเรา ๆ/จบ
..................................................................................................................................
และเมื่อ 9 กค.2558 คุณสุทธิชัย หยุ่น ได้เขียนเรื่องนี้ต่อ
ขออนุญาตเก็บไว้เป็นกรณีศึกษาต่อไปคะ ดังนี้
เรือดำน้ำย่านนี้ ใครมีกี่ลำ?
ไทยจะมีเรือดำน้ำสั่งจากประเทศจีน
รอบบ้านเราก็มีกองเรือดำน้ำอยู่หลายประเทศ
ช่วงหลังนี้ดูเหมือนการสั่งซื้อเรือดำน้ำ ในอาเซียนจะคึกคักขึ้น
เพราะต่างคนต่างต้องการจะสร้างแสนยานุภาพทางทะเลมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
จนเกิดคำถามว่านี่เป็น submarine race
หรือเป็นการแย่งชิงความเป็นหนึ่งทางด้านนี้หรือไม่
ต้นปีนี้ เวียดนามประกาศร่วมวงด้วยการสั่งเรือดำน้ำจากรัสเซีย
ประเภท Kilo-class ที่เป็นที่รู้จักในวงการนี้ดี
และตั้งชื่อว่า Hanoi ประทับความขึงขัง
ก่อนหน้านี้ไม่นาน อินโดนีเซียก็แสดงความสนใจที่จะสั่งเรือดำน้ำแบบเดียวกันนี้
จากรัสเซีย บวกกับเรือรบจากเกาหลีใต้
เดือนพฤศจิกายนปี 2013 สิงคโปร์ลงนามว่าจ้างบริษัทเยอรมัน
สร้างเรือดำน้ำชุดใหม่เพื่อเสริมกองเรือดำน้ำเดิมที่มีอยู่แล้ว 6 ลำ
ฟิลิปปินส์ก็กำลังพิจารณาสั่งเรือดำน้ำเช่นกัน ว่
ากันว่าเตรียมจะซื้อชุดแรก 2 ลำเพื่อเสริมกองกำลังทางทะเลของตน
เวียดนามกับฟิลิปปินส์มีเรื่องระหองระแหงกับจีนในทะเลจีนใต้
จึงไม่น่าแปลกใจที่สองประเทศนี้จะต้องสร้างเสริมสมรรถภาพทางทะเล
และแน่นอนว่าคงไม่สั่งซื้อเรือดำน้ำจากจีน
ต้องหันไปหารัสเซียที่พร้อมจะขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับประเทศในอาเซียนอยู่แล้ว
รัสเซียกับจีนมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างดีในระยะหลัง
เพราะมีคู่พิพาทร่วมคือสหรัฐ การขายเรือดำน้ำให้กับประเทศอาเซียนของสองชาตินี้
จึงมิอาจถือว่าเป็นการแก่งแย่งทางด้านยุทธศาสตร์ทหาร
แต่หนีไม่พ้นว่าการซื้อขายอาวุธย่อมมิใช่เพียงธุรกิจอย่างเดียว
หากแต่หมายถึงความผูกพันด้านความมั่นคง
และยุทธศาสตร์ทางทหารด้วยเช่นกัน
แผนของเวียดนามจะมีเรือดำน้ำทั้งหมด 6 ลำภายในปี 2016
และอินโดนีเซียเตรียมจะเพิ่มอีก 3 ลำในเวลาใกล้ ๆ
ผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดบอกว่า
อินโดฯ และสิงคโปร์สั่งซื้อเรือดำน้ำฝูงใหม่ก็เพื่อทดแทนของเก่าส่วนหนึ่ง
หากนับจากนี้ไป 10 ปี จำนวนเรือดำน้ำของอาเซียนทั้งหมดก็น่าจะไม่สูงกว่าที่มีอยู่ปัจจุบัน
หากไม่นับของไทยที่เพิ่งตัดสินใจจะสั่งซื้อ 3 ลำจากจีน
และหากได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก็น่าจะส่งมอบลำแรกในอีก 5-6 ปีข้างหน้า
ที่น่าสนใจคือ สมรรถภาพการอยู่ใต้น้ำได้นานเพียงใด
และอาวุธที่ติดเรือดำน้ำก้าวหน้าขนาดไหน
เรือดำน้ำลำแรก ๆ ของสิงคโปร์มีระบบ Air-Independent Propulsion (AIP)
ซึ่งทำให้อยู่ใต้น้ำได้นานกว่าลำที่ไม่มีระบบนี้
ข่าวบอกว่าที่ไทยจะซื้อจากจีนก็จะมีระบบ AIP ที่พัฒนาขึ้นไปอีก
คืออยู่ใต้น้ำได้นานถึง 21 วัน ในขณะที่รุ่นอื่น ๆ อยู่ได้ไม่เกิน 14 วัน
แต่ที่เสริมสมรรถนะเรือดำน้ำคือ อาวุธที่ติดบนเรือ
มาเลเซียมีเรือดำน้ำ Scorpene-class ติดตั้งขีปนาวุธทำลายเรือ (anti-ship missiles)
แบบ SM-39 Exocet ที่ยิงจากใต้น้ำได้
เวียดนามกับอินโดนีเซียก็เดินตามด้วยการติดตั้งขีปนาวุธใต้น้ำเช่นกัน
แต่ยังไม่มีเรือดำน้ำในอาเซียน ที่มีความสามารถยิงขีปนาวุธจากใต้น้ำ
เพื่อทำลายเป้าบนบกที่เรียกว่า submarine-launched cruise-missile (SLCM)
ซึ่งมีอำนาจการทำลายล้างสูง และหากประเทศไหนในแถบนี้ติดอาวุธเช่นนี้
ก็อาจจะนำไปสู่ความสงสัยคลางแคลงของเพื่อนบ้านที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้
มองในด้านบวก ประเทศอาเซียนที่กำลังเสริมกำลังด้านเรือดำน้ำ
ก็อาจจะสร้างความแข็งแกร่งด้วยความร่วมมือระหว่างกัน
เช่น อินโดฯกับสิงคโปร์ มีข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือและกู้ภัยเรือดำน้ำ
และสิงคโปร์กับเวียดนามก็มีสัญญาทำนองเดียวกัน
ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ประเทศในย่านนี้มีการฝึกร่วมเพื่อประสานงานของเรือดำน้ำ
ที่เรียกว่า Exercise Pacific Reach และ Asia-Pacific Submarine Conference (APSC)
เพื่อสร้างความร่วมมือและป้องกันความเข้าใจผิด
อันอาจเกิดขึ้นจากปฏิบัติการใต้น้ำของประเทศต่าง ๆ
เมื่อไทยเราเตรียมจะฟื้นกองเรือดำน้ำที่ถูกปลดระวางไปเมื่อ 64 ปีก่อนอีกครั้งหนึ่ง
จึงจำเป็นที่จะต้องให้คนไทยได้เข้าใจถึงที่มาที่ไปและภาวะแวดล้อมใต้น้ำรอบ ๆ
บ้านให้รอบด้านเพื่อประกอบการแลกเปลี่ยนความเห็น
บนพื้นฐานของข้อมูลอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องด้วย/จบ
................................................................................................................................
หากได้พิจาราณาเรื่องนี้อย่างไม่มีอคติ
คงคิดว่า...ถึงเวลาที่กองทัพเรือบ้านเราจะต้องมีเรือดำน้ำกับเขาบ้างแล้ว
แต่สงสัยจังว่าทำไมเพิ่งคิดจะซื้อ น่าจะบริหารจัดการให้มีนานแล้ว
อีกทั้งในภาวะนี้กองทัพเรือควรเร่งประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้
สื่อของทหารมีมากมายเชียว ทำไมไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์
และต้องเลือกคนให้ข่าวดีๆเก่งๆด้วยนะ
ต้องไม่เจ้าอารมณ์ หงุดหงิด ท้าตีท้าต่อย
มะเอาด้วยนะคะ
...................................................................................................................................