โย้วๆๆมาถึงวันสุดท้ายของการเดินทางวันนี้แล้ว
เป้าหมายของวันนี้คือไปหาแม่เสือโคร่งที่ขุนช่างเคี่ยนค่ะ
(Blog นี้อาจข้อมูลน้อย แต่บ่นเยอะหน่อยนะคะ)
กำลังจะออกจากที่พัก พนักงานก็บอกว่าค่าที่พักรวมชุดมื้อเช้าด้วยนะ จะรับหรือเปล่า?
ไอ้เราก็เลยรีบพยักหน้าทันที
(ทั้งที่มีขนมเค้กและพุดดิ้งเป็นเสบียงอยู่แล้ว แต่ขอกินอิ่มๆ ไว้ก่อนก็ดี ไม่รู้ข้างหน้าจะมีอะไรให้กินบ้าง)
จัดการมื้อเช้าเรียบร้อยก็ทำการเช็คเอ้าท์ฝากกระเป๋าไว้ก่อน เดี๋ยวเที่ยวเสร็จค่อยกลับมาเอาค่ะ
และไหนๆ ที่พักเราก็อยู่ใกล้วัดพระสิงห์แล้ว ก็ขอชะแว้บเดินไปชมและกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์สักหน่อยนะคะ
เดินออกมาแค่ไม่ถึง 2 นาทีก็เจอวัดแล้วค่ะ
มีสิงห์สองตัวต้อนรับอยู่ตรงหน้าประตูเลย
เวลาเปิด-ปิด ประตูวัด คือ 05:00 20:30 น.นะคะ
แต่ในส่วนวิหาร อุโบสถ อาจจะเปิดช้าและปิดเร็วกว่านั้น
ที่นี่มีรูปหล่อของครูบาศรีวิชัย... นักบุญคนสำคัญของชาวล้านนา โดดเด่นอยู่ที่หน้าพระวิหารเลยค่ะ
แต่ที่สะดุดความสนใจของนุ่นกลับเป็นหอไตรที่อยู่ด้านข้าง
เพราะสถาปัตยกรรมครึ่งตึกครึ่งไม้ดูแปลกตาดีค่ะ
ไม่ได้อยู่เดินที่นี่นานมาก...เพราะโดนขู่ว่าระวังรถติด
จึงต้องรีบออกมาเรียกหารถแดงไปที่หน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ค่ะ เรียกรถมาได้ในราคา 40บาท
(ตรงนี้ต้องขอบคุณข้อมูลจากคุณพี่สาวอีกคนในกรุ๊ปรักโลกสีชมพูอีกเช่นกัน
ที่อินบ็อกเข้ามาหา ขอเบอร์นุ่น เพื่อจะโทรมาบอกวิธีไปเที่ยวขุนช่างเคี่ยนและดอบปุยให้เสร็จสรรพขอบคุณในความเอื้อเฟื้อจริงๆ ค่ะ)
เวลา 8 โมงครึ่งก็มาถึงคิวรถหน้าสวนสัตว์ค่ะ
ที่นี่จะมีคิวรถขึ้นไปเที่ยวบนดอยค่ะ
เค้ามีแพ็กเกจดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงค์และขุนช่างเคี่ยน ในราคา 400บาทต่อคน (ทั้งไปและกลับ) ซึ่งจะแวะแต่ละที่ประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ
แต่วันนั้นนั่งรออยู่ครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีนักท่องเที่ยวจะขึ้นขุนช่างเคี่ยนเลยค่ะ
(อะไรกันๆๆๆ ตัดสินใจผิดค่ะ ในแผนคิดว่าขึ้นวันธรรมดาคนจะได้น้อย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าไม่มีคนไปเลยซะงั้น แป๊ว!!)
คือ มีนักท่องเที่ยวนั่งรออยู่อีกแค่ 2 คนและเขาก็ไปแค่ดอยสุเทพค่ะ
คนขับเลยแนะนำว่าลองไปรอข้างบนแถวพระตำหนักไหม
เพราะบนนั้นบางคนที่ขับรถเก๋งมาจะต้องขึ้นรถสองแถวต่อเข้าไปในหมู่บ้านม้ง
ไอ้เราก็โอเค... เอาน่ะ ลองไปดูแล้วกัน
ตกลงค่ารถ 70 บาทขึ้นมาด้านบน ตาละห้อยมองผู้โดยสารร่วมอีก 2 คน ที่ลงตรงหน้าวัดพระธาตุ แล้วนุ่นก็นั่งรถต่อตามลำพังค่ะ
(จากตรงหน้าวัดนี้ก็เห็นป้ายคิวรถไปเที่ยวขุนช่างเคี่ยน เที่ยวดอยปุยด้วยเหมือนกันนะคะ
ไม่แน่ใจว่าคนจะเยอะกว่าหรือปลอดคนเหมือนข้างล่างกัน...)
ณ เวลา 9 โมงกว่าๆนุ่นก็ก้าวลงจากท้ายสองแถวหน้าพระตำหนักคนเดียว โดดเด่นเลยค่ะ
คนคิวรถก็พุ่งมาถามเลยไปขุนช่างเคี่ยนไหมในราคาไป-กลับ 400 บาท...
ไอ้เราก็อุทาน ฮะ!! ทันที เผื่อว่าฟังผิด
(คิดในใจ... ทำไมมันราคาเท่าแพ็คเกจเที่ยว 3 ที่เลยฟร้ะ! เอาแล้วไงๆๆ)
พอเรา ฮะ! ใส่...เค้าก็เอารูปทางดินมีเลนเดียวมาให้ดูว่าไปลำบากนะ
แต่ไอ้เรายังไงก็ต้องไปอยู่แล้ว...ปักหมุดเป้าหมายของทริปนี้ไว้แล้วนี่... ก็เลยตอบตกลงว่าจะไป
และในตอนนั้นนุ่นก็ยังคงเป็นคนแรกและคนเดียวของรถอีกเช่นเดิมค่ะ...
เค้าเลยให้เดินเล่นแถวนี้รอก่อน เดี๋ยวก็มีนักท่องเที่ยวมาเพิ่ม
นุ่นก็เดินเล่นดูสินค้าเสื้อผ้าอยู่พักใหญ่ๆก็ยังไม่มีคนมาเพิ่มสักที
ก็คิดเอาเองว่าสงสัยนักท่องเที่ยวคนอื่นเค้าอาจมาสายๆกว่านี้
เลยตัดสินใจเดินไปจะซื้อตั๋วเข้าชมพระตำหนักรอพลางๆ
แต่คนคิวรถก็พุ่งเข้ามาบอกว่ามีอีกกลุ่มจะไปพอดี รอเค้ากินข้าวก่อนอีกสัก 15 นาที
นุ่นก็โอเค...ไปถ่ายรูปวิวผาดำรอก่อนก็ได้
แต่พอเดินกลับมาที่หน้าตำหนัก คนคิวรถอีกคนก็บอก...ตะกี้เพิ่งออกไปคันหนึ่งแล้ว หาเราไม่เจอ
เราก็ร้อง เฮ้ย! ...ในใจทันที(เพราะกลัวตกรถก็เลยจับเวลาเดินไปผาดำถ่ายรูปแค่นิดเดียว ไม่เกิน 10 นาทีแน่ๆ)
ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ คนคิวรถที่คุยกับนุ่นตั้งแต่ต้นก็เข้ามาบอกว่าอีกกลุ่มกินข้าวกันจะเสร็จแล้ว
ให้ขึ้นไปนั่งรอที่รถได้เลย...
(ตอนนี้เรดาห์ชักเริ่มกระดิกเล็กๆ แล้วค่ะ ว่า... เอ๊ะ! ยังไงเนี่ย ก็ไม่ใช่พวกที่เพิ่งออกไปเหรอ?)
ระหว่างนั่งรอก็ปลุกใจตัวเองว่าเอาน่ะ อีกเดี๋ยวก็ได้ไปถึงที่สวยๆที่อยากไปแล้ว
แต่สรุปสุดท้าย...กลับกลายเป็นกลุ่มที่ทานข้าวอยู่เค้าเปลี่ยนใจไม่ไปซะแล้ว
(ซึ่งตรงนี้ไม่รู้ว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวเปลี่ยนใจ หรือคิวรถ...ปลูกสตรอเบอรี่
รู้แต่ตอนนี้เรดาห์วัดระดับความจริงใจให้คะแนนลบไปแล้วอ่ะ)
อึกอักยึกยักอยู่ตรงนี้เป็นชั่วโมง... นุ่นเลยตัดสินใจปฏิบัติการโบกในที่สุดค่ะ
และแค่เพียงไม่ถึง 10 นาทีที่ยืนรอโบกรถนักท่องเที่ยว
ก็มีคันใจดีที่พร้อมจะรับนุ่นติดรถไปด้วยในที่สุดค่ะ
(วื๊บบบบบ พลังบวกถูกชาร์ตกลับมาเกินร้อยเหมือนเดิมแล้วฮับ ^^)
บ่นมาซะนานเลย... ไปชมภาพขุนช่างเคี่ยนกันเลยค่ะ
(ชุดนี้อาจถ่ายทอดความงามออกมาได้ไม่มาก... แบบว่าแสงตอนใกล้เที่ยงมันถ่ายยากจังอ่ะค่ะ)
เสือโคร่งที่นี่ดูต้นสูงใหญ่ ชะลูดเพรียวบางกว่าที่ขุนวางเนอะ
แม่เสือเริ่มร่วงโรยแล้วค่ะ
ตอนขากลับ... ว่าจะขอติดเจ้าของรถใจดีคันเดิมกลับลงข้างล่าง อาจเป็นแค่หน้าวัดหรือหน้าสวนสัตว์ก็ได้
แต่ด้วยระดับความเก๋าพื้นที่ พี่เค้าจึงเลือกใช้ทางลัดห้วยตึงเฒ่าซึ่งเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้งานกันค่ะ เขาจึงจะส่งนุ่นให้ได้ใกล้ๆ ในเมืองเลย
นั่งโยกเยกๆ ผ่านสวนลิ้นจี้เป็นแนวงามๆ ทั้งภูเขา และมาโผล่ที่ห้วยตึงเฒ่า
คนต่างถิ่นไม่เคยมาเห็นอย่างนุ่นก็ตื่นตาตื่นใจกันไปค่ะ
และพอลงมาใกล้ถึงเมือง นุ่นก็เลยถือโอกาสสอบถามหาร้านข้าวซอยอร่อยๆ จากคนเจ้าถิ่นเสียหน่อย (ขอแบบอร่อยจริงไม่ใช่ฮิตจังนะคะ)
และคงเป็นด้วยอิทธิฤษธิ์ของครูบาที่กราบไปตอนเช้า พี่ในรถก็เลยใจดีอาสาพาไปชิมถึงร้านเลยค่ะ
แถมคุยกันเรื่องท่องเที่ยวถูกคอ
ลามไปถึงดอยหลวงเชียงดาว ที่นุ่นเคยนึกอยากไปเดินขึ้นยอดที่นั่นสักครั้งหนึ่ง
พอดีพี่เค้าจะแวะไปทำธุระที่เชียงดาวพอดี เลยชวนนุ่นเกาะรถไปด้วยถ้าอยากไปเห็น
ก็เลยได้ของแถมนอกแผนการสุดๆ เป็นภาพสุดท้ายของทริป ภาพข้างล่างนี้ค่ะ ก่อนที่กล้องจะแบตหมดเกลี้ยง ลั่นชัตเตอร์อีกไม่ได้แล้ว
แวะพักร้านกาแฟ นั่งดูรูปอัพรูปกันไป พี่เค้าเที่ยวเยอะก็เอารูปสวยๆมายั่วกิเลสนุ่นไป เพลินดีจนถึงเย็นเลย
ในช่วงเวลาหนึ่งของการท่องเที่ยว...การได้หยุดนั่งนิ่งๆ สบายๆ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะ
สุดท้ายก็ได้เวลาเดินทางกลับแล้วล่ะค่ะ นุ่นจองรถทัวร์ของนครชัยแอร์โดยขึ้นแถวอาเขตค่ะ
ถึงท่ารถก็อาบน้ำให้สบายตัว เตรียมขึ้นรถแล้วหลับยาว
พร้อมพกเรื่องราวดีๆ มิตรภาพจากเพื่อนใหม่และภาพพญาเสือโคร่งในฝันกลับกรุงเทพฯ หอบใหญ่เลยค่ะ
Note:
สิ่งสำคัญสำหรับการเดินทางคนเดียว คือ "ใจที่พร้อม" ค่ะ
พร้อม...ตัดสินใจเดินทาง หาข้อมูลและวางแผนเอาไว้คร่าวๆ
พร้อม...เปิดรับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นรอบตัว
พร้อม...เปิดใจรับมิตรภาพดีๆ
พร้อม...ยอมรับว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนหรอก
พร้อม...ดูแลตัวเองให้ได้และต้องให้ดี ไม่ให้คนที่รออยู่เป็นห่วงนะคะ
สำหรับทริปล่าเสือโคร่งในฝันต้องจบลงเท่านี้ก่อนค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามไปเดินทางด้วยกันนะคะ ^^